วันเสาร์, มีนาคม 31, 2555

บึ้มลีกาเด้นส์หาดใหญ่คืบ พบร่องรอยระเบิดที่จอดรถใต้ดิน

ปักษ์ใต้ป่วน วันเดียวระเบิด 3 จังหวัด บึ้มห้างดังกลางเมืองหาดใหญ่บึ้มดับแล้ว 5 บาดเจ็บหามส่งโรงพยาบาลกว่า 300 นักท่องเที่ยวมาเลย์เจอลูกหลงเพียบตาย 1 ส่วนเมืองยะลาเจอคาร์บอมบ์ตาย 8 เจ็บ 78 ปัตตานีเจอด้วย บึ้มหน้าโรงพักแม่ลาน รองผู้กำกับฯ บาดเจ็บ แหล่งข่าวที่อยู่ในทีมกู้ภัยที่เข้าเข้าให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บในเหตุการณ์ระเบิดที่โรงแรมและห้างลีการ์เด้นส์ พลาซ่า กลางเมืองหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เมื่อเวลา 13.00 น.เศษ ของวันที่ 31 มีนาคม 2555 เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวของASTVผู้จัดการภาคใต้ว่า จากการเข้าช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ ทำให้ตนได้มีโอกาสเห็นว่าในพื้นที่ชั้น B4 ซึ่งเป็นที่จอดรถยนต์ใต้ดินของอาคารลีการ์เด้นส์ พลาซ่า มีร่องรอยของการระเบิดที่เกิดจากคาร์บอมบ์ และแรงระเบิดได้สร้างความเสียหาย รวมถึงเกิดไฟไหม้เป็นวงกว้างไปยังชั้นต่างๆ ภายหลังที่มีข่าวว่าผู้อยู่ในเหตุการณ์ระบุว่า ระเบิดดังกล่าวเกิดขึ้นใกล้กับร้านแม็คโดนัลด์ที่ตั้งอยู่บริเวณชั้น 1 ของห้าง ประกอบกับผู้บริหารภายในจังหวัด โดยเฉพาะนายไพร พัฒโน นายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่ ได้ร่วมกับฝ่ายตำรวจและฝ่ายปกครองในพื้นที่ออกมายืนยันว่า สาเหตุของระเบิดดังกล่าวมาจากแก๊สนั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้บริหารร้านอาหารแม็คโดนัลด์ ได้ออกมาตอบโต้กรณีที่เกิดขึ้นผ่านหน้าแฟนเพจ http://www.facebook.com/mcthai ในเฟซบุ๊กว่า... ในวันเดียวกันนี้ เกิดเหตุระเบิดหลายแห่ง เริ่มจาเมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 31 มีนาคม 2555 ได้เกิดเหตุระเบิดบริเวณ 4 แยกถนนจงรักตัดถนนรวมมิตร ซึ่งเป็นย่านการค้าสำคัญในเขตเทศบาลนครยะลา อำเภอเมืองยะลา 2 จุดในเวลาใกล้เคียงกัน จุดแรกบริเวณหน้าร้านรุ่งเรือง ตรงข้ามร้านนำฮั้วจั่น ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ ปากทางเข้าโรงแรมปาร์ควิว คนร้ายนำระเบิดแสวงเครื่องบรรจุถังแก๊ส น้ำหนักประมาณ 30 กิโลกรัม ซุกซ่อนในรถกระบะ ไม่ทราบทะเบียน นำมาจอดในที่เกิดเหตุ จุดชนวนด้วยวิทยุสื่อสาร เกิดเพลิงไหม้ลุกลามบ้านเรือนประชาชนใกล้เคียงเป็นบริเวณกว้าง ส่งผลให้อาคารพาณิชย์ 2 ชั้นสองข้างถนนได้รับความเสียหาย โดยชั้นล่างเสียหายทั้งหมด ขณะที่บางส่วนของชั้น 2 ทรุดตัวลงมา รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และรถบัสของทหาร ร.15 พัน 4 ได้รับความเสียหาย รถกระบะที่ใช้ก่อเหตุพลิกคว่ำอยู่สภาพไหม้เกรียม บาดเจ็บอีกจำนวนมาก เบื้องต้นเจ้าหน้าที่เร่งนำตัวคนเจ็บส่งโรงพยาบาลใกล้เคียง อีกประมาณ 10 กว่านาทีต่อมา เกิดเหตุระเบิดที่รถกระบะโตโยต้า สีขาว ไม่ทราบทะเบียน ที่คนร้ายบรรทุกระเบิดบรรจุถังแก๊สน้ำหนักประมาณ 30 กิโลกรัม นำมาจอดห่างจากที่เกิดเหตุระเบิดจุดแรกประมาณ 150 เมตร จากนั้นจุดชนวนด้วยวิทยุสื่อสาร ส่งผลให้อาคารพาณิชย์สองข้างทาง รวมทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และรถมูลนิธิฯ ที่เข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบเหตุระเบิดที่จุดแรกได้รับความเสียหาย สำหรับจุดที่ 2 มีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่าจุดแรก เนื่องจากเป็นช่วงเจ้าหน้าที่และชาวบ้านเข้าไปช่วยคนบาดเจ็บที่จุดแรก จากนั้นไม่นานก็เกิดเหตุระเบิดรถตู้ใช้แก๊สไม่ทราบยี่ห้อและทะเบียน ซึ่งจอดเยื้องกับรถกระบะโตโยต้า สีขาว ทำให้ความเสียหายกระจายวงกว้างมากขึ้น พล.ต.ท.ไพฑูรย์ ชูชัยยะ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ระบุว่า สำหรับเหตุรถตู้ระเบิด น่าจะเกิดจากความร้อนของระเบิดลูกก่อนหน้า ทำให้แก๊สในรถตู้ระเบิดขึ้น เหตุระเบิดทำให้มีผู้เสียชีวิต 8 ราย ขณะนี้ยังระบุไม่ได้แน่ชัดว่าเป็นเจ้าหน้าที่หรือพลเรือน ส่วนผู้บาดเจ็บมี 78 คน หลังเกิดเหตุพล.ต.ต.พีระ บุญเลี้ยง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยะลา ได้สั่งการให้ตำรวจตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณโดยรอบที่เกิดเหตุ เพื่อค้นหาคนร้ายที่นำรถบรรจุระเบิดมาจอดแล้ว นายเดชรัฐ สิมศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา กล่าวว่า ช่วงเกิดเหตุทางจังหวัดยะลากำลังจัดวันงานเจษฎาบดินทร์ และงานวันข้าราชการพลเรือน ส่วนใหญ่ได้รับเจ็บแรงระเบิดจากรถตู้ ซึ่งเป็นจุดที่เกิดเหตุระเบิดครั้งที่ 3 บ่ายวันเดียวกัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปยังจังหวัดยะลา เพื่อตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ต่อมา เวลา 13.15 น. วันเดียวกัน คนร้ายได้นำรถจักรยานยต์ซุกระเบิดแสวงเครื่องไปจอดทิ้งที่หน้าร้านอาหาร ฝั่งตรงข้ามกับสถานีตำรวจแม่ลาน อำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี แล้วจุดชนวนในช่วงที่ตำรวจเดินผ่าน ส่งผลให้พ.ต.ท. จิตกานต์ เกื้อก่อยอด รองผู้กำกับการปราบปราม สถานีตำรวจภูธรแม่ลาน ถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณคิ้วและใบหูข้างขวา ได้รับบาดเจ็บและได้รีบนำส่ง โรงพยาบาลแม่ลาน เวลา 13.00 น. วันเดียวกัน ได้เกิดเหตุระเบิดที่บันไดเลื่อน ใกล้ร้านแมคโดนัลด์ ห้างสรรพสินค้าลีการ์เด้นส์ พลาซ่า กลางเมืองหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นย่านการค้าและแหล่งท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย และสิงคโปร์ เบื้องต้นมีผู้เสียชีวิตแล้ว 5 คน เป็นชาวมาเลซีย 1 คน ได้รับบาดเจ็บกว่า 300 คน เจ้าหน้าที่นำตัวส่งโรงพยาบาลต่างๆ ในจังหวัดสงขลา นายกฤษฏา บุญราช ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา กล่าวว่า สาเหตุการเกิดระเบิดห้างสรรพสินค้าลีการ์เด้นท์พลาซ่ายังไม่ชัดเจน เบื้องต้นคาดว่ามาจากระบบหล่อเย็นในร้านอาหารญี่ปุ่นระเบิด ผู้บาดเจ็บส่วนใหญ่มาจากสำลักควัน ในจำนวนนี้มีนักท่องเที่ยวไทย–มาเลเซียด้วย สำหรับสาเหตุระเบิดห้างสรรพสินค้าลีการ์เด้นส์พลาซ่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่า มาจากการลอบวางระเบิด หรืออุบัติเหตุก๊าซระเบิด

อ่านต่อ...

ป่วน!บึ้ม3จุดกลางเมืองยะลา

โจรใต้ลอบคาร์บอมบ์กลางเมืองยะลา 3 จุด คนหนีตายโกลาหล พบตายแล้ว 10 ราย บาดเจ็บกว่า 70 เวลา 11.50 น. ศูนย์รวมข่าว สภ.เมืองยะลา ได้รับแจ้งเกิดเหตุระเบิดขึ้นจำนวน 2 ครั้ง ที่ถนนสายรวมมิตร เขตเทศบาลนครยะลา อ.เมือง จ.ยะลา หลังรับแจ้ง จึงได้แจ้งทราบ พันตำรวจเอกกฤษฎา แก้วจันดี ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองยะลา พร้อมประสานประสานชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ภ.จว.ยะลา เจ้าหน้าที่จากศูนย์พิสูจน์หลักฐานที่ 10 ยะลา เข้าตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุทันที

เมื่อมาถึงที่เกิดแหตุบริเวณสี่แยกจงรักษ์ ถนนรวมมิตร หน้าร้านรุ่งเรือง เจ้าหน้าที่พบซากรถยนต์ หลายคันกำลังถูกเพลิงลุกไหม้ รวมทั้งฝั่งตรงข้ามหน้าร้านนำฮั้วจั่น ซึ่งเป็นร้านจำหน่ายรถจักรยานยนต์ พบซากรถยนต์จำนวนหลายคันที่เพลิงกำลังลุกไหม้ รวมทั้งอาคารตรงจุดเกิดเหตุเกิดเพลิงลุกไหม้ จึงได้ประสานระดมกำลังเจ้าหน้าที่ดับเพลิงของเทศบาลนครยะลา เข้าฉีดน้ำระงับเพลิง พร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัยได้พยายามช่วยเหลือผู้บาดเจ็บที่ติดอยู่ในร้านค้าที่เกิดเหตุระเบิดนำส่งโรงพยาบาลยะลา ในขณะที่กำลังเจ้าหน้าที่กำลังช่วยกันดับเพลิง ไฟที่กำลังลุกไหม้ตัวรถ และตัวอาคารตรงจุดเกิดเหตุ ได้เกิดระเบิดลูกที่ 3 ขึ้นมา บริเวณหน้า 7-11 ถนนรวมมิตร ห่างจากจุดแรกประมาณ 20 เมตร แรงระเบิดทำให้ร้าน 7-11 สาขาถนนรวมมิตร ได้รับความเสียหายอย่างหนัก รวมทั้งอาคารบ้านเรือนด้านข้างร้าน 7-11 ที่เป็นอาคารไม้พังเสียหาย 5-6 คูหา นอกจากนั้นแรงระเบิดยังทำให้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ใกล้บริเวณดังกล่าวพังเสียหายจำนวนหลายคัน จากการสอบสวนเบื้องต้น ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุคนร้ายได้นำรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุซึ่งบรรจุระเบิด มาจอดที่ใกล้สี่แยกจงรักษ์ และอีก 2 คันยังไม่ทราบยี่ห้อ มาจอด ก่อนจุดชนวนระเบิดขึ้นพร้อมกัน 2 คัน และในขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังควบคุมสถานการณ์ คนร้ายก็ได้จุดชนวนระเบิดขึ้นเป็นลูกที่ 3 ที่หน้าร้าน 7-11 โดยมีรายงานจากโรงพยาบาลยะลาแจ้งว่า สำหรับยอดของผู้เสียชีวิตล่าสุด 8 ราย และบาดเจ็บ 69 ราย หลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.พีระ บุญเลี้ยง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยะลา ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด ในบริเวณโดยรอบที่เกิดเหตุแล้ว เพื่อค้นหาคนร้ายที่นำรถบรรจุระเบิดมาจอดแล้ว ล่าสุดโรงพยาบาลยะลาได้แจ้งยอดของผู้เสียชีวิตล่าสุด 10 ราย และบาดเจ็บ 78 ราย ขณะนี้ทราบชื่อผู้เสียชีวิตเพียง 4 ราย คือ คุณกรรณิการ์ บัวจันทร์ คุณสมกียรติ มยาภรณ์ คุณอนุชิต พรหมยาน คุณสมสมัย ลิลา แบ่งเป็นเพศชาย 4 ราย เพศหญิง 4 ราย และอีก 2 ราย ต้องรอการตรวจสอบ

อ่านต่อ...

เผยยอดตาย10ศพสังเวยบึ้ม3จุดเมืองยะลา อีกลูกร้านข้าวแกงหน้าสภ.แม่ลาน ตร.เจ็บ 1

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลาประมาณ 12.00 น. วันที่ 31 มี.ค. ที่ จ.ยะลา ได้เกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดกลางเมืองที่บริเวณถนนรวมมิตร ต.สะเตง อ.เมืองยะลา ซึ่งถือเป็นย่านใจกลางเมือง มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก โดยรายงานระบุว่าเกิดเหตุระเบิดขึ้น 3 ครั้งติด ที่เกิดเหตุอยู่ใกล้โรงแรมปาร์ควิว ถ.รวมมิตร ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บนับสิบราย เบื้องต้นมีรายงานว่ามีผู้บาดเจ็บสาหัส 1 ราย ซึ่งถูกนำส่งโรงพยาบาลแล้ว นอกจากนี้ การระเบิดยังส่งผลให้เกิดเพลิงไหม้ลุกลามบ้านเรือนประชาชนใกล้เคียงที่เกิดเหตุอีกด้วย
เหตุการณ์คาร์บอม์กลางเมืองยะลา บริเวณถนนสายรวมมิตร เขตเทศบาลนครยะลา อ.เมือง จ.ยะลา ทำให้บ้านเรือน รถยนต์ รถจักรยานยนต์เสียหาย นับสิบ ผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ หลายสิบราย ล่าสุดมีรายงานจากโรงพยาบาลศูนย์ยะลา แจ้งว่า ยอดผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมด 127 ราย ได้รับบาดเจ็บสาหัส 10 ราย ได้รับบาดเจ็บปานกลาง 19 ราย ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 88 ราย ส่วนผู้เสียชีวิต มีจำนวน 10 ราย ประกอบด้วย 1. นางกรรณิกา บัวจันทร์ 2. นายสมัย ลีลา 3. นายสมเกียรติ พยากรณ์ 4.นายสุชาติ พรหมยาน 5. สุรชาติ วัฒนพันธ์ 6.นางธีรนุช รอดทา 7. นางปราณี พิมพ์ปรุ 8.นางอ้อยใจ พิมพ์ปรุ 9.นางสมใจ ชูโรจน์ 10 นายวิสุทธิ์ ล่วนลอง ทั้งนี้วันเดียวกัน ยังเกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดหน้าร้านขายข้าวแกง ซึ่งตั้งอยู่หน้า สภ.แม่ลาน จ.ปัตตานี เป็นเหตุให้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ในที่เกิดเหตุได้รับบาดเจ็บ 1 ราย ด้วย

อ่านต่อ...

วันศุกร์, มีนาคม 30, 2555

ฝึก อส.ชายแดนสงขลาใช้ปืน M16 กระสุนจริงป้องเหตุเชื่อมโยงไฟใต้

ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - กองร้อยอาสารักษาดินแดนจังหวัดสงขลา ที่ 1 ฝึกทบทวนการใช้อาวุธปืน M 16 ด้วยกระสุนจริง ให้กับ อส. 6 อำเภอ ของ จ.สงขลา โดยเฉพาะในพื้นที่ 4 อำเภอชายแดนสงขลา ที่มีสถานการณ์ด้านความมั่นคงและความรุนแรงจากการก่อเหตุความไม่สงบเชื่อมโยงกับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อร่วมทำงานกับเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยในพื้นที่

วันนี้(30 มี.ค.) ที่ บ้านด่าน หมู่ที่ 4 ต.เกาะแต้ว อ.เมือง จ.สงขลา นายหมวดเอก เอกพสิษฐ์ กิจธิคุณ ผู้บังคับกองร้อยอาสารักษาดินแดนจังหวัดสงขลา ที่ 1 เป็นประธานในการฝึกทดสอบสมรรถภาพและปรับพื้นฐานตามแบบธรรมเนียมปฏิบัติของสมาชิก อส.ซึ่งมีการทบทวนด้านยุทธวิธีและการยิงปืนด้วยอาวุธปืน M 16 โดยใช้กระสุนจริง ให้กับสมาชิกกองร้อยอาสารักษาดินแดน 6 อำเภอของ จ.สงขลา ประกอบด้วย อำเภอหาดใหญ่ จะนะ เทพา นาทวี สะบ้าย้อย และอำเภอสะเดา จำนวน 28 นาย ที่เข้ารับการฝึกเพื่อให้มีความชำนาญและมีทักษะในการใช้อาวุธปืนได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มเขี้ยวเล็บให้กับ สมาชิก อส.ทุกนายที่เข้ารับการฝึกเป็นเวลา 7 วัน
นอกเหนือจากหลักสูตรการดำรงชีพอยู่ในป่า การตั้งด่านจุดตรวจจุดสกัด วิชาท่าบุคคลพื้นฐาน วิชาท่าประกอบอาวุธ โดยเน้นหนักให้กับกลุ่มสมาชิก อส.ในพื้นที่ 4 อำเภอชายแดนสงขลา อ.จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย ที่มีสถานการณ์ด้านความมั่นคงและความรุนแรงจากการลอบก่อเหตุความไม่สงบเชื่อมโยงกับในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อเข้าเสริมกำลังกับเจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจทหารและฝ่ายความมั่นคง ในการเฝ้าระวังพื้นที่และพร้อมออกปฏิบัติการในกรณีเกิดเหตุรุนแรง โดยสมาชิกกองร้อยอาสารักษาดินแดนที่ผ่านการฝึกในครั้งนี้ทั้ง 28 คน จะเข้าปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ 6 อำเภอ ในวันที่ 2 เมษายน 2555 นี้

อ่านต่อ...

โจมตีทหารพรานนราธิวาสเจ็บ 2 นาย รุกกลับค้นกระท่อมยึดของกลาง

นราธิวาส - เกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ทหารพราน ขณะออกลาดตระเวนเส้นทาง เพื่อดูแลความปลอดภัย เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บจำนวน 2 นาย ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ทหารพรานได้บุกค้นกระท่อมในพื้นที่ ต.บาโงสะโต อ.ระแงะ สามารถยึดของกลางได้หลายรายการ เมื่อเวลา 08.20 น. วันนี้ (30 มี.ค.) ร.ต.อ.นเรศ พุ่มแก้ว ร้อยเวร สภ.ระแงะ จ.นราธิวาส รับแจ้งมีเหตุคนร้ายจุดชนวนระเบิดดักสังหารเจ้าหน้าที่ทหารพรานสังกัด ร้อย ทพ.1107 กรมทหารพรานที่ 11 ได้รับบาดเจ็บ 2 นาย เหตุเกิดริมถนนสายบองอ-ดุซงญอ หมู่ 4 ต.บองอ อ.ระแงะ จึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.สุชาติ อัศวจินดารัตน์ ผกก.สภ.ระแงะ พ.อ.เฉลิม เนียมช่วย ผบ.กรมทหารพรานที่ 11 เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด นปพ.ภ.จ.นราธิวาส เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน ภ.จ.นราธิวาส และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร จำนวนหนึ่งรุดเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ

พบว่าที่เนินดินริมถนนมีหลุมลึก 2 ฟุต กว้าง 4 ฟุต พร้อมทั้งเศษซากชิ้นส่วนระเบิดแสวงเครื่องที่คนร้ายประกอบใส่ในกล่องเหล็ก หนัก 10 กก. จุดชนวนด้วยวิทยุสื่อสาร ตกกระจายเกลื่อนพื้น เจ้าหน้าที่จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บเพื่อนทหารได้นำตัวส่งรักษาโรงพยาบาลระแงะไปก่อนหน้าแล้ว ทราบชื่อคือ 1.อส.ทพ.ประสาน แก้วเขียว อายุ 27 ปี และ 2.อส.ทพ.นันทวัฒน์ ก้อนทอง อายุ 25 ปี ซึ่งทั้ง 2 นายถูกสะเก็ดระเบิดที่ขา แพทย์ได้นำตัวส่งรักษาต่อที่โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ จากการสอบสวน ส.ต.สุรชัย สิงหารุณ หัวหน้าชุด ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุตนได้นำกำลังรวม 10 นาย เดินเท้าลาดตระเวนเส้นทางเพื่อ รปภ.เส้นทางให้แก่คณะของ พ.ท.อนุสรณ์ สวนอิน รอง ผบ.กรมทหารพรานที่ 11 ที่จะเดินทางมาเยี่ยมฐานต่างๆ ในช่วงบ่าย เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ ได้มีคนร้ายจุดชนวนระเบิดที่ลอบฝังไว้ที่เนินดินริมทางทำให้ อส.ทพ.ประสาน และ อส.ทพ.นันทวัฒน์ ได้รับบาดเจ็บดังกล่าว
ทหารพรานทลายรัง...ที่ระแงะ ยึดปืนและของกลางเพียบ และเมื่อเวลา 08.00 น.วันเดียวกันนี้ พ.อ.พสิษฐ์ ชาญเลขา หน.ชุดปฏิบัติการพิเศษ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า พ.ท.บุญยัง นาจรัส รอง ผบ.กรมทหารพรานที่ 45 และ พ.ต.ท.ปรีชา กิ่มเกลี้ยง สวป.สภ.เมืองนราธิวาส ช่วยราชการ หน.ชุดปฏิบัติการพิเศษ ภ.จ.นราธิวาส ได้ร่วมสนธิกำลังรวม 50 นาย ใช้กฎอัยการศึกบุกจู่โจมตรวจค้นเป้าหมายต้องสงสัย ซึ่งเป็นกระท่อมเลขที่ 107/1 บ.บาโงตา ม.1 ต.บาโงสะโต อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ซึ่งมีนายอับดุลกาฮา เจ๊ะนะ อายุ 28 ปี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ม.1 บ.บาโงตา เป็นเจ้าของ หลังสืบทราบ และรับแจ้งจากชาวบ้านในพื้นที่ว่า มีกลุ่มชายฉกรรจ์ต้องสงสัยกบดานในกระท่อมหลังดังกล่าว ซึ่งคาดว่าน่าจะเตรียมประชุมวางแผนเพื่อก่อเหตุป่วนในพื้นที่ และในขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังเดินเท้ากระจายกำลังเข้าโอบล้อม กลุ่มชายฉกรรจ์ในกระท่อมได้ใช้อาวุธปืนยิงเข้าใส่เจ้าหน้าที่ จนเกิดการยิงปะทะกันเป็นระลอกๆ กลุ่มคนร้ายเห็นจวนตัว และมีกำลังน้อยกว่า จึงพากันวิ่งออกจากกระท่อมหนีไปในป่ารกทึบท้ายหมู่บ้านจำนวน 3 คน และจากการเข้าตรวจค้นในกระท่อมอย่างละเอียด พบของกลางจำนวนกว่า 50 รายการ เช่น ปืนพกสั้นขนาด 9 มม.จำนวน 1 กระบอกพร้อมกระสุน เสื้อผ้าชุดลายพราง ผ้าห่ม รองเท้า เป้ เวชภัณฑ์ทางการแพทย์ ลูกประคำ กระเป๋า ที่ชาร์จโทรศัพท์ เปลสนาม โทรศัพท์มือถือ เงินสด ผ้าโสร่ง หนังสือคัมภีร์ หมวกกะปิเยาะ สมุดบัญชีธนาคาร ชุดดาวะ บัตรเอทีเอ็ม และอื่นๆ อีกหลายรายการ เจ้าหน้าที่จึงได้เก็บรวบรวมนำไปที่กองบังคับการ หน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารพรานที่ 45 อ.ระแงะ เพื่อให้ชุดนิติวิทยาศาสตร์เข้าตรวจสอบคราบลายนิ้วมือแฝง พร้อมควบคุมตัวนายอับดุลกาฮา ผช.ผญบ.ม.1 เจ้าของกระท่อมไปสอบปากคำเครียด เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตั้งข้อหาในฐานให้ที่พักพิงแก่กลุ่มโจรใต้ ส่วนผู้ที่หลบหนีการจับกุมไปได้ 3 คนซึ่งมีหมายจับ พ.ร.ก.เป็นสมาชิก RKK กลุ่มของนายอุสมาน แอสะ แกนนำสั่งการที่มีหมายจับ ป.วิอาญาหลายคดี ล่าสุด จากการตรวจค้นอย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่ได้ตรวจยึดอาวุธปืนสงคราม เอ็ม 16 จำนวน 1 กระบอก พร้อมกระสุนที่ถูกห่อหุ้มด้วยถุงสีดำ ซุกไว้ที่โคนต้นไม้ห่างกระท่อม 50 เมตร พร้อมด้วยเปลนอน 4 ผืน ถังพลาสติกสีฟ้าขนาด 50 ลิตร ที่ถูกฝังไว้เพื่อเตรียมนำอุปกรณ์ป่วนใต้มาซุกซ่อน เจ้าหน้าที่จึงได้เก็บรวบรวมเพื่อนำไปที่ ฉก.กรมทหารพรานที่ 45 ทำการพิสูจน์คราบลายนิ้วมือแฝง พร้อมของกลางที่ยึดได้ก่อนหน้านี้เช่นกัน

อ่านต่อ...

ยิงเอ็ม 79 ถล่มบ้าน “นัจมุดดีน” อดีต ส.ส.นราฯ 2 ลูกซ้อน

นราธิวาส - เกิดเหตุคนร้ายลอบยิงลูกระเบิด เอ็ม 79 ใส่บ้านนายนัจมุดดีน อูมา ซึ่งเป็นอดีต ส.ส.เขต 3 นราธิวาส จำนวน 2 ลูก โชคดีไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต จนท.คาด เป็นการกระทำของบุคคลที่ไม่ต้องการให้นายนัจมุดดีน เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับ ศอ.บต. เมื่อเวลา 08.00 น. วันนี้ (30 มี.ค.) พล.ต.ต.โชติ ชวาลวิวัฒน์ ผบก.ภ.จ.นราธิวาส, พ.ต.อ.สุชาติ อัศวจินดารัตน์ ผกก.สภ.ระแงะ, พ.ต.ท.กระจ่าง รักษ์ณรงค์ หน.กองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส, ร.ต.ต.แชน วรงคไพสิฐ หน.ชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด นปพ.จ.นราธิวาส และ ร.ต.ท.อรรฆพันธุ์ บัวสำลี พนักงานสอบสวน สภ.ระแงะ พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมเดินทางไปตรวจสอบเหตุคนร้ายยิง เอ็ม 79 ถล่มใส่บ้านของนายนัจมุดดีน อูมา ซึ่งเป็นอดีต ส.ส.เขต 3 หลายสมัย และปัจจุบันสังกัดอยู่พรรคมาตุภูมิ และยังเป็นที่ปรึกษา ศอ.บต. ตั้งอยู่เลขที่ 5 ถ.ระแงะมรรคา เขตเทศบาลตำบลตันหยงมัส และห่างจาก สภ.ระแงะ ประมาณ 700 เมตร
เมื่อถึงที่เกิดเหตุพบว่า ที่บริเวณกระเบื้องหลังคาชั้น 2 ซึ่งเป็นห้องนอนของนายนัจมุดดีน มีร่องรอยถูกกระสุนปืนเอ็ม 79 แตกเป็นรูโหว่ และมีเศษกระเบื้องตกมากองอยู่ที่พื้น เมื่อเข้าไปตรวจสอบภายในห้องนอนพบว่า ฝ้าเพดานมีร่องรอยถูกสะเก็ดกระสุนปืนเอ็ม 79 เป็นรูพรุน แถมกระจกหลอดไฟฟ้าแบบกลมตกลงมากองอยู่บนที่นอน และเจ้าหน้าที่ได้ประสานขอสนับสนุนรถกระเช้าจากสำนักงานเทศบาลตำบลตันหยงมัส ขึ้นไปตรวจสอบบนหลังคา พบว่ามีร่องรอยลูกกระสุนปืนเอ็ม 79 ตกใส่หลังคาในจุดเดียวกัน 2 ลูก เจ้าหน้าที่จึงได้เก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน และจากการตรวจสอบพยานหลักฐาน รวมทั้งประเมินวิถีกระสุนที่กลุ่มคนร้ายยิงถล่มใส่บ้านพักของนายนัจมุดดีน ในครั้งนี้ น่ามาจาก 2 จุด ซึ่งเป็นจุดใดจุดหนึ่ง คือ บริเวณนอกรั้วหลังบ้านพัก และบริเวณแนวถนนหน้าบ้านพัก ซึ่งดูจากวิถีกระสุนที่ตกลงใส่บ้าน คนที่ก่อเหตุมีความชำนาญในการใช้อาวุธนี้มาก ซึ่งเจ้าหน้าที่เตรียมตระเวนสอบปากคำบุคคลที่อยู่ละแวกจุดเกิดเหตุว่า มีใครเห็นการกระทำของกลุ่มคนร้ายชุดนี้บ้าง เพื่อที่จะได้ขยายผลไปสู่แนวทางในการสอบสวนจับผู้กระทำผิดมาลงโทษต่อไป จากการสอบสวนนางรอซีด๊ะ อูมา อายุ 39 ปี ซึ่งเป็นภรรยานายนัจมุดดีน ทราบว่า ในช่วงเวลาประมาณ 02.45 น. ของวันเดียวกันนี้ ขณะที่นอนร่วมกับลูกชายคือ ด.ช.อิสฟาน อายุ 11 ปี และลูกสาวคือ ด.ญ.อาวาฏิฟา อายุ 13 ปีภายในห้องพักนั้น ได้ยินเสียงคล้ายลูกระเบิดตกลงมาบ้านพักจำนวน 2 ลูก จึงได้ปลุกลูกสาว และลูกชายลงมาจากห้อง เปิดประตูบ้านออกไปพบว่า มีกระเบื้องมุงหลังคาตกมากองอยู่ที่พื้น จึงรู้ว่าถูกคนร้ายยิงถล่มใส่บ้านพัก จึงได้โทรศัพท์ประสานไปยังญาติ และเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบดังกล่าว แต่โชคดีที่กระสุนไม่ตกลงไปใส่ห้องนอน จึงทำให้ตน ลูกชาย และลูกสาวรอดตายไปได้อย่างหวุดหวิด
ด้าน พล.ต.ต.โชติ ชวาลวิวัฒน์ ผบก.ภ.จ.นราธิวาส กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่ามาจากกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ที่ไม่ต้องการให้นายนัจมุดดีน เข้าไปยุ่งเกี่ยวเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของ ศอ.บต. จึงอาศัยช่วงสถานการณ์ความไม่สงบลอบก่อเหตุ เพื่อโยนความผิดให้โจรใต้ ส่วนด้านนายนัจมุดดีน อูมา เปิดเผยผ่านทางโทรศัพท์ขณะนั่งเครื่องบินกลับบ้านที่ จ.นราธิวาส ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนไม่ทราบว่า คนร้ายเป็นใคร มุงประสงค์อะไร แต่จะทำงานต่อไปเพื่อรับใช้ประเทศชาติ คนเรามีทั้งคนชอบ คนเกลียด เป็นเรื่องธรรมดา ตนไม่หวั่นไหวจะดำรงชีวิตไปตามปกติ

อ่านต่อ...

วันพฤหัสบดี, มีนาคม 29, 2555

รัฐลุยรื้อตาดีกาชายแดนใต้ แจกตำราใหม่ใช้ของกระทรวง

สำนักการศึกษาเอกชน ลุยรื้อระบบโรงเรียนตาดีกาชายแดนใต้ เพื่อเรื่องธุรการ สารบัญหนังสือ เปลี่ยนใหม่ตำราเรียนอิสลามศึกษา ใช้หลักสูตรกระทรวงศึกษา ยกระดับคุณภาพ แก้ปัญหาไม่รับรองวุฒิ

นายนิฟูอัด บาสาลาฮา นักวิชาการอิสลามศึกษา สำนักงานการศึกษาเอกชนอำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน กระทรวงศึกษาธิการ กำลังวางระบบการเรียนการสอนให้โรงเรียนตาดีกา(ศูนย์การเรียนรู้อิสลามศึกษา)ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้มีระบบธุรการที่จำเป็นเพิ่มขึ้น โดยริเริ่มโครงการพัฒนาระบบการปฏิบัติการด้านธุรการและสารบัญในศูนย์ตาดีกา ซึ่งสำนักงานการศึกษาเอกชนอำเภอหนองจิก ได้ดำเนินการนำร่องได้ระยะหนึ่งแล้ว นายนิฟูอัด เปิดเผยว่า โรงเรียนตาดีกาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นสถาบันการสอนวิชาศาสนาอิสลามขั้นพื้นฐานในพื้นที่ ยังมีปัญหาเรื่องการวางระบบการเรียนการสอนอยู่มาก ส่วนระบบการจัดเก็บข้อมูลก็ยังมีส่วนที่จำเป็นต้องลงไปช่วยเสริม เช่นเดียวกับการพัฒนาทักษะให้แก่ผู้สอน “จากการสำรวจโรงเรียนตาดีกาในพื้นที่ พบว่า ผู้สอนส่วนมากไม่มีทักษะการวางแผนการสอน และยังขาดทักษะอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการพัฒนาคุณภาพการเรียนของเยาวชน” นายนิฟูอัด กล่าว นายซานูซี เบญจมันต์ ผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาเอกชนอำเภอหนองจิก เปิดเผยว่า สำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดปัตตานี ได้มอบหมายให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปัตตานี จัดพิมพ์และแจกจ่ายหนังสือเรียนให้แก่ โรงเรียนตาดีกาในจังหวัดปัตตานี ทั้งหมด 653 ศูนย์ โดยแบ่งเป็น 2 ช่วงชั้น นายซานูซี เปิดเผยว่า สำหรับหนังสือแบบเรียนดังกล่าว เป็นไปตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการศึกษาอิสลามประจํามัสยิด (ตาดีกา) ในจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส พ.ศ. 2548 โดยแบบเรียนสำหรับช่วงชั้นที่ 2 หรือชั้นอิบติดาอี (ชั้น 4 – 6) เทียบเท่าระดับประถมปลายในการศึกษาสายสามัญได้แจกจ่ายให้ศูนย์ต่างๆ แล้ว เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2555 ที่โรงแรมซีเอส.ปัตตานี ส่วนแบบเรียนช่วงชั้นที่ 1 ได้แจกจ่ายไปแล้วก่อนหน้านี้ นายซานูซี เปิดเผยอีกว่า ต้นคิดการเปลี่ยนแบบเรียนจากเดิมที่ใช้ในโรงเรียนตาดีกาปัจจุบัน มาจากการรวบรวมปัญหาที่พบในโรงเรียนตาดีกา ซึ่งการเปลี่ยนแบบเรียนดังกล่าวเป็นเพียงก้าวแรกของการรื้อการเรียนการสอนตาดีกา แล้วจะการให้เป็นระบบมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยจะมีการกำหนดมาตรฐานกลาง เพื่อการันตีว่า นักเรียนตาดีกามีความรู้ความสามารถในการแข่งขันความรู้ทางศาสนาในระดับประเทศได้ นายซานูซี เปิดเผยอีกว่า ที่ผ่านมาการเรียนการสอนตาดีกา ไม่มีมาตรฐานกลางในการกำหนดคุณภาพการศึกษาของเด็ก ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาระบบการเรียนการสอนของเยาวชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงจำเป็นต้องมีการวางระบบที่ชัดเจน เพื่อให้สามารถต่อรองกับกระทรวงศึกษาธิการได้ว่า ต้องลงมาสนับสนุนในส่วนใดบ้าง นายซานูซี เปิดเผยว่า ปัจจุบันนักเรียนตาดีกาเสียเปรียบการศึกษาในระบบอื่น เนื่องจากวุฒิการศึกษาตาดีกายังไม่ได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการ อีกทั้งยังเสียเปรียบในเชิงการเปรียบเทียบความรู้ เมื่อมีการทดสอบความรู้วิชาศาสนาหรือ I-Net เนื่องจากมาตรฐานกลางความรู้ด้านศาสนาอิสลามปัจจุบันอ้างอิงตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการศึกษาอิสลามประจำมัสยิดมัสยิด (ตาดีกา) ในจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส พ.ศ. 2548 แต่โรงเรียนตาดีกาในจังหวัดชายแดนใต้ไม่ได้ใช้แบบเรียนตามระเบียบดังกล่าว นายซานูซี เปิดเผยว่า การที่กระทรวงศึกษาธิการยังไม่รับรองวุฒิอิสลามของตาดีกา ทำให้เยาวชนเสียโอกาสในการเรียนต่อชั้นศาสนาที่สูงขึ้น สำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดปัตตานีจึงพยายามแก้ไขปัญหานี้ โดยเข้าไปวางระบบการเรียนการสอนตาดีกาให้เป็นระบบมากกว่าที่เป็นอยู่

อ่านต่อ...

สำนวนไต่สวนการตายกรณีสี่ศพถึงมืออัยการ ตร.ตั้งคดีอาญาสี่ทหารพราน-ชาวบ้าน

ตำรวจส่งสำนวนไต่สวนการการตายกรณีชาวบ้านถูกทหารพรานยิงเสียชีวิตสี่ศพให้กับอัยการปัตตานีเพื่อส่งให้ศาลต่อไป พร้อมตั้งคดีอาญากับทั้งฝ่ายทหารพรานและชาวบ้าน คาดญาติผู้ตายได้เงินเยียวยาเจ็ดล้าน ในการประชุมคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 29 มีนาคม 2555 ที่รัฐสภา ทางคณะกรรมาธิการฯ ได้เชิญตัวแทนฝ่ายรัฐและประชาชนมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่ทหารพรานยิงชาวบ้านเสียชีวิตสี่ศพ และบาดเจ็บอีกสี่คนที่บ้านกาหยี อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ในวันที่ 29 มกราคม 2555 โดยมีผู้ที่มาให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ พล.ท. อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่สี่ พล.ท. มนตรี อุมารี หัวหน้าคณะทำงานเยียวยาและศาสนา กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า นายลือชัย เจริญทรัพย์ นายอำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี นายปิยะ กิจถาวร รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ต.อ. โพธ สวยสุวรรณ รองผู้บังคับการจังหวัดปัตตานี และ นายอนุกูล อาแวปูเตะ ทนายความจากมูลนิธิศูนย์ทนายมุสลิม พ.ต.อ. โพธ เปิดเผยว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำสำนวนการชันสูตรพลิกศพผู้ตายเสร็จสิ้นแล้วและได้ส่งให้พนักงานอัยการปัตตานีไปเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เพื่อทำคำร้องต่อศาลเพื่อให้ไต่สวนการตาย และได้มีคำสั่งว่าผู้ตายเป็นใคร ตายที่ไหน ตายอย่างไร ประมวลกฎหมายอาญาได้กำหนดให้ศาลต้องทำการไต่สวนการตายในกรณีการวิสามัญฆาตกรรมและการเสียชีวิตในระหว่างการควบคุมตัวของเจ้าพนักงานของรัฐในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ นอกจากนี้ พ.ต.อ.โพธ กล่าวว่า ตำรวจยังได้ทำสำนวนคดีอีกสองสำนวน ในสำนวนแรก เจ้าพนักงานถูกกล่าวหาว่ากระทำการอันเป็นเหตุให้มีผู้ถึงแก่ความตาย โดยในคดีนี้มีผู้ต้องหาสี่คนซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทหารพรานที่อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งมีการตั้งข้อหาในประเด็นร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83 และ 288 สำนวนที่สอง คือ เจ้าพนักงานกล่าวหาว่ามีคนร้ายพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน ในสำนวนนี้ยังไม่ได้มีการระบุตัวผู้ต้องหาและข้อหาแต่อย่างใด พ.ต.อ.โพธกล่าวว่าในการสอบปากคำ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำตามระเบียบทุกประการ เช่น มีล่ามให้ในกรณีที่ผู้ถูกสอบปากคำใช้ภาษามลายูถิ่นและมีผู้ที่ผู้ถูกสอบปากคำให้การไว้วางใจเข้าร่วมรับฟังทุกครั้ง ในกรณีการสอบปากคำเยาวชน จะมีบิดามารดาและนักสังคมสงเคราะห์เข้าร่วมฟังการการสอบสวนทุกครั้ง นายกมลศักดิ์ แวลีเมาะ ทนายความจากมูลนิธิศูนย์ทนายมุสลิมตั้งข้อสังเกตว่าหากมีการดำเนินคดีกับชาวบ้านที่รอดชีวิต การเยียวยาที่ฝ่ายรัฐพยายามทำอยู่นี้จะไม่มีความหมาย ทางด้านนายโกวิทย์ ธารณา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการทหาร กล่าวว่าเขาเกรงว่าผู้ไม่หวังดีจะเอาเรื่องนี้ไปเป็นประเด็น ถ้าหากว่าชาวบ้านถูกตัดสินว่ามีความผิด เรื่องนี้จะไม่จบ ทางด้าน พล.ท.อุดมชัย กล่าวว่าโดยส่วนตัวแล้ว ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะไม่เดินไปถึงขนาดที่นายกมลศักดิ์กล่าว แต่จำเป็นที่จะต้องให้กระบวนการยุติธรรมเดินไป ในการประชุม พล.ท.อุดมชัยได้สรุปถึงผลการดำเนินงานของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ท่านได้แต่งตั้งขึ้นให้กับคณะกรรมาธิการการทหารทราบ โดยคณะกรรมการได้สรุปว่าเหตุการณ์นี้เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งอยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ โดยฝ่ายประชาชนนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ สาเหตุที่เกิดขึ้นก็เนื่องจากสำคัญผิดเพราะว่าสภาพแวดล้อมในขณะนั้นมืดและเวลาเกิดนั้นค่อนข้างดึก ในส่วนของการหาหลักฐานนั้นยังทำได้ไม่ถึงที่สุด เพราะชาวบ้านไม่ให้ความร่วมมือ โดยแม่ทัพภาคสี่ได้แสดงความเห็นด้วยกับข้อเสนอของคณะกรรมการในการจัดตั้งองค์คณะที่มีความเป็นอิสระในการดำเนินการด้านนิติวิทยาศาสตร์ขึ้นในพื้นที่เพื่อสร้างความเชื่อมั่นกับประชาชน รวมทั้งให้มีนักจิตวิทยาเข้าไปดูแลทหารที่ทำงานภายใต้ภาวะกดดันเป็นเวลานาน นายอนุกูล ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกล่าวว่าการตั้งคณะกรรมการชุดนี้มีคุณค่ามากในการเคลียร์ความคลางแคลงใจของชาวบ้าน แต่การหาหลักฐานก็อาจจะยังมีความติดขัดอยู่เพราะชาวบ้านไม่เชื่อมั่นและไม่อยากให้ความร่วมมือในการพิสูจน์หลักฐานกับรัฐ เขายกตัวอย่างเรื่องการผ่าศพชันสูตรที่หลายครั้งชาวบ้านปฏิเสธเพราะเชื่อว่าผิดหลักการทางศาสนา ชาวบ้านตั้งคำถามว่าเมื่อผ่าศพแล้วศพเสียหาย แต่ชาวบ้านจะได้ประโยชน์อะไร เขาไม่เชื่อว่าจะได้รับความเป็นธรรม นายปิยะ กล่าวว่าในช่วงต้นเดือนเมษายนนี้ ทางเลขาธิการ ศอ.บต. จะได้เสนอเรื่องให้กับทางคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) พิจารณาว่าผู้ที่เสียชีวิตสี่ศพในเหตุการณ์นี้เข้าข่ายที่จะได้รับเงินเยียวยาเจ็ดล้านบาทหรือไม่ ซึ่งกรณีนี้เข้าเงื่อนไขทุกอย่าง แต่จะได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับมติของ กพต. โดยในเบื้องต้น ศอ.บต. ได้อนุมัติการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ที่เสียชีวิตทั้งสี่คนไปแล้วรายละห้าแสนบาท

อ่านต่อ...

อบต.ตันหยงลุโล๊ะ จับมือสมาคมจันทร์เสี้ยวฯ จัดพิธีสุนัตหมู่

ปัตตานี - อบต.ตันหยงลุโล๊ะ ร่วมกับสมาคมจันทร์เสี้ยวการแพทย์และสาธารณสุข จัดพิธีเข้าสุนัตหมู่ให้แก่เยาวชน จำนวน 50 คน วันนี้ (29 มี.ค.) ที่ห้องประชุม อบต.ตันหยงลุโล๊ะ ม.3 บ้านกรือเซะ ต.ตันหยงลุโล๊ะ อ.เมือง จ.ปัตตานี นายแวหะมะนาวี มะรอแม นายก อบต.ตันหยงลุโล๊ะ นายอุสรัน ตาเยะ นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ พร้อมด้วยบุคลากรของสมาคมจันทร์เสี้ยวการแพทย์และสาธารณสุข ร่วมกันจัดทำพิธีสุนัตหมู่ หรือการขลิบปลายอวัยวะเพศชาย ให้กับเยาวชนในพื้นที่ตำบลตันหยงลุโล๊ะ จำนวน 50 คน เพื่อเป็นการปฏิบัติตามหลักของศาสนาอิสลามที่บัญญัติให้มุสลิมชายทุกคนขลิบปลายอวัยวะเพศ เพื่อสุขอนามัยที่ดี และป้องกันโรคติดต่อทางเพศอีกทางหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การจัดพิธีสุนัตหมู่ในครั้งนี้ ได้มีการสืบสานประเพณีโบราณที่ได้มีการปฏิบัติแพร่หลายในระยะหนึ่งเกือบทุกพื้นที่ของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และกำลังจะสูญหายไปจากสังคมที่นี่ โดยจัดให้มีการทำพิธีรับขวัญให้แก่เยาวชนที่ร่วมในพิธีสุนัตหมู่ ประกอบด้วยข้าวเหนียวหลากสี ไก่ย่างทั้งตัว ข้าวพอง และน้ำสะอาดเป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อเป็นการปลอบขวัญมิให้ตระหนกตกใจ นายอุสรัน ตาเยะ นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ กล่าวว่า สาเหตุที่ทางสมาคมได้ร่วมมือกับหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้มีการจัดทำพิธีสุนัตหมู่ขึ้น เพื่อจะให้สังคมที่นี่เข้าถึงการแพทย์อย่างแท้จริง โดยเฉพาะการเข้าสุนัตของเยาวชนที่นี่ที่ผ่านมามีการติดเชื้อเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ต้องรักษาแผลเป็นเวลานานกว่าจะหาย แต่ด้วยวิถีการแพทย์ที่ทางสมาคมจันทร์เสี้ยวฯ ได้เน้นเป็นพิเศษในเรื่องการติดเชื้อ จึงการันตีได้ว่าเยาวชนสามารถรักษาบาดแผลหายในเวลาเพียง 1 สัปดาห์ จึงสร้างความประทับใจให้กับพี่น้องมุสลิมในพื้นที่เป็นอย่างมาก
โดยสมาคมจันทร์เสี้ยวฯ ดำเนินงานในลักษณะนี้เป็นเวลา 15 ปีมาแล้ว และในปีนี้ทางสมาคมจันทร์เสี้ยวฯ ได้ตอบรับหนังสือให้ร่วมงานสุนัตหมู่จำนวน 16 แห่ง และไกลที่สุดถึงจังหวัดบุรีรัมย์

อ่านต่อ...

ทหารส่งผู้หลงผิดกลับบ้าน ย้ำ!ผู้หลบซ่อนตัวติดต่อทางการด่วน

นราธิวาส - ทหารส่งผู้หลงผิดคืนสู่เหย้า พร้อมวอนผู้หลงผิดที่หลบซ่อนในประเทศเพื่อนบ้านเข้ามอบตัว ทางการพร้อมให้โอกาสเสมอ วันนี้ (29 มี.ค.) ที่สโมสรร่มเกล้า อ.เมืองจ.นราธิวาส นาวาเอกสมเกียรติ ผลประยูร ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินกองทัพเรือ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมต้อนรับผู้หลงผิดที่ผ่านการอบรม “โครงการประชาร่วมใจทำความดีเพื่อแผ่นดิน” ของ กอ.รมน.ภาค 4 จำนวน 13 คน ซึ่งอาศัยอยู่พื้นที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี 1 คน และอาศัยอยู่พื้นที่ อ.ยี่งอ และ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส 12 คน เพื่อส่งกลับภูมิลำเนา โดยมีผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่น บิดาและมารดารวมทั้งบุตร มาคอยต้อนรับกลับบ้าน โดยตัวแทน 1 ใน 13 ของผู้หลงผิด เปิดเผยความในใจว่า ตนซาบซึ้งเป็นอย่างมากที่ทางการให้โอกาสพวกตนกลับมาใช้ชีวิตในสังคมแบบไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ต่อแต่นี้จะใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและทำประโยชน์ให้กับบ้านเมือง เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ และเป็นพสกนิกรที่ดีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พร้อมกันนี้ นาวาเอกสมเกียรติ ผลประยูร ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินกองทัพเรือ ได้ประชาสัมพันธ์ผ่านผู้นำศาสนาและผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่รับผิดชอบที่เดินทางมาร่วมงานในฐานะสักขีพยานในครั้งนี้ว่า สำหรับผู้หลงผิดที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีความมั่นคงที่เดินทางไปหลบซ่อนตัวในประเทศเพื่อนบ้านนั้น ตนอยากวิงวอนให้ติดต่อเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ทางการ ตนรับประกันจะให้ความเป็นธรรมทุกราย ผิดว่าไปตามผิด ผิดแล้วสำนึก สังคมและเจ้าหน้าที่จะให้โอกาส เพื่อบ้านเมืองและครอบครัวจะได้มีความสงบสุข และตนพร้อมที่จะหาอาชีพให้ทำเพื่อเลี้ยงครอบครัวต่อไป

อ่านต่อ...

สำนวนไต่สวนการตายกรณี 4 ศพถึงมืออัยการ ตร.ตั้งคดีอาญา 4 ทหารพราน-ชาวบ้าน

สงขลา - ตำรวจส่งสำนวนกรณีชาวบ้านถูกทหารพรานยิงเสียชีวิต 4 ศพให้กับอัยการปัตตานี เพื่อส่งให้ศาลไต่สวนการตายต่อไป พร้อมตั้งคดีอาญากับทั้งฝ่ายทหารพรานและชาวบ้าน คาดญาติผู้ตายได้เงินเยียวยา 7 ล้านบาท วันนี้ (29 มี.ค.) ในการประชุมคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ที่รัฐสภา ทางคณะกรรมาธิการฯ ได้เชิญตัวแทนฝ่ายรัฐและประชาชนมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่ทหารพรานยิงชาวบ้านเสียชีวิต 4 ศพ และบาดเจ็บอีก 4 คน เหตุเกิดที่บ้านกาหยี อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ในวันที่ 29 มกราคม 2555 โดยมีผู้ที่มาให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ พล.ท. อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาค4, พล.ท. มนตรี อุมารี หัวหน้าคณะทำงานเยียวยาและศาสนา กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า, นายลือชัย เจริญทรัพย์ นายอำเภอหนองจิก, นายปิยะ กิจถาวร รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้, พ.ต.อ. โพธ สวยสุวรรณ รองผู้บังคับการจังหวัดปัตตานี และ นายอนุกูล อาแวปูเตะ ทนายความจากมูลนิธิศูนย์ทนายมุสลิม พ.ต.อ.โพธ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำสำนวนการชันสูตรพลิกศพผู้ตายเสร็จสิ้นแล้ว และได้ส่งให้พนักงานอัยการปัตตานีไปเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เพื่อทำคำร้องต่อศาลเพื่อให้ไต่สวนการตาย และได้มีคำสั่งว่าผู้ตายเป็นใคร ตายที่ไหน ตายอย่างไร ทั้งนี้ ประมวลกฎหมายอาญาได้กำหนดให้ศาลต้องทำการไต่สวนการตายในกรณีการวิสามัญฆาตกรรมและการเสียชีวิตในระหว่างการควบคุมตัวของเจ้าพนักงานของรัฐในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ นอกจากนี้ พ.ต.อ.โพธ กล่าวว่า ตำรวจยังได้ตั้งคดีอีก 2 สำนวน ในสำนวนแรก เจ้าพนักงานถูกกล่าวหาว่ากระทำอันเป็นเหตุให้มีผู้ถึงแก่ความตาย โดยในคดีนี้มีผู้ต้องหา 4 คน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทหารพรานที่อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งมีการตั้งข้อหาในประเด็นร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83 และ 288 สำนวนที่สอง คือ เจ้าพนักงานกล่าวหาว่ามีคนร้ายพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน ในสำนวนนี้ยังไม่ได้มีการระบุตัวผู้ต้องหาและข้อหาแต่อย่างใด โดยในการสอบปากคำ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำตามระเบียบทุกประการ เช่น มีล่ามให้ในกรณีที่ผู้ถูกสอบปากคำใช้ภาษามลายูถิ่น และมีผู้ที่ผู้ถูกสอบปากคำให้การไว้วางใจเข้าร่วมรับฟังทุกครั้ง ในกรณีการสอบปากคำเยาวชนจะมีบิดามารดา และนักสังคมสงเคราะห์เข้าร่วมฟังการการสอบสวนทุกครั้ง นายกมลศักดิ์ แวลีเมาะ ทนายความจากมูลนิธิศูนย์ทนายมุสลิม ตั้งข้อสังเกตว่าหากมีการดำเนินคดีกับชาวบ้านที่รอดชีวิต การเยียวยาที่ฝ่ายรัฐพยายามทำอยู่นี้จะไม่มีความหมาย ทางด้านนายโกวิทย์ ธารณา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการทหาร กล่าวว่า ตนเกรงว่าผู้ไม่หวังดีจะเอาเรื่องนี้ไปเป็นประเด็น ถ้าหากว่าชาวบ้านถูกตัดสินว่ามีความผิด เรื่องนี้จะไม่จบ ขณะที่ พล.ท.อุดมชัย กล่าวว่า โดยส่วนตัวแล้ว ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะไม่เดินไปถึงขนาดที่นายกมลศักดิ์กล่าว แต่จำเป็นที่จะต้องให้กระบวนการยุติธรรมเดินไป อย่างไรก็ตาม ในการประชุม พล.ท.อุดมชัย ได้สรุปถึงผลการดำเนินงานของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ได้แต่งตั้งขึ้นให้กับคณะกรรมาธิการการทหารทราบ โดยคณะกรรมการได้สรุปว่าเหตุการณ์นี้เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งอยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ โดยฝ่ายประชาชนนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ ส่วนสาเหตุที่เกิดขึ้นก็เนื่องจากสำคัญผิดเพราะว่าสภาพแวดล้อมในขณะนั้นมืด และเวลาเกิดนั้นค่อนข้างดึก และในส่วนของการหาหลักฐานนั้นยังทำได้ไม่ถึงที่สุด เพราะชาวบ้านไม่ให้ความร่วมมือ โดยแม่ทัพภาคสี่ได้แสดงความเห็นด้วยกับข้อเสนอของคณะกรรมการในการจัดตั้งองค์คณะที่มีความเป็นอิสระในการดำเนินการด้านนิติวิทยาศาสตร์ขึ้นในพื้นที่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน รวมทั้งให้มีนักจิตวิทยาเข้าไปดูแลทหารที่ทำงานภายใต้ภาวะกดดันเป็นเวลานานด้วย นายอนุกูล ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กล่าวว่า การตั้งคณะกรรมการชุดนี้มีคุณค่ามากในการสะสางความคลางแคลงใจของชาวบ้าน แต่การหาหลักฐานก็อาจจะยังมีความติดขัดอยู่ เพราะชาวบ้านไม่เชื่อมั่นและไม่อยากให้ความร่วมมือในการพิสูจน์หลักฐานกับรัฐ ยกตัวอย่างเรื่องการผ่าศพชันสูตรที่หลายครั้งชาวบ้านปฏิเสธ เพราะเชื่อว่าผิดหลักการทางศาสนา ชาวบ้านตั้งคำถามว่าเมื่อผ่าศพแล้วศพเสียหาย แต่ชาวบ้านจะได้ประโยชน์อะไร และไม่เชื่อว่าจะได้รับความเป็นธรรม ด้าน นายปิยะ รองเลขาธิการ ศอ.บต. กล่าวว่า ในช่วงต้นเดือนเมษายนนี้ ทางเลขาธิการ ศอ.บต. จะได้เสนอเรื่องให้กับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) พิจารณาว่า ผู้ที่เสียชีวิต 4 ศพในเหตุการณ์นี้เข้าข่ายที่จะได้รับเงินเยียวยา 7 ล้านบาทหรือไม่ ซึ่งกรณีนี้เข้าเงื่อนไขทุกอย่าง แต่จะได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับมติของ กพต. โดยในเบื้องต้น ศอ.บต. ได้อนุมัติการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ที่เสียชีวิตทั้ง 4 คนไปแล้วรายละ 500,000 บาท

อ่านต่อ...

ถึงเวลาต้องยกเครื่อง ศปก.สกัด “คาร์บอมบ์” รับมือก่อการร้ายเมษาฯเลือด/ไชยยงค์ มณีพิลึก

คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้ โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก สถานการณ์การก่อการร้ายใน 3 จังหวัด และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ซึ่งมีเหตุร้ายรุนแรงมากขึ้น และมีแนวโน้มว่าในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ โดยมีปัจจัยที่นำสู่ความรุนแรงของการก่อการร้าย คือข่าวจาก หน่วยข่าวความมั่นคงที่ได้รับจาก “สายข่าว” ในพื้นที่ว่า แกนนำของกลุ่มนักรบฟาตอนี หรือ “อาร์เคเค” ได้สั่งการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือ อบต. ในเขตที่แกนนำขบวนการแบ่งแยกดินแดนมีอิทธิพล จัดหาเครื่องแบบ เครื่องหมายของตำรวจ ทหาร อบต.ละ 20 ชุด เพื่อส่งมอบให้กับ “อาร์เคเค” ภายในสิ้นเดือนมีนาคมนี้ และยังมีการสั่งการของ “แกนนำ” ถึงบรรดาเจ้าของเต็นท์รถมือสองใน 4 จังหวัด คือ สงขลา ปัตตานี ยะลา และ นราธิวาส ซึ่งเป็นเครือข่ายค้ายาเสพติดที่เป็นสนับสนุนทางการเมืองให้กับขบวนการแบ่งแยกดินแดน จัดเตรียมรถยนต์ด้วยการอำพราง ดัดแปลง ให้คล้ายกับรถยนต์ของ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ที่ใช้อยู่ในพื้นที่ให้อยู่ในลักษณะความพร้อมในการใช้งาน ข่าวทางลับทั้ง 2 เรื่อง จึงเชื่อได้ว่า ในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ กลุ่มนักรบฟาตอนี หรือ อาร์เคเค มีแผนในการก่อความไม่สงบในพื้นที่ 4 จังหวัดด้วยวิธีการที่เคยใช้และใช้ได้ผล เช่นการแต่งเครื่องแบบตำรวจ ใช้รถติดตราโล่และพ่นคำว่า สภ.ในพื้นที่ เข้าโจมตีปล้นปืนที่คุ้มครองหมู่บ้านบ้านกาลอ อ.รามัน จ.ยะลา ฆ่าเจ้าหน้าที่และยึดอาวุธปืนไปได้จำนวน 7 กระบอก หรือการแต่งกายคล้ายทหารพรานเข้าไปยังฐานปฏิบัติการของทหารชุมคุ้มครองครู ก่อนฆ่าทิ้งทั้ง 5 คน และยึดปืนไปได้ 5 กระบอก และอีกหลายๆ คดี ที่คนร้ายแต่งกายเรียงแบบเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร เข้าไป ปฏิบัติการฆ่าและปล้นอาวุธปืน รวมทั้งใช้รถยนต์ที่ดัดแปลงให้เหมือนรถยนต์ของหน่วยราชการเป็น “คาร์บอมบ์” เช่น ทำสีรถ และติดสติ๊กเกอร์ของสาธารณสุข จ.ปัตตานี ประกอบเป็น “คาร์บอมบ์” สร้างความเจ็บและตาย ให้กับประชาชนกลางเมืองปัตตานี และอีกหลายต่อหลายเหตุการณ์ ที่ใช้วิธีการเดียวกัน จึงกลายเป็นประเด็นคำถามถึง ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศชต ) และศูนย์ปฏิบัติการตำรวจส่วนหน้า ( ศปก. ) ซึ่งมีการจัดตั้งศูนย์ป้องกันและปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์ โดยมีหน้าที่ปราบปราม ติดตามจับกุมการโจรกรรมรถยนต์ในพื้นที่รับผิดชอบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า นับตั้งแต่มีการจัดตั้งศูนย์โจรกรรมรถยนต์มาเป็นเวลาหลายปี ศูนย์นี้ได้ทำหน้าที่ในการติดตามจับกุมรถยนต์ที่ “แนวร่วม” นำมาใช้ปฏิบัติการ ทั้งเป็นยานพาหนะในการโจมตีเจ้าหน้าที่ เข่นฆ่าประชาชน และนำไปประกอบเป็น “คาร์บอมส์” ได้ผลมากน้อย เพียงใด เพราะที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เคยตรวจค้น จับกุม หรือยึดรถยนต์ที่คนร้ายใช้ในการก่อเหตุร้าย และใช้ในการประกอบ “คาร์บอมบ์” ได้แม้แต่ครั้งเดียว ทั้งที่โดยข้อเท็จจริง รถยนต์ที่คนร้ายใช้ในการก่อเหตุทั้งหมด วนเวียนอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จุดปฏิบัติการแต่ละครั้งของคนร้ายส่วนใหญ่กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ คือทางหลวงแผ่นดิน ไม่ใช้ทางหลวงชนบท และหลังก่อเหตุ เจ้าหน้าที่ไม่เคยสกัดจับได้ หรือติดตามตรวจพบและยึดได้แม้แต่คันเดียว สิ่งที่ได้ประโยชน์จากศูนย์ฯดังกล่าว คือหลังเกิด “คาร์บอมบ์” จะได้ข้อมูลว่าเป็นรถของใคร และถูกโจรกรรมไปเมื่อวันที่เท่าไหร่ แจ้งความไว้ที่ไหน ประโยชน์ของศูนย์ฯ ที่เห็นจึงมีเพียงเป็นได้แค่ “ศูนย์ข้อมูล” เท่านั้น หาใช่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการโจรกรรมอย่างการตั้งชื่อ ดังนั้น การที่จะแก้ปัญหาปฏิบัติการ “คาร์บอมบ์” ก็ดี การแก้ปัญหาคนร้ายปฏิบัติการฆ่าคน ฆ่าเจ้าหน้าที่ ปล้นชิงอาวุธ รถยนต์ในพื้นที่ก็ดี จะสำเร็จได้นั้นต้องตรวจค้น ตรวจยึด จับกุมรถยนต์ ผู้ครอบครองรถยนต์ที่ถูกโจรกรรมมา และถูกนำมาดัดแปลง ซึ่งรถเหล่านี้ส่วนหนึ่ง ซ่อนหรือจอดไว้ในเต็นท์รถในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และซ่อนอยู่ในหมู่บ้านต่างๆ ที่เป็นเขตอิทธิพลของขบวนการ ซึ่งเป็นหน้าที่ของศูนย์ป้องกันและโจรกรรมรถยนต์ ของ ศชต. ที่จะต้องหาวิธีการ สืบสวนสอบสวน เพื่อเข้าถึง “ข่าว” เข้าถึงสถานที่ซุกซ่อนรถยนต์เหล่านี้ให้ได้ ไม่ว่าด้วยวิธีใด ศปก. และ ศชต. เป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้น เพื่อรับผิดชอบในพื้นที่ ซึ่งมีเหตุรุนแรง และเป็นพื้นที่พิเศษ ที่มีการก่อการร้าย มีความพยายามแบ่งแยกดินแดนเพื่อให้เป็น “รัฐเดียว” ดังนั้นหน่วยงานทุกหน่วย ต้องมีความเป็นลักษณะที่ “พิเศษ” กว่าหน่วยงานเดียวกันที่อยู่ในพื้นที่อื่นๆ เช่น บชภ.8 และ 9. เพราะหากตั้งขึ้นมาแล้ว มีลักษณะเดียวกับศูนย์ป้องกันและปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์เหมือนที่อื่นๆ ก็จะได้สามารถอวยประโยชน์ เพื่อการแก้ปัญหา การก่อการร้ายแต่อย่างใด ล่าสุด พล.อ.อ.กำพล สุวรรณทัต รมว. กลาโหม ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงการแก้ปัญหาการก่อเหตุรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ต้องควบคุมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ โทรศัพท์ และการเคลื่อนไหวของบุคคล ซึ่งเป็นยุทธวิธีที่ถูกต้อง แต่เรื่องอย่างนี้ กอ.รมน. ทำไม่ได้ ทำไม่สำเร็จต้องเป็นงานของตำรวจ เป็นงานของ ศปก. หรือ ศชต. เพราะตำรวจเท่านั้นที่ถนัดงานด้านสืบสวนสอบสวน ติดตาม แกะรอย และจับกุม และที่สำคัญที่สุด ตำรวจคือเจ้าพนักงานผู้รักษากฎหมายที่ใช้กฎหมาย ป. วิอาญา อย่างเข้าใจ
ดังนั้น การแก้ปัญหา “คาร์บอมบ์” และการแก้ปัญหาปฏิบัติการรายวัน บนท้องถนน ทั้งการโจมตีจุดตรวจ การโจมตีฐานปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่จะลดน้อยลงได้หรือไม่ จึงอยู่ที่ขีดความสามารถของ ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์ เป็นด้านหลัก ซึ่งเป็นสิ่งที่ ศชต. ต้องเร่งในการดำเนินการ แก้ไขข้อบกพร่อง ความไร้ประสิทธิภาพของหน่วยงานให้สามารถสนองตอบต่อการแก้ปัญหาการก่อการร้ายให้ได้ผล เพราะหากปล่อยให้ เหล่านักรบฟาตอนี หรือ “อาร์เคเค” มีเสรีในการเคลื่อนไหว โดยการใช้ยานพาหนะที่โจรกรรมมา ก่อเหตุร้ายตามอำเภอใจ สถานการณ์ความรุนแรงของจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังจะรุนแรงยิ่งขึ้นและจะไม่มีพื้นที่ปลอดภัยเหลืออยู่ ซึ่งจะส่งผลต่อการย้ายถิ่นของประชาชน ส่งผลให้ประชาชนที่เหลืออยู่กลายเป็น “แนวร่วม” จำยอมของขบวนการ ซึ่งจะนำไปสู่การพ่ายแพ้ทาง “การเมือง” ในที่สุด และนั่นคือความต้องการที่ “บีอาร์เอ็นฯ” ต้องการให้เป็น
และปัญหาเฉพาะหน้าในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นเดือนที่ “แกนนำ” ใช้เป็นสัญลักษณ์ในการเคลื่อนไหวก่อความรุนแรง จากเหตุการณ์ล้อมปราบที่ มัสยิดกรือเซะ จ.ปัตตานี จนมีคนตายจำนวน 28 คน ซึ่งจากข่าวการจัดหาเครื่องแบบตำรวจและการจัดเตรียมรถยนต์ให้มีความพร้อม แสดงชัดเจนว่าต้องมีเหตุร้ายครั้งใหญ่อย่างแน่นอน ในเมื่อ “แนวร่วม” มีการเตรียมการ และเตรียมพร้อมถึงขนาดนี้ ฝ่ายเรา ทั้ง กอ.รมน. และ ศชต. มีความพร้อมทั้งในการ “รุก” และตั้งรับกันพร้อมเพรียงแค่ไหน อย่าคิดเพียงว่า การที่ “แนวร่วม” ฆ่าผู้บริสุทธิ์มากขึ้น เราจะชนะทาง “ยุทธศาสตร์” เพราะประชาชนจะเคียดแค้น เกลียดชัง ไม่สนับสนุนแก่ขบวนการ เราจึงย่อมเพลี่ยงพล้ำทาง “ยุทธวิธี” เพื่อเอาชนะทางยุทธศาสตร์ เพราะถ้าคิดกันได้แค่นี้จะเข้าตำรา “ถั่วสุก งาไหม้” หายนะ จะอยู่คู่กับจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปอีกยาวนาน

อ่านต่อ...

ประกบยิง รปภ.องค์การสะพานปลาเสียชีวิต ที่ปัตตานี

ปัตตานี - คนร้ายประกอบยิง จนท.รปภ.องค์การสะพานปลา ที่ จ.ปัตตานี หลังจากเลิกงาน เสียชีวิตจบกองเลือด ตร.คาดประเด็นเรื่องส่วนตัว แต่ยังไม่ตัดทิ้ง การสร้างสถานการณ์ วันนี้ (29 มี.ค.) เวลา 08.30 น พ.ต.อ.สมพร มีสุข ผกก.สภ.เมืองปัตตานี ได้รับแจ้งเกิดเหตุยิงกันบนถนนสราญรมย์ ม.11 ต.บานา จึงได้นำกำลังไปที่เกิดเหตุพบผู้เสียชีวิตนอนตายจมกองเลือด สภาพถูกรถ จักรยานยนต์.ยี่ห้อฮอนด้า ทะเบียน ขกต 853 ปัตตานี ล้มทับอยู่ ทราบชื่อผู้เสียชีวิต นายนพพร วงษาคง อายุ 59 ปี เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย องค์การสะพานปลา อยู่บ้านเลขที่ 286/58 ม.8 ต.บานา อ.เมืองปัตตานี ถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด 11 มม.เข้าศีรษะและลำตัว จำนวน 2 นัด ในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนและกระสุนปืน ขนาด 11 มม.จำนวน 2 ปลอกจึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน สอบสวนทราบว่า หลังจากที่ผู้ตายออกเวรรักษาความปลอดภัยที่องค์การสะพานปลา ท่าเทียบเรือปัตตานี จึงได้ขับรถจักรยานยนต์เดินทางกลับบ้านพัก ปรากฏว่ามาถึงที่เกิดเหตุ ถูกคนร้าย 2 คนขับรถ จักรยานยนต์ตามประกบยิงจำนวน 4 นัดเสียชีวิตทันที ก่อนที่จะเร่งเครื่องหลบหนีไป
หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้วิทยุไล่ติดตามคนร้ายพร้อมทั้งนำภาพจากกล้องวงจรปิดมาตรวจสอบคาดว่าจะเห็นคนร้ายที่เกิดเหตุ ส่วนสาเหตุอยู่ระหว่างการสอบสวน เบื้องต้นเชื่อน่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องงาน แต่ก็ไม่ตัดทิ้งประเด็นสร้างสถานการณ์

อ่านต่อ...

ปัตตานีลุ้นระทึกอัด "ซีโฟร์" ระเบิดกระโปรงรถ BMW จอดข้ามคืนหวั่นก่อเหตุร้าย

ปัตตานี - ปิดถนน อ.หนองจิก ตรวจระเบิดในเก๋ง BMW ระทึก หลังประชาชนแจ้ง จนท.หวั่นเป็นคาร์บอมบ์ เนื่องจากพบเห็นมีผู้ขับมาจอดทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อเย็นวานนี้ วันนี้ (29 มี.ค.) เมื่อเวลา 11.30 น. พ.ต.อ.ชนวีร์ ชมาฤกษ์ ผกก.สภ.หนองจิก จ.ปัตตานี ได้ประสานชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดอโนทัย ให้มาตรวจสอบรถยนต์เก๋งต้องสงสัย ยี่ห้อ BMW รุ่นเก่า ทะเบียน กก 2434 ยะลา จอดริมถนนหน้าร้านขายของชำเลขที่ 22/1 ม.7 ต.บ่อทอง ห่างจากค่ายอิงคยุทธบริหารปัตตานี ประมาณ 500 เมตร เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงจึงได้ปิดถนนหยุดการสัญจรชั่วคราว พร้อมตัดสัญญาณโทรศัพท์ทันที จากนั้นจึงเข้าตรวจบริเวณโดยรอบและด้านในของรถ ปรากฏว่ารถล็อคประตูไม่สามารถตรวจสอบภายในได้ เจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจใช้ระเบิดซีโฟร์ทำลายเพื่อเปิดกระโปรงท้ายรถ และเมื่อตรวจสอบปรากฏว่าไม่พบวัตถุต้องสงสัยหรือระเบิดแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่จึงนำรถอายัติไว้เพื่อรอเจ้าของรถติดต่อเพื่อสอบสวนอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม รถยนต์คันดังกล่าวนั้น ประชาชนได้แจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาตรวจสอบ เนื่องจากได้จอดทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยมีผู้หญิงขับมาจอดแล้วมีคนมารับ จึงไม่มั่นใจ และกลัวว่าจะเป็นรถที่คนร้ายซุกระเบิดคาร์บอมบ์ไว้ตามที่ได้รับแจ้งเตือนมาตลอด อย่างไรก็ตาม ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ประชาชนช่วยกันเป็นหูเป็นตา และแจ้งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบเมื่อพบสิ่งผิดปกติ เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น

อ่านต่อ...

วันพุธ, มีนาคม 28, 2555

ผู้ว่าฯตานีมอบโฉนดที่ดินให้กับ ปชช.และพระสหายแห่งลุ่มน้ำสายบุรี

ปัตตานี - ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีทำพิธีมอบโฉนดที่ดินให้กับประชาชนในพื้นที่ อ.สายบุรี และตระกูล นายวาเด็ง ปูเตะ พระสหายแห่งลุ่มน้ำสายบุรี จำนวน 285 แปลง วันนี้(27 มี.ค.) ที่ อาคารเอนกประสงค์โรงเรียนบ้านบาเลาะ ม.5 ต.ปะเสยะวอ อ.เมือง จ.ปัตตานี นายธีระ มินทราศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ทำพิธีมอบโฉนดที่ดินให้กับประชาชนในพื้นที่ อ.สายบุรี และตระกูลนายวาเด็ง ปูเตะ พระสหายแห่งลุ่มน้ำสายบุรี มีที่ดินท้องที่ตำบลปะเสยะวอ อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ที่ได้รับมอบโฉนดที่ดินจำนวน 13 ไร่ 5 งาน ซึ่งโครงการมอบโฉนดที่ดินให้แก่ พ่อแม่ พี่น้อง ประชาชน ในครั้งนี้ เป็นการมอบที่ดิน ตามโครงการ "มอบโฉนดที่ดินช่วยราษฎร์ ตามรอยพระบาทพ่อหลวง" ของกรมที่ดิน โดยเป็นผลงานเดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน ของศูนย์อำนวยการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินจังหวัดสงขลา - ปัตตานี -นราธิวาส - ยะลา ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 และในจังหวัดปัตตานี สามารถดำเนินการออกโฉนดที่ดิน ได้จำนวน 285 แปลง และโฉนดที่ดินที่จะมอบให้แก่เจ้าของที่ดินในตำบลปะเสยะวอ จำนวน 160 แปลง เนื้อที่ 445 ไร่ 1 งาน

อ่านต่อ...

“คนใต้โง่” = “กวีคิดนามธรรมไม่เป็น!”/ปิยะโชติ อินทรนิวาส

( คอลัมน์ : ด้ามขวานผ่าซาก โดย...ปิยะโชติ อินทรนิวาส ) 2 ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน และสร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมได้อย่างครึกโครม แม้ไม่ได้เป็นแบบพายุคลั่งนำคลื่นเข้าสู่ฝั่งเหมือนที่เกิดขึ้นในสภา แต่ก็เป็นไปแบบลมเห่ระลอกคลื่นลูกแล้วลูกเล่า ซึ่งในเวลานี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะแผ่วเบากลับสู่ความสงบง่ายๆ ปรากฏการณ์แรก คือ แกนนำ นปช.ป่วนบ้านเผาเมืองที่เวลานี้ได้ดิบได้ดีไปแล้ว 2 คน คือ ตู่-จตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ว่าที่รัฐมนตรีในการปรับเปลี่ยนรัฐบาลครั้งหน้า กับ เจ๋ง ดอกจิก หรือ ยศวริศ ชูกล่อม หรือ ประมวล ชูกล่อม เลขานุการ รมว.มหาดไทย ทั้งคู่ขึ้นเวทีเสื้อแดงคนละทิศที่ใต้-เหนือ แต่สามารถประสานเสียงด่า “คนใต้โง่” ได้แบบออกรสชาติเหมือนกัน อีกปรากฏการณ์ คือ วิวาทะระหว่าง เกษียร เตชะพีระ หัวหน้าสาขาวิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักวิชาการนามอุโฆษที่มีคำนำหน้าชื่อทั้งคำว่า “ศาสตราจารย์” และ “ดอกเตอร์” การันตี กับ ไพวรินทร์ ขาวงาม กวี นักเขียนและคอลัมนิสต์ที่มีเพียงรางวัลซีไรต์ประจำปี 2538 จากหนังสือรวมบทกวีม้าก้านกล้วยรองรับ โดยคนหลังถูกคนแรกกล่าวหาว่าเป็น “กวีคิดนามธรรมไม่เป็น” ทั้ง 2 ปรากฏการณ์จะว่าเป็นคนละเรื่องเดียวกันก็ใช่ครับ แต่ที่ผมสนใจและอดไม่ได้ที่จะต้องนำมากล่าวในที่นี้ เพราะเห็นประเด็นร่วมอันมีนัยสำคัญ ซึ่งก็นำไปสู่ชื่อเรื่องเชิงสมการของตรรกะที่นำมาเปรียบเทียบกันนั่นเอง ประเด็นที่หนึ่ง ตู่กับเจ๋งมองว่าคนใต้เป็นฝ่ายตรงข้ามที่ต้องกำจัดไปให้พ้นทาง เพราะหากปล่อยไว้มีแต่จะสร้างอิทธิพล และชี้นำผู้คนลุกขึ้นต้านจนทำให้เป้าหมายของตนเองสะดุดได้ ซึ่งถ้าห้ำหั่นให้แหลกลาญไม่ได้ ก็จะใช้การดิสเครดิตแบบไม่ให้หลงเหลือความชอบธรรม แม้จะเป็นเรื่องขัดแย้งกับความเป็นจริง แต่พวกเขาก็จะสามารถหาเหตุผลหรือตรรกะมาใช้อธิบายความบิดเบี้ยวจนดูดีได้ คำผรุสวาทจึงหลั่งไหลออกมาจากปากของทั้งคู่ ซึ่งนำไปสู่การออกมาตอบโต้ของคนใต้ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองด้วยกัน หรือกระทั่งชาวบ้านร้านตลาด แม้เวลานี้กระแสคลื่นการโต้ตอบก็ยังมีอยู่ ที่น่าสนใจประกอบด้วย... “ถ้าอยากดูคนโง่ ให้ไปดูที่ภาคใต้” “ปัจจุบันคนภาคเหนือมีความสนใจเรื่องการเมือง เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองมาโดยตลอด แต่คนทางภาคใต้กลับไม่สนใจ เพราะมัวแต่นั่งดูละครโทรทัศน์ปัญญาอ่อน” “ขอให้ไทยเป็นคนเสื้อแดงทั้งประเทศ เหลือไว้เพียงภาคใต้ เพื่อให้เป็นมรดกของคนโง่” “ไม่ได้สร้างความขัดแย้งในสังคมเหมือนอย่างที่คนของพรรคประชาธิปัตย์ว่าไว้ คนพวกนี้ชอบว่าแต่คนอื่น ให้ทำก็ไม่ทำ พอคนอื่นทำสำเร็จก็มาเยาะเย้ยเสียดสี คนพวกนี้โง่แล้วยังอวดฉลาด” “ไปภาคเหนือ ภาคอีสาน แล้วกลับมาใต้ เห็นแล้วตกใจว่ายังไม่ได้รับการพัฒนาที่ดี ไม่ใช่เพราะคนใต้ไม่มี ส.ส.พรรคเพื่อไทย แต่เป็นเพราะคนใต้โง่ เลือกประชาธิปัตย์เข้าไปบริหารงาน” เช่นเดียวกันเมื่อกวีนิพนธ์ของไพวรินทร์ในชื่อ “เจ็ดล้านเจ็ด!?” ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณะ เกษียรก็กระโดดเข้าฟาดฟันห้ำหั่นด้วยการป้ายว่าเป็น “กวีคิดนามธรรมไม่เป็น” สำทับด้วยการสำแดงมาดนักวิชาการที่เหนือชั้นกว่า หยิบยกนักปรัชญาและทฤษฎีตะวันตกมาอธิบายแบบยกตนข่มท่าน ไม่เพียงเท่านั้นยังฟาดหางไปยัง วสันต์ สิทธิเขตต์ กวีและศิลปินที่ต่อต้านกลุ่มคนเสื้อแดงมาตลอด รวมถึงเผื่อแผ่ไปยังเพื่อนนักวิชาการสถาบันเดียวกันอย่าง ดร.สุวินัย ภรณวลัย ผมคงไม่ต้องลงในรายละเอียดอะไรนะครับ เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ทราบดีว่าเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกับความเป็นจริงแค่ไหนที่กล่าวหาว่า “คนใต้โง่” เช่นเดียวกับการตราหน้าว่า “กวีคิดนามธรรมไม่เป็น” อันหลังนี้ผมว่าเป็นอะไรที่ตลกร้ายอย่างมากด้วย ประเด็นที่สอง ผมมองว่าการออกมาเคลื่อนไหวของเกษียรครั้งนี้ เป็นการเล่นในบทบาทที่ไม่แตกต่างไปจากที่ตู่กับเจ๋งรับบทจากระบอบทักษิณไปปฏิบัติการในลักษณะขององครักษ์พิทักษ์นักโทษหนีคุก ทักษิณ ชินวัตร มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน แน่นอนครับ ไม่มีใครไปกล่าวหาเกษียรว่ารับเงินรับทองใครมา และก็ยอมรับกันถ้วนหน้าว่าไม่มีหลักฐานอะไรที่จะบ่งบอกว่าได้รับประโยชน์จากระบอบทักษิณ แต่บทบาทที่เกษียรออกมาเล่นในนามนักวิชาการลักษณะนี้ มันก็ปรากฏฉายซ้ำๆ ให้คิดกันได้อย่างนั้นมาตลอดมิใช่หรือ ประเด็นที่สาม สังคมไทยและโลกตะวันออกที่เราอยู่เป็นบ่อเกิดของความหลากหลายศาสนา มีวิถีและวัฒนธรรมเป็นอัตลักษณ์ของตน ผู้คนจึงให้ความสำคัญอย่างเทิดทูนยิ่งต่อธรรมะ ถือระบบคุณธรรม ให้คุณค่ากับความเป็นธรรม สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรดี ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรทำหรือให้การสนับสนุน ส่วนอะไรที่ชั่วก็ไม่ควรทำหรือแม้แต่จะไปข้องแวะ การบอกว่าคนใต้โง่ของตู่และเจ๋ง จึงไม่ต่างอะไรกับการก่นด่าตัวเอง พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติโกโหติกา รวมถึงบรรพบุรุษ เพราะทั้งคู่ต่างก็มีพื้นเพเป็นคน จ.สุราษฎร์ธานี คนไทยถือเรื่องนี้มากและไม่มีทางสั่งสอนลูกหลานให้ทำเยี่ยงนั้น แต่ที่เกิดขึ้นก็อย่าได้แปลกใจ เพราะหากย้อนไปมองอดีตของทั้งคู่ก็จะเห็นการปู้ยี้ปู้ยำบ้านเมืองไว้มากโข ซึ่งก็จะเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในส่วนของเกษียรแม้ไม่ได้เล่นหน้าเสื่อ แต่ก็เป็นที่รับรู้ว่าใช้ความเป็นนักวิชาการหัวทันสมัยให้การสนับสนุน หลายต่อหลายครั้งคนรับรู้สึกได้ถึงการใช้ทฤษฎีและอ้างขี้ปากตะวักตกมาลบเลือนคุณธรรมและคุณค่าความเป็นไทย ซึ่งผมก็ไม่แปลกใจอีกแหละที่เขาวิวาทะแบบไม่พยายามเงี่ยฟังคำอธิบายของไพวรินทร์ กวีผู้หยั่งรากลึกยึดโยงกับสังคมและวัฒนธรรมไทยมาทั้งชีวิต ส่วนประเด็นสุดท้าย ผมขอฝากให้ร่วมกันคิดต่อนะครับ ตอนหนึ่งเกษียรเขียนข้อความโต้ตอบไพวรินทร์ไว้ว่า... “...ส่วนเรื่องผมเป็นนักวิชาการแดงหรือไม่นั้น? ปล่อยให้เป็นเรื่องที่เอเอสทีวี/ผู้จัดการเขาเนื้อเต้น พร่ำเพ้อไปเถิดนะครับ มันไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เราเห็นต่างกันอยู่ ซึ่งไม่เกี่ยวกับสี แต่เกี่ยวกับวิธีมองโลก เข้าใจโลก ทางสังคมการเมือง ในฐานะเพื่อนพลเมืองเจ้าของรัฐด้วยกัน…”

อ่านต่อ...

เรือนจำ 3 จชต.ปรับเครื่องแต่งกายให้สอดคล้องกับชาวมุสลิม

นราธิวาส - เรือนจำและทัณฑสถานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปรับเครื่องแต่งกายให้สอดคล้องกับชาวมุสลิมในการปฏิบัติศาสนกิจ ด้านเลขา ศอ.บต.เผย ดำเนินการตามความต้องการผู้ต้องขังชาวมุสลิม เมื่อเวลา 10.00 น.(28 มี.ค.) ที่บริเวณเรือนจำจังหวัดนราธิวาส พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมด้วย พ.ต.อ.สุชาติ วงส์อนันตชัย อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด 5 ชายแดนภาคใต้ ร่วมแถลงข่าวการพัฒนาระบบการควบคุมผู้ต้องขังในเรือนจำ และทัณฑสถานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีการปรับเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต และหลักปฏิบัติของชาวมุสลิม เพื่ออำนวยสะดวกในการปฏิบัติศาสนกิจ อย่างไรก็ตาม ในการพัฒนาระบบในครั้งนี้ เป็นการดำเนินการตามความต้องการของผู้ต้องขังที่นับถือศาสนาอิสลาม ที่ต้องการปรับเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้ง่ายต่อการปฏิบัติศาสนกิจ ซึ่งทาง ศอ.บต.ได้ร่วมพิจารณากับกรมราชทัณฑ์และมีการปรับเปลี่ยนขึ้นในครั้งนี้ อีกทั้งถือเป็นการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์พระราชทาน เข้าใจ เข้าถึงและพัฒนา ด้วย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เปิดเผยด้วยว่า การพัฒนาด้านการแต่งกายให้สอดคล้องกับความต้องการ ถือเป็นเรื่องแรกที่จะปรับเปลี่ยนตามความต้องการของผู้ต้องขัง โดยหลังจากนี้ จะมีการดำเนินการเพื่อดูแลในเรื่องของอาหารการศึกษาเพื่อสร้างอาชีพ ตลอดจนมีการพัฒนาด้านกายภาพ เพื่อให้เรือนจำและราชทัณฑ์แต่ละแห่งมีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น ด้านผู้ต้องขัง ในเรือนจำจังหวัดนราธิวาส เปิดเผยว่า การปรับเปลี่ยนเครื่องแต่งกายในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องดีเพราะร้อยละ 98 ของผู้ต้องขังเป็นชาวมุสลิมซึ่งจะต้องปฏิบัติศาสนกิจวันละ 5 เวลา ซึ่งในส่วนเครื่องแบบชายนั้นสามารถประกอบศาสนกิจได้ทันทีโดยไม่ต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่

อ่านต่อ...

ผู้ว่าฯนราฯ มอบเงินช่วยเหลือเยียวยาส่งเสริมอาชีพเหยื่อไฟใต้ 103 ราย

นราธิวาส - ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส มอบเงินช่วยเหลือกเยียวยาส่งเสริมอาชีพแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบ 6 อำเภอ จำนวน 103 ราย วันนี้(27 มี.ค.) ที่ห้องประชุมชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดนราธิวาส นายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส เป็นประธานมอบเงินช่วยเหลือเยียวยาด้านส่งเสริมอาชีพให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 6 อำเภอของจังหวัดนราธิวาส ประกอบด้วย อ.รือเสาะ อ.ศรีสาคร อ.ตากใบ อ.สุคิริน อ.เจาะไอร้อง และ อ.เมือง รวม 103 ราย โดยมอบให้รายละ 15,000 บาท เป็นเงิน 1,545,000 บาท นายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส กล่าวด้วยว่า ขอให้ผู้ที่ได้รับเงินในการช่วยเหลือครั้งนี้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะด้านการประกอบอาชีพ ซึ่งทางจังหวัดนราธิวาสยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือให้ครอบคลุมในทุกด้านทั้งด้านการศึกษา ด้านอาชีพ ด้านที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ได้กล่าวถึงการดำเนินการด้านการป้องกันเหตุความไม่สงบในพื้นที่ด้วยว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้จัดวางกำลังในการดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนอย่างเต็มที่ แต่การก่อเหตุแต่ละครั้งมีการรอจังหวะและมีการวางแผนมาอย่างดี จึงขอความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ช่วยเป็นหูเป็นตาเพื่อช่วยกันป้องกันเหตุด้วย

อ่านต่อ...

วันอังคาร, มีนาคม 27, 2555

เหี้ยมเรียกมายิงจ่อหัว นศ.พลศึกษายะลา เสียชีวิต คาดเรื่องชู้สาว

ยะลา - คนร้ายทำทีเรียกหนุ่มนักศึกษาออกมาคุยธุระหน้าบ้านพัก ก่อนชักปืนลูกโม่กระหน่ำยิงใส่หลายนัด และจ่อยิงศีรษะซ้ำ จนผู้บาดเจ็บทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตขณะนำส่งโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่คาดเรื่องชู้สาว เวลา 15.40 น.วันนี้ (27 มี.ค.) ร.ต.ท.จิตดนัย รัตนไพบูลย์เจริญ พงส.(สบ1) สภ.เมืองยะลา รับแจ้งเหตุด่วนมีผู้ถูกยิงที่ซอยตูแวอุทิศ ถนนวิฑูรอุทิศ 10 ต.สะเตง จึงได้รายงานผู้บังคับบัญชาทราบ ต่อมา พ.ต.อ.กฤษฎา แก้วจันดี ผกก.พ.ต.ท.จรัส ชิณนะพงศ์ รองผกก.สส.พ.ต.ท.โฆษิต เบญจกุล สวป.นำกำลังรุดไปสอบสวน
เจ้าหน้าที่ตำรวจพบร่าง นายนิอัสลัน นิเลาะ อายุ 23 ปี ภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 66/2 หมู่ 1 ต.แว้ง อ.แว้ง จ.นราธิวาส ถูกยิงกับปืนลูกโม่ กระสุนเจาะศีรษะ ใต้ราวนมซ้าย ขาซ้ายและแขนขวา รวม 4 นัด นอนจมกองเลือดแต่ยังหายใจรวยรินอยู่บนพื้นหน้าบ้านเลขที่ 37 จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่กู้ภัยนำส่ง โรงพยาบาลศูนย์ยะลา ปรากฏว่า นายนิอัสลัน ทนพิษบาดแผลไม่ไหวสิ้นใจระหว่างทาง ในที่เกิดเหตุไม่พบหลักฐานใดๆ อบสวนเบื้องต้นทราบว่า นายนิอัสลัน นิเลาะ เป็นนักศึกษาสถาบันการพลศึกษาจังหวัดยะลา พักอาศัยอยู่บ้านที่เกิดเหตุ ก่อนเกิดเหตุมีชายวัยรุ่นผู้หนึ่งขับขี่รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้าไม่ทราบหมายเลขทะเบียนแล่นมาจอดแล้วเดินเข้าไปเรียกให้ นายนิอัสลัน ออกมา คนร้ายทำทีมีธุระพูดคุย จังหวะที่ นายนิอัสลัน เผลอ คนร้ายได้ชักอาวุธปืนพกสั้นที่เตรียมมาจ่อยิงลำตัวติดต่อกันหลายนัด จนนายนิอัสล้น จนล้มลงนอนแน่นิ่ง คนร้ายยังจ่อปืนไปที่ศีรษะแล้วยิงซ้ำอีกนัดให้แน่ใจว่าไม่รอด หลังจากนั้น จึงได้เดินไปขึ้นรถจักรยานยนต์ขับขี่หลบหนีไปทางถนนรถไฟ อย่างรวดเร็ว ส่วนสาเหตุคาดว่าน่าจะเป็นเรื่องชู้สาว

อ่านต่อ...

ศาลยกฟ้องจำเลยคดีความมั่นคงคดีที่เจ็ด เหลือค้างอีกสามคดี

นายอนุกูล อาแวปูเตะ ประธานมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมประจำจังหวัดปัตตานี เปิดเผยว่าศาลจังหวัดปัตตานีได้พิพากษายกฟ้องนายรุสลาม แวดะแซเป็นคดีที่เจ็ดในวันที่ 26 มีนาคม 2555 โดยเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การก่อเหตุยิงชาวบ้านเสียชีวิต 1 รายและบาดเจ็บ 4 ราย ในพื้นที่อำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2549 ซึ่งเขาถูกดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันก่อการร้าย สะสมกำลังพลหรืออาวุธ ข้อมูลของมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมประจำจังหวัดปัตตานี ระบุว่า นายรุสลาม ถูกดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงมากถึง 10 คดี ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลพิพากษายกฟ้องไปแล้ว 6 คดี โดยส่วนใหญ่เป็นคดีลอบยิง และมีคดีการวางระเบิดหนึ่งคดี ขณะนี้ยังคงเหลือคดีที่ยังอยู่ในระหว่างพิจารณาในศาลชั้นต้นอีก 3 คดี ซึ่งเป็นคดีพยายามฆ่าและปล้นทรัพย์สิน การยกฟ้องคดีความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีสัดส่วนที่สูงมากในช่วงที่ผ่านมานับแต่ความรุนแรงปะทุขึ้นในภาคใต้ในปี 2547 ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงปัญหาของกระบวนการรวบรวมพิสูจน์หลักฐานในชั้นของตำรวจที่อาจจะยังคงไม่มีประสิทธิภาพนัก ซึ่งนำไปสู่การยกฟ้องในชั้นศาลในหลายคดี

อ่านต่อ...

18มงกุฎขอ4%รับวิ่งเต้นเงินเยียวยาไฟใต้7.5ล้าน

เกณฑ์เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบชายแดนใต้ 7.5 ล้าน ยังไม่ทันเข้า ครม. แก๊งค์ 18 มงกุฎหัวใส บุกบ้านเหยื่อสะบ้าย้อยขอส่วนแบ่ง 4% ขู่ถ้าไม่ให้อาจจะไม่ได้รับเงินเยียวยาก้อนโต “หมอเพชรดาว” แฉมีข้าราชการบางคน หักเงินเยียวยาชาวบ้าน จนถูกพักราชการมาแล้ว แพทย์หญิงเพชรดาว โต๊ะมีนา ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพจิตเขต 15 ในฐานะคณะกรรมการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุความไม่สงบจังหวัดชายภาคใต้ เปิดเผยว่า คณะกรรมการฯ ได้กำหนดหลักเกณฑ์จ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวน 7.5 ล้านบาท เฉพาะกรณีเจ้าหน้าที่รัฐกระทำเกินกว่าเหตุ เช่น กรณีตากใบ กรณีไอปาแย เป็นต้น แพทย์หญิงเพชรดาว กล่าวว่า ส่วนเหตุการณ์วันที่ 28 เมษายน 2547 จะได้รับเฉพาะกรณีที่เข้าข่ายเจ้าหน้าที่รัฐกระทำเกินกว่าเหตุ เช่น นักฟุตบอล 19 คนของอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา ที่ถูกเจ้าหน้าที่จ่อยิงทั้งที่วางอาวุธหมดแล้ว อย่างนี้เข้าข่ายเจ้าหน้าที่รัฐกระทำเกินกว่าเหตุ อยู่ในข่ายได้รับการพิจารณาให้ได้รับเงิน 7.5 ล้านบาท ส่วนกรณีอื่นๆ จะได้รับลดหลั่นกันไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ขณะนี้จึงยังไม่มีอะไรแน่ชัด ต้องรอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติหลักเกณฑ์เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในเร็วๆ นี้ อีกครั้ง แพทย์หญิงเพชรดาว เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ตนได้รับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้าน มีนายหน้ามาเจรจากับญาติผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์วันที่ 28 เมษายน 2547 ว่า สามารถดำเนินการให้ได้รับเงินเยียวยา 7.5 ล้านบาท ตามที่รัฐบาลประกาศ แต่ขอค่าดำเนินการร้อยละ 4 ของเงินที่ได้รับ พร้อมกับอ้างว่าถ้าไม่อนุญาตให้ตนดำเนินการแทน ไม่รับรองว่าจะได้รับเงินเยียวยา 7.5 ล้านบาทหรือไม่ จากนั้นได้นำเอกสารมาให้ญาติผู้เสียชีวิตลงนามยินยอมให้ดำเนินการแทน แพทย์หญิงเพชรดาว เปิดเผยต่อไปว่า มีชาวบ้านในอำเภอสะบ้าย้อยอีก 7 ครอบครัว ที่ยังไม่ได้ลงนามในเอกสารให้นายหน้าคนดังกล่าว ขณะนี้ทั้ง 7 ครอบครัวกังวลว่า จะไม่ได้รับเงินเยียวยา จึงมาขอคำปรึกษากับดิฉัน ตอนนี้ดิฉันต้องลงพื้นที่ ทำความเข้าใจกับชาวบ้านว่า รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการทำหน้าที่ติดตามข้อมูลและความคืบหน้าการเยียวยา โดยเฉพาะในกรณีผู้ที่จะได้รับเงินเยียวยา 7.5 ล้านบาท และกรณีที่ต้องเยียวยาเพิ่มเติม และกรณีตกสำรวจ กรณีถูกควบคุมโดยใช้กฎหมายพิเศษ ถ้ามีผู้มาร้องขอส่วนแบ่งจากผู้ได้รับผลกระทบอย่าให้เด็ดขาด “ชาวบ้านร้องเรียนอีกว่า เจ้าหน้าที่พูดจาไม่สุภาพขณะยื่นเรื่องขอรับการเยียวยา และมีเจ้าหน้าที่รัฐที่ดูแลเรื่องจ่ายเงินเยียวยา หักเงินเยียวยาที่ได้ชาวบ้านได้รับ ทราบว่ามีเจ้าหน้าที่บางคน ถูกพักราชการเพราะหักเงินเยียยวยาที่ชาวบ้านได้รับ แต่ขณะนี้กลับมาทำงานแล้ว เป็นเรื่องน่าห่วง เพราะเท่ากับไปตอกย้ำความทุกข์ให้กับเหยื่อมากขึ้น” แพทย์หญิงเพชรดาว กล่าว

อ่านต่อ...

วันจันทร์, มีนาคม 26, 2555

8 โจรใต้แต่งชุดดำถล่มยิง ตร.ปัตตานีดับต่อหน้าเมีย

ปัตตานี - เกิดเหตุคนร้ายประมาณ 8 คน ใช้อาวุธสงครามยิงถล่มเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านโสร่ง อ.ยะรัง เสียชีวิตต่อหน้าภรรยา ขณะกำลังจะเดินทางออกจากบ้านเพื่อไปเข้าเวร เมื่อเวลา 21.00 น.วันที่ 25 มี.ค.ที่ผ่านมา พ.ต.อ.อุทัย ทิพย์เสภา ผกก.สภ.บ้านโสร่ง อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ได้รับแจ้งมีเหตุยิงกันมีผู้เสียชีวิต เหตุเกิดหน้าบ้านเลขที่ 25/1 ม.3 ต.เขาตูม จึงรายงานให้ พล.ต.ต.พิเชษฐ์ ปิติเศรษฐพันธ์ ผบก.ภ.จ.ปัตตานี พร้อมนำกำลังเข้าไปที่เกิดเหตุ ไปถึงพบผู้เสียชีวิตทราบชื่อ ส.ต.ท.เรืองฤทธิ์ สายตา อายุ 30 ปี ผบ.หมู่ ป. นปพ.จ.ปัตตานี สภาพศพมีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนสงครามเข้าลำตัวและศีรษะหลายนัด ในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนสงครามหลายชนิดตกเกลื่อนหลายสิบปลอกจึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน สอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายได้เดินลงมาจากบ้านพักของภรรยา และกำลังเดินไปที่รถยนต์เพื่อไปเข้าเวรที่ สภ.บ้านโสร่ง ระหว่างนั้นได้มีคนร้ายประมาณ 8 คนสวมใส่ชุดดำพร้อมอาวุธสงครามซุ่มอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ กระโจนออกมาถล่มยิงผู้ตายหลายนัดเสียงดังสนั่น ผู้ตายไม่ทันระวังตัวถูกยิงต่อหน้าภรรยาและญาติ แต่พยายามแข็งใจชักอาวุธปืนยิงต่อสู้กับคนร้าย แต่คนร้ายมีจำนวนมากกระหน่ำยิงหลายสิบนัดจนเสียชีวิต หลังก่อเหตุคนร้ายต่างวิ่งหลบหนีไปในความมืด เจ้าหน้าที่เชื่อกลุ่มคนร้ายเป็นแนวร่วมในพื้นที่ซึ่งมีการวางแผนล่วงหน้า เมื่อสบโอกาสจึงก่อเหตุเพื่อสร้างสถานการณ์

อ่านต่อ...

ทหารนอกราชการเลือดร้อน ยิงครูเจ็บ ทะเลาะเรื่องสุนัขเห่า ที่ปัตตานี

ปัตตานี - ทหารนอกราชการเลือดร้อน ใช้อาวุธปืนยิงครูโรงเรียนบ้านท่าเรือ ได้รับบาดเจ็บ หลังมีปากเสียงกันเรื่องเสียงสุนัขเห่า และเกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ช่วยผู้ใหญ่ ต.ตะโล๊ะแมะนา เสียชีวิต ขณะเดินทางกลับบ้าน เมื่อเวลา 11.30 น.วันนี้ (25 มี.ค.) พ.ต.อ.ระพีพงษ์ สุขไพบูลย์ ผกก.สภ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ได้รับแจ้งจาก รพ.โคกโพธิ์ ว่า มีคนถูกยิงได้รับบาดเจ็บเข้ามารักษาตัว จึงไปตรวจสอบพบว่าแพทย์กำลังให้ความช่วยคนเจ็บ ทราบชื่อ นายวิจิตร พรหมพิชัย อายุ 59 ปี ครูสอนดนตรี โรงเรียนบ้านท่าเรือ อยู่บ้านเลขที่ 76 ม.3 ต.โคกโพธิ์ มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนพกสั้นไม่ทราบขนาดเข้าที่แขนซ้าย 1 นัด แพทย์ทำการรักษาจนปลอดภัยและได้ส่งต่อไปยังโรงพยาบาลปัตตานี จากนั้นจึงไปตรวจสอบที่เกิดเหตุอยู่บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 74/1 ม.3 ต.โคกโพธิ์ พบปลอกกระสุนปืน ขนาด 9 มม.จำนวน 2 ปลอกจึงเก็บไว้หลักฐาน สวนมือปืนทราบชื่อ คือ จ.ส.อ.นิพนธ์ ทองทรง อายุ 63 ปี นายทหารนอกราชการ หลังเกิดเหตุได้ขับรถยนต์หลบหนีไป สอบสวนทราบว่า ทั้งสองคนเคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน เนื่องจากมีบ้านอยู่ใกล้กัน โดยก่อนเกิดเหตุ จ.ส.อ.นิพนธ์ กำลังขับรถยนต์เพื่อออกไปที่สวน ซึ่งมีสุนัขวิ่งตามมาด้วย และเห่าเสียงดัง ปรากฏว่า นายวิจิตร ซึ่งกำลังนั่งอยู่ในบ้านได้ยินเสียงสุนัขเห่าเสียงดัง ซึ่งสร้างความรำคาญ จึงได้เดินออกมาด่า จ.ส.อ.นิพนธ์ จึงหยุดรถ กระทั่งเกิดการทะเลาะกันขึ้น และมีการข่มขู่และท้าทายกัน ทำให้ จ.ส.อ.นิพนธ์ โมโหบันดาลโทสะชักอาวุธปืนยิง นายวิจิตรไป 3 นัดจนบาดเจ็บ ก่อนจะขึ้นรถยนต์ขับหลบหนีไป ประมาณ 2 ชั่วโมง จ.ส.อ.นิพนธ์ ได้ขับรถยนต์เข้ามามอบตัวต่อ พ.ต.อ.ระพีพงษ์ พร้อมนำอาวุธปืนที่ก่อเหตุมาด้วย โดยสารภาพว่า ได้มีปากเสียงกันจึงบันดาลโทสะ และเมื่อใจเย็นก็ขับรถมามอบตัว ซึ่งเจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวสอบสวนดำเนินคดีต่อไป และเมื่อเวลา 16.10 น.เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี ได้รับแจ้งเหตุยิงกันบริเวณ ม.2 ต.ตะโล๊ะแมะนา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ 1 ราย ทราบชื่อ นายเอกชัย หะยีสาเม็ง ตำแหน่งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ม.4 ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายได้ขี่รถจักรยานยนต์ตามลำพัง เพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน หลังจากเสร็จจากไปหาปลาในพื้นที่ ในระหว่างทางเมื่อมาถึงบริเวณจุดเกิดเหตุ ได้มีคนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะตามประกบยิงด้วยอาวุธปืน จำนวนหลายนัดก่อนเร่งหลบหนีไปอย่างลอยนวล ส่วนประเด็นสาเหตุยังอยู่ระหว่างการสืบสวนและสอบสวนของเจ้าหน้าที่ว่าจะเกี่ยวกับกลุ่มผู้ก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่หรือไม่ เนื่องจากผู้ตายมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน

อ่านต่อ...

หนุ่มใหญ่ยิงระบายแค้นแทนเมีย เจ็บ 2 ราย

ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - หนุ่มใหญ่เลือดร้อนชักปืนยิง 2 เพื่อนบ้านระบายแค้นแทนเมีย หลังมีปากเสียงกันแล้วเห็นว่าเมียตนกำลังเสียเปรียบ ก่อนควบ จยย.หนี วันนี้ (26 มี.ค.) ร.ต.อ อดุลศักดิ์ ขุนกลับ ร้อยเวร สภ.หาดใหญ่ รับแจ้งเหตุยิงกัน มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 2 ราย เหตุเกิดบริเวณชุมชนจันทร์วิโรจน์ ริมทางรถไฟ บ้านเลขที่ 2/2 ถนนประชาอุทิศ ม.5 ต.คอหงส์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา จึงได้ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบเพียงกองเลือดตกอยู่บนพื้นหน้าบ้าน และเก็บปลอกกระสุนปืนขนาด 11 มม.ได้จำนวน 3 ปลอก จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
ส่วนผู้บาดเจ็บมีจำนวน 2 ราย ชาย 1 คน หญิง 1 คน มีพลเมืองดีช่วยนำส่งโรงพยาบาลหาดใหญ่แล้วก่อนหน้าแล้ว ทราบชื่อคือ นางอรัญญา นาแก อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 2/9 ถนนประชาอุทิศ ม.5 ต.คอหงส์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนเข้าบริเวณหัวเข่าซ้าย 1 นัด และนายวันชัย บุญเกิด อายุ 45 ปี ถูกยิงได้รับบาดเจ็บบริเวณขาซ้ายจำนวน 1 นัด สอบสวนทราบว่า ผู้บาดเจ็บทั้ง 2 คนประกอบอาชีพเก็บขายของเก่าขาย มีบ้านพักอยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุ ส่วนมือปืนที่ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงในครั้งนี้ คือ นายบัง ไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริง ซึ่งมีบ้านพักอยู่ที่เกิดเหตุ และหลังก่อเหตุได้ขับรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ สีน้ำเงิน ไม่ทราบทะเบียน หลบหนีไปกับนางเขียว ภรรยา
โดยก่อนเกิดเหตุผู้บาดเจ็บทั้งสองคนได้มีปากเสียงทะเลาะวิวาทกับนางเขียวอย่างรุนแรง ฝ่ายนายบังมือปืน ได้ยินเสียงทะเลาะกัน และเห็นว่าฝ่ายภรรยาเป็นผู้เสียเปรียบ จึงเจ็บแค้นแทนภรรยา ชักอาวุธปืนออกมายิงใส่สี่นัด ถูกขาของผู้บาดเจ็บทั้งสองคนละนัดจนล้มลงกองกับพื้น จากนั้นนายบังและนางเขียวได้พากันขึ้นรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า เวฟ ขับหลบหนีไป ผู้เห็นเหตุการณ์จึงได้ช่วยกันนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาลหาดใหญ่และแจ้งความกับตำรวจดังกล่าว ส่วนสาเหตุนั้นตำรวจคาดว่าเป็นเรื่องส่วนตัวและรู้ตัวคนร้ายแล้วว่าเป็นใคร ขณะนี้กำลังรวบรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ เพื่อขอออกหมายจับกุมตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป

อ่านต่อ...

ปัตตานีฟื้นฟูนาร้าง 5 พันไร่สร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่

ปัตตานี - ผวจ.ปัตตานีเปิดโครงการฟื้นฟูนาร้าง กว่า 5,000 ไร่ ให้เป็นนาข้าวเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ให้มีรายได้เพิ่ม และเป็นการอนุรักษ์ วิถีชีวิตของชาวบ้านในพื้นที่ วันนี้ (26 มี.ค.) บริเวณนาร้าง ต.สะกำ อ.มายอ จ.ปัตตานี นายธีระ มินทราศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี เป็นประธานเปิดโครงการฟื้นฟูนาร้าง สร้างอาชีพ อย่างยั่งยืน เพื่อพัฒนาพื้นที่นาร้างใน 3 ตำบลของ อ.มายอ ได้แก่ ต.สะกำ ต.ถนน และ ต.กะหวะ ซึ่งใน 3 ตำบล มีพื้นที่นาที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในการทำนา กว่า 720 ไร่ โดยทางจังหวัดปัตตานี ได้ร่วมกับ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ และกรมทหารช่างพัฒนาจังหวัดปัตตานี ทีนำเครื่องจักรกล จำนวน 7 คัน เข้ามาช่วยกันฟื้นฟูนาร้าง ให้เป็นนาข้าว เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ ให้มีรายได้เพิ่มขึ้น และยังเป็นการอนุรักษ์ วิถีชีวิตของชาวบ้านในพื้นที่ ให้ยังยืนตลอดไป โดยในพื้นที่ของ อ.มายอ มีพื้นที่ที่เป็นนาร้าง และไม่ได้ทำนา มากว่า 20 ปี แล้ว กว่า 5,000 ไร่ ซึ่งการจัดโครงการในครั้งนี้ เป็นการนำร่องของจังหวัดปัตตานีที่จะเข้ามาฟื้นฟูให้กับนาร้างของจังหวัดปัตตานี ทีมีอยู่จำนวนมาก ให้กลับมาใช้ประโยชน์ได้อีกครั้ง
หลังจากพิธีเปิดเสร็จสิ้นแล้ว นายธีระ มินทราศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี พร้อมด้วย ว่าที่ ร.ต.เลิศเกียรติ์ วงศ์โพธิพันธ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ได้ขึ้นรถแทรกเตอร์ เพื่อเอาฤกษ์เอาชัย นำเครื่องจักรกล ทั้ง 7 คัน ลงสู่นาร้างเพื่อทำการพลิกหน้าดิน และ ปรับสภาพให้มีความพร้อมในการดำนาของชาวบ้าน โดยมีประชาชนในพื้นที่ต่างยืนเอาใจช่วยท่านผู้ว่าฯปัตตานีอยู่ตลอด

อ่านต่อ...

รมช.ศึกษาฯ ร่วมงานรำลึกคุรุวีรชนชายแดนใต้ที่ปัตตานี

ปัตตานี - รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมรำลึกคุรุวีรชนชายแดนใต้ เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่คุรุวีรชนผู้เสียสละชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้ (26 มี.ค.) ที่โรงแรมซีเอส ปัตตานี นายศักดา คงเพชร รมช.กระทรวงศึกษาธิการ ร่วมงานรำลึกวีรชนชายแดนใต้ โดยสมาพันธ์ครูจังหวัดชายแดนภาคใต้ ร่วมจัดงานรำลึกคุรุวีรชนชายแดนใต้ โดยมีนายบุญสม ทองศรีพราย ประธานสมาพันธ์ครูจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้บริหารการศึกษา ข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษาทุกสังกัดใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา กว่า 3,000 คน เข้าร่วมรำลึกถึงคุรุวีรชนผู้ล่วงลับ
และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบตั้งแต่ปี 2547 ได้มีครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องเสียชีวิต จำนวน 151 ราย นักเรียนเสียชีวิต 41 ราย ไม่รวมผู้ที่บาดเจ็บพิการ และทุพลภาพอีกจำนวนมาก กิจกรรมจัดขึ้นเพื่ออุทิศบุญส่วนกุศลให้แก่คุรุวีรชนผู้เสียสละชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมแสดงพลังให้สังคมรับรู้ถึงเจตนาอันบริสุทธิ์ในการเรียกร้องความสันติสุขสู่จังหวัดชายแดนใต้ อีกทั้งเป็นการถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับความเดือดร้อน ความเสี่ยงในการปฏิบัติงาน และความเสียสละของครูในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเพื่อแสดงความรัก ความสมัครสมานสามัคคีของเพื่อนครู องค์กรเครือข่ายต่างๆ ในการรวมพลังเพื่อให้สังคมมีความสันติสุข

อ่านต่อ...

ลวงสาวรุ่นฆ่าหมกสวนผลไม้ที่ยะลา

ยะลา - ชาวสวน ต.บันนังสาเร็ง อ.เมืองยะลา พบศพหญิงสาวในสวนผลไม้ ใบหน้ามีร่องลอยการทุบตีจนหน้าเละ เจ้าหน้าที่คาดคนต่างถิ่นถูกลวงมาฆ่า วันนี้ (26 มี.ค.) เมื่อเวลา 06.12 น. ร.ต.อ.หญิง เสาวลักษณ์ ตรีมรรค ร้อยเวร สภ.เมืองยะลา ได้รับแจ้งจาก ชรบ.บ้านตราแดะ หมู่ที่ 3 ต.บันนังสาเร็ง อ.เมืองยะลา ว่าพบศพในสวนผลไม้ของ นายมะยูโซ๊ะ ยาแลแด ชาวบ้านในหมู่บ้าน หลังได้รับแจ้งรีบรายงานผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น และเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมด้วย พ.ต.อ.ภูมิเพชร พิพัฒนเพชรภูมิ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยะลา พ.ต.ท.สนธยา ธูปทอง รอง ผกก.(ป.) ร.ต.ท.ซำซูเด็ง ยาแม รอง สวป. เจ้าหน้าที่ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานที่ 10 ยะลา ชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด ภูธรจังหวัดยะลา และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครองจำนวนหนึ่ง
ที่เกิดเหตุภายในสวนผลไม้ ริมถนนภายในหมู่บ้านใกล้กับเขื่อนชลประทาน โครงการแก้มลิง ในพระราชดำริ พบศพเป็นเพศหญิง อายุ ประมาณ 16-20 ปี สภาพศพนอนหงาย สวมเสื้อหนาวสีน้ำเงินแขนยาว กางเกงยีนส์สีน้ำเงินจาง ตามใบหน้ามีร่องรอยการทุบตีจนหน้าเละมีคราบเลือดเกาะเต็มหน้า ในตัวไม่พบเอกสารใดๆ ข้างศพพบรองเท้าผ้าใบส้นสูงแบบผู้หญิง และท่อนไม้ที่ใช้เป็นเสารั้ว ความยาวประมาณ 1 เมตร มีคราบเลือดเปรอะที่ส่วนปลายด้วย
จากการสอบสวนทราบว่า ขณะที่นายมะยูโซ๊ะ ยาแลแด นำวัวไปล่ามในสวนของตนเอง เห็นมีศพนอนอยู่จึงรีบเดินทางกลับบ้านเพื่อแจ้งให้เจ้าหน้าที่ ชรบ.ประจำหมู่บ้านทราบ แล้วแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบในเวลาต่อมา เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่าคนร้ายที่ก่อเหตุ ไม่ต่ำกว่า 2 คนอาจลวงหญิงสาวมาจากพื้นที่อื่นเมื่อมาถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นที่เปลี่ยวปลอดผู้คน จึงลงมือทุบฆ่าทิ้งเป็นผีเฝ้าสวนผลไม้ดังกล่าว ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ทำการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาที่มาของศพว่าเป็นใครมาจากไหนกันต่อไป

อ่านต่อ...

วันอาทิตย์, มีนาคม 25, 2555

การต่อสู้ช่วงชิงการนำภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีน เจ้าชายน้อย (Princelings) กับคำขวัญ “แดงทั้งแผ่นดิน”

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวใหญ่สองข่าวเกี่ยวกับประเทศจีน ข่าวแรก ภาคอุตสาหกรรมของจีนยังคงหดตัวอย่างต่อเนื่อง ดัชนี PMI (Purchasing Manager's Index) ของธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ในเดือนมีนาคมเหลือเพียง 48.1 จาก 49.6 ในเดือนกุมภาพันธ์ และทางการจีนประกาศอย่างเป็นทางการว่าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในปีนี้ (2555) จะอยู่ที่ 7.5% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดตั้งแต่ปี 2547 ข่าวที่สอง นาย โปซีไหล ถูกปลดออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคแห่งนครฉงชิ่ง และ (คาดว่าจะ) ไม่ได้รับการเสนอชื่อเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่เรียกว่า โปลิตบูโร (เก้าอรหันต์) ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์นอกกรอบที่สนใจเรื่องเมืองจีนเป็นพิเศษ สัปดาห์นี้ผมจะขออนุญาตพาท่านผู้อ่านเข้าไป “แจม” เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนในสายตาของ “กระจกหักมุม” แบบพอหอมปากหอมคอ เผื่ออาจจะเป็นความรู้และเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อย ใครคือโปซีไหล : นักปราบคอรัปชั่นศตวรรษที่ 21 หรือ “เจ้าชายน้อย” (Princelings) ?? จะรู้จักโปซีไหล ต้องรู้จัก “โปอีโป” ก่อน โปอีโปเป็นหนึ่งในแปดผู้อาวุโสแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ได้รับการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ด้วยความเคารพอย่างสูงสุดว่า “แปดเซียน” (The Eight Immortals) อันล้วนแต่เป็นผู้อาวุโสที่แวดล้อมเติ้งเสี่ยวผิงทั้งสิ้น แม้จะถูกแก๊งออฟโฟร์ (ที่มีเจียงชิงภรรยาประธานเหมาเจ๋อตุงเป็นศูนย์กลาง) ทำร้ายอย่างแสนสาหัส แต่โปฯ ก็ยังคงชื่นชมเหมา และแนวทางซ้ายจัดของเหมาเป็นสำคัญ ซึ่งดูเหมือนว่าแนวคิดดังกล่าวก็ได้ตกทอดมาถึงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่ชื่อ “โปซีไหล” แบบเต็มๆ หลังจากบรรดาผู้อาวุโสพรรค (รุ่นเดินทัพทางไกล หรือ Long March) ที่ได้รับการ “คืนยศ” และได้รับอำนาจกลับมาร่วมบริหารงานกับทีมงานของเติ้งฯ ในช่วงศตวรรษที่ 1980s เป็นต้นมา ความยิ่งใหญ่และยศฐาบรรดาศักดิ์ก็กลับมาสู่พวกเขาและครอบครัวอย่างมโหฬารและอลังการอย่างยิ่ง ถึงขนาดที่บรรดาลูกหลานของอาวุโสเหล่านี้ถูกขนานนามว่า “เจ้าชายน้อย” (Princelings) โปซีไหลก็เป็นหนึ่งในบรรดา “เจ้าชายน้อย” และเป็นเจ้าชายน้อยที่โดดเด่นไม่ธรรมดาอีกด้วย ควรบันทึกไว้เพื่อเป็นการตั้งข้อสังเกต ณ จุดนี้ด้วยว่า “ซีจิ้นผิง” ที่กำลังจะก้าวขึ้นแทน “หูจิ่นเทา” ในอีกไม่นานนี้ ก็เป็นหนึ่งในบรรดาเจ้าชายน้อยด้วยเช่นกัน ในขณะที่หูจิ่นเทาไม่ใช่เจ้าชายน้อย แต่เป็นพวกที่เติบโตมาในองค์กรที่สำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่เรียกว่า Chinese Communist Youth League กลับมาที่นายโปซีไหล นอกจากจะเป็นเจ้าชายน้อยแล้ว เขายังเป็นนักบริหาร นักพัฒนา และนักต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ทางการเมือง (แนวคิดเหมาเจ๋อตุง) ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ผลงานที่ทุกคนต้องทึ่งและยอมรับก็คือ การพัฒนาเมือง “ต้าเหลียน” (Dalian) ให้เป็นเมืองยุคใหม่ที่ยอดเยี่ยมตั้งแต่การวางผังเมือง การสร้างระบบสาธารณูปโภค สาธารณูปการ การพัฒนาอุตสาหกรรม เทคโนโลยี และสภาพแวดล้อมที่เสมือนสร้างเมืองใหม่ เนรมิตสวรรค์บนดิน ฯลฯ เป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วโลก แต่จุดสุดยอดของผลงานของโปซีไหลอยู่ที่เมืองฉงชิ่ง ซึ่งก่อนหน้านั้นได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นเมืองใหญ่ เติบโตเร็ว และ “มาเฟีย” เข้มแข็ง เพียงไม่ถึงห้าปี โปซีไหลประกาศสงครามกับอาชญากรจัดตั้ง มาเฟียท้องถิ่น เจ้าพ่อ ผู้มีอิทธิพลในสไตล์พรรคคอมมิวนิสต์ยุคสร้างชาติ และสไตล์เร็ดการ์ดที่ทุกคนขวัญผวา ขณะเดียวกันก็ผลักดันให้ระบบเศรษฐกิจนครฉงชิ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่ต่ำกว่าตัวเลขสองหลักตลอดทุกปี กล่าวโดยสรุปก็คือ จากภาพการเติบโตดังกล่าว และภูมิหลังครอบครัวปฏิวัติระดับแปดเซียนอมตะ อนาคตของโปซีไหลก็คือ “ผู้นำคนต่อไป” หลังจากซีจิ้นผิงพ้นวาระอย่างแน่นอน การต่อสู้ช่วงชิงการนำภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีน วันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา หนึ่งวันหลังเสร็จสิ้นการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติครั้งที่ 11 คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็มีมติปลดนายโปซีไหลออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคแห่งเมืองฉงชิ่ง และตำแหน่งอื่นอีกทุกตำแหน่ง และจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีข่าวที่แน่ชัดเกี่ยวกับตัวนายโปฯ (อยู่ที่ไหน อยู่ในสภาพอย่างไร?) แต่ข่าวที่ชัดๆ ก็คือก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ลูกน้องมือขวาของนายโปฯ ชื่อว่านายหวัง ลี่จวิน ซึ่งดำรงตำแหน่งหัวหน้ากรมตำรวจแห่งเมืองฉงชิ่งก็ได้หายตัวเข้าไปในสถานกงสุลสหรัฐ และได้รับการยืนยันต่อมาว่าได้ขอลี้ภัยอย่างเป็นทางการแล้ว อันเป็นอะไรที่น่าเสียหน้าอย่างใหญ่หลวงสำหรับรัฐบาลจีนและพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งนอกจากจะเสียหน้าแล้วยังอาจจะ “เสียความลับ” ที่สำคัญอีกอย่างมหาศาลด้วย ว่ากันว่า นายหวังฯ นั้นเดิมทีก็เป็คนสนิทของนายโปฯ แต่ต่อมาในระยะหลังมีปัญหาขัดแย้งกันหลายเรื่อง โดยเฉพาะที่ลือกันมากๆ ก็คือนายหวังดันไปจับญาติสนิทของนายโปฯ เข้าให้ และทำท่าจะขยายผลไปสู่ “คดีคอรัปชั่น รับสินบน” ที่ใกล้ตัวนายโปฯ เข้าไปทุกส่วนว่าจะจริงหรือไม่ไม่มีใครตอบได้ ทว่า ในทางการเมือง และในเชิงการวิเคราะห์แบบวิภาษวิธี คงต้องมองไปที่ความขัดแย้งในทางความคิด (สองแนวทาง) และการช่วงชิงการนำภายในพรรค ซึ่งในกรณีนี้ต้องยอมรับว่าข้อมูลน้อยมาก แต่จากที่เฝ้าติดตามดู โอกาสที่จะเกิดการช่วงชิงการนำภายในพรรคฯ ดูท่าจะเป็นเรื่องยาก เพราะ ประการแรก ขณะนี้หัวหน้ากลุ่ม “เจ้าชายน้อย” คือนายซีจิ้นผิงก็จับมือกับกลุ่มเยาวชนคอมมิวนิสต์ของนายหูจิ่นเทาได้อย่างเหนียวแน่น และมีข้อตกลงจัดสรรอำนาจเป็นที่ลงตัวแล้ว โดยล่าสุดนายซีฯ เองก็วิจารณ์ “ฉงชิ่งโมเดล” ของนายโปฯ อย่างเปิดเผยเมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา และ ประการที่สอง นายเหวินเจียเป่าซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มปฏิรูปที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางซ้ายจัดของเหมาฯ มาแต่ไหนแต่ไร ก็ยังได้รับการยอมรับจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างท่วมท้น โดยในวันสุดท้ายก่อนปิดประชุมสภาประชาชนนายเหวินฯ ได้กล่าวสุนทรพจน์ย้ำอย่างชัดเจนว่า “China risks another historical tragedy like the Cultural Revolution unless it enacts political reforms.” ซึ่งเท่ากับบอกว่าสิ่งที่นายโปฯ กำลังทำอยู่นั้นเป็นการเดินถอยหลังเข้าคลอง และเป็นความเสี่ยงทางการเมืองที่รับไม่ได้ วันรุ่งขึ้น พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็มีมติปลดนายโปฯ ตามข้อเสนอ ช่วงชิงการนำคงไม่ใช่ และยังยากที่จะสำเร็จ แต่ความแตกต่างทางความคิดนับวันก็ยิ่งถ่างห่างขึ้นทุกที และนี่จะกลายเป็นบททดสอบความอยู่รอดของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในอนาคต (ที่อาจจะไม่ยาวไกล).

อ่านต่อ...

About This Blog

รายการบล็อกของฉัน

รายการบล็อก

Our Blogger Templates Web Design

  © Blogger templates The Professional Template by Ourblogtemplates.com 2008

Back to TOP