วันอังคาร, มิถุนายน 30, 2552

"แนวทางนี้" แก้สามจังหวัดภาคใต้ เพิ่มอำนาจปกครองตนเอง

"ไทยอาจเพิ่มอำนาจในการปกครองตนเองแก่ท้องที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้" รายงานข่าวนี้มีพิมพ์ในกรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันพุธที่ 24 มิถุนายน 2552 หน้า 16 กล่าวถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สำนักข่าวต่างประเทศแล้วกล่าวอีกว่ากำลังพิจารณาเพิ่มอำนาจในกฎข้อบังคับต่างๆตามกฎหมายชารีอะห์ หรือกฎหมายอิสลาม เพื่อบรรเทาปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้

"การลดทอนอำนาจจากส่วนกลางและเพิ่มอำนาจให้ท้องถิ่นเป็นเรื่องจำเป็น และเราสามารถตอบสนองความจำเป็นในส่วนนี้ได้ โดยเฉพาะในส่วนของกฎหมายชารีอะห์ผ่านระบบการศึกษา"
แต่ไม่ได้ให้อำนาจปกครองตนเองแก่พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะการปกครองตนเองเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยคัดค้านมาโดยตลอด
ผู้นำชาวมลายูมุสลิมร่วมประชุมกันเพื่อกำหนดคำขอเกี่ยวศาสนาและสิทธิต่างๆของชาวมลายูมุสลิม ณ สำนักงานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานีอย่างค่อนข้างกะทันหัน เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2490 โดยมีผู้ร่วมประชุมประมาณ 100 คน
คำขอ 7 ข้อต่อรัฐบาลผ่านทางคณะกรรมการสอดส่องภาวการณ์ในสี่จังหวัดภาคใต้ ดังนี้
1.ขอให้ปกครอง 4 จังหวัดนี้เป็นแคว้นหนึ่ง โดยมีผู้ดำรงตำแหน่งอย่างสูงให้มีอำนาจในการศาสนาอิสลาม มีอำนาจแต่งตั้งและปลดข้าราชการออกได้ ผู้ดำรงตำแหน่งนี้ต้องเป็นมุสลิมใน 4 จังหวัด
2.การศึกษาในชั้นประถมต้นจนถึงชั้นประถม 7 ให้มีการศึกษาภาษามลายูตลอด
3.ภาษีที่เก็บได้ให้ใช้ภายใน 4 จังหวัดนี้เท่านั้น
4.ในจำนวนข้าราชการทั้งหมดขอให้มีข้าราชการชาวมลายูร้อยละ 80
5.ขอให้ใช้ภาษามลายูควบกับภาษาไทยเป็นภาษาราชการ
6.ให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดมีเอกสิทธิ์ออกระเบียบเกี่ยวกับการปฏิบัติการศาสนาอิสลามโดยความเห็นชอบของผู้มีอำนาจสูงสุด
7.ให้ศาลรับพิจารณากฎหมายอิสลามแยกจากศาลจังหวัด มีโต๊ะกาลี (กอฎีหรือดะโต๊ะยุติธรรม)ตามสมควร และมีเสถียรภาพในการพิจารณาชี้ขาด
"รัฐบาลกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาที่จะให้มีการเลือกตั้งโดยตรงในพื้นที่ดังกล่าว คล้ายกับเลือกตั้งกรุงเทพฯและพัทยา"
"เราจำเป็นต้องใช้แนวทางนี้ในการแก้ปัญหาภาคใต้ และเราต้องอดทน" นายกรัฐมนตรีบอกย้ำ
"แนวทางนี้"ไม่ใช่ความคิดใหม่ แต่เป็นส่วนหนึ่งของ"คำขอ" 7 ข้อที่หะยี สุหรง อับดุลกาเดร์ (และคณะฯ) อดีตผู้นำมุสลิมสี่จังหวัดภาคใต้ เคยเสนอต่อรัฐบาล เมื่อ พ.ศ. 2490 แล้วถูกหลอกจนถึงขั้นถูกลอบ"อุ้ม"(ฆ่า?)
แต่ "แนวทางนี้"มิได้มีแค่นี้ หากยังมีที่สมควรทำอีกหลายอย่างเพื่อลดความหวาดระแวง ดังผมเคยเขียนบอกไว้ในคอลัมน์ตรงนี้นานแล้วตั้งแต่ 2 มีนาคม 2547 ต่อเนื่องหลายวัน เช่น
1. สมควรคืนปืนใหญ่พญาตานีที่กรุงเทพฯไปโจมตีเอามาจากเมืองปัตตานี ในแผ่นดินรัชกาลที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2329
2. สมควรทำตามที่ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช บอกไว้สมัยเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วประกาศต่อหน้าฝูงชนที่จังหวัดปัตตานี เมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2519 ว่า
"เราหลอกเขาว่าเขาเป็นคนไทย ซึ่งที่จริงเขาเป็นคนมลายู ปัญหาก็คือการหลอกตัวเขาเองเป็นคนไทย"
"อย่าบังคับให้เขาเป็นคนไทย? ส่งเสริมให้เขาเป็นตัวของเขาเอง รักษาเอกลักษณ์ (Identity) ชนมลายูไว้"
3. สมควรชำระประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทยให้ถูกต้องตามหลักฐานเป็นจริงทางโบราณคดี แล้วแบ่งปันเผยแพร่สู่สาธารณะให้รับรู้ทั่วกันทั้งประเทศ ว่ารัฐบาลปัตตานีพูดภาษามลายู มีมาก่อนรัฐสุโขทัยเกือบ 1,000 ปี จึงไม่ได้เป็นแผ่นดินส่วนหนึ่งของรัฐสุโขทัย
นายกรัฐมนตรี-อภิสิทธิ์ เพิ่งบอกสำนักข่าวต่างประเทศว่าจำเป็นต้องใช้ "แนวทางนี้"ในการแก้ปัญหาภาคใต้และต้องอดทน
แสดงว่าก้นบึ้งของหัวใจและความคิดแล้วไม่อยากใช้"แนวทางนี้" แต่หมดปัญญาไม่รู้จะหาทางแก้ปัญหาอย่างไร
เพราะปัญหารุนแรงเกิดขึ้นตั้งแต่แรกเปลี่ยนชื่อสยามเป็นประเทศไทย เมื่อ 24 มิถุนายน 2482 โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรุนแรงยุคใหม่ของรัฐบาลไทยรักไทย คิดใหม่ ทำใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ. 2547 ไม่เคยเบาบางลงไป เลยจำต้องใช้"แนวทางนี้"

อ่านต่อ...

วันศุกร์, มิถุนายน 26, 2552

Sedih Di Masjid Kampong Ai-Payea Daerah Jok-Ai-Rong


pada pokcik-pokcik.
pada mokcik-mokcik.
pada adik-adik.
pada pemuda-pemuda dan pemudi-pemudi.
Lihat lah darah-darah yang mengalir di Masjid Allah SWT di kampong ai-payea itu, terjadi apa itu?, terjadi apa itu?, lihat lah darah-darah itu, dalam masjid meninggal 10 orang dan sakit 13 orang, dan meninggal dirumah sakit pula 1 orang, meninggal semua 11 orang, tangan latnatullah mano membuat macam itu?


Pada pokcik-pokcik
Pada mokcik-mokcik
Pada adik-adik
Pada pemuda-pemuda dan pemudi-pemudi, lihat lah bekas-bekas darah itu, apa sebab nya semua ini bolih jadi?, ingat lah yang sudah terjadi pada tuan haji sulong kita dulu, kena bunuh tak ada kasihan, jasadnya dibuang dalam laut songgora, tak ada batu nisan untuk nya, tak ada tanah kubur untuk nya.
lihat lah maiyat itu, apa salah dia duduk dalam masjid, sapa hati nya orang bedea dalam masjid Allah SWT, macam binatang orang bawa bedea buat pada kita, 5 tahun sudah jadi di masjid sejarah kita krisek, dan juga jadi di ta-ba.
apakah kita nak duduk diam,jadi orang takut dibumi kita sendiri dan dirumah kita sendiri, oo budak-budak muda dan budak-budak mudi, jangan la kita kena tipu dengan seyum manis orang-orang yang tak sembahyang 5 waktu sehari semalam, jangan la kita percaya pada orang-orang yang mahu makan tidak ucap dengan nama Allah SWT.
Sedih kita semua lihat darah ada dalam masjid, mari kita semua catat dalam hati, masjid kampong ai-payea jadi bukti kejam nya siam buat pada kita, dimana saja pun, orang yang mengaku darah melayu Fathani, yang membaca pada kertas ini, azam kan diri masing-masing, darah di Masjid ai-payea adalah darah saudara-saudara kita sendiri, kita semua kena balas pada saudara-saudara kita, walau sekecil-kecil balas!, kita kena balas, darah melayu bukan harga bolih jual beli, mudah-mudah Allah beri tabah pada keluarga-keluarga yang meninggal dan keluarga-keluarga yang sakit.
Pemuda Patani
09/06/09

อ่านต่อ...

Our Blogger Templates Web Design

  © Blogger templates The Professional Template by Ourblogtemplates.com 2008

Back to TOP