วันศุกร์, สิงหาคม 27, 2553

อดีตทหารพรานฆ่าข่มขืนนร.ป.5

พล.ต.ท.วีระยุทธ สิทธิมาลิก ผบช.ภาค 9 พล.ต.ต.ชนสิษฎ์ วัฒนาวรางกูร ผบก.ภ.จว.สงขลา พ.ต.อ.สาคร ทองมุณี รอง ผบก.ภ.จว.สงขลา พ.ต.ท.ศักดา เจริญกุล รอง ผกก.ฯ พ.ต.ท.ดุสิต พรหมสิน รอง ผกก.ฯพ.ต.ท.พัฒนพงศ์ ศรีพิณเพราะ สว.กก.สส. ได้ควบคุมตัว นายนิตย์ติชัย ราชวงษ์ อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 112 / 7 ถ.ศรีภูวนารถใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา อดีตอาสาสมัครทหารพรานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่ก่อเหตุล่อลวง ด.ญ.ไอลดา สะตะ หรือ น้องภู่ นักเรียนชั้น ป. 5 โรงเรียนเทศบาล 4 วัดคลองเรียน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ไปข่มขืนและฆ่าอย่างโหดเหี้ยมในชุดนักเรียนทิ้งศพในป่าละเมาะใกล้กับวัดชัยชนะสงคราม หมู่ 1 ต.ควนลัง อ.หาดใหญ่ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา สอบสวน นายนิตย์ติชัย ให้การรับสารภาพว่า วันเกิดเหตุได้วนเวียนหาเหยื่อ ซึ่งเป็นหญิงสาวเพื่อที่จะล่อลวงไปข่มขืนและชิงทรัพย์ ก่อนจะพบกับ ด.ญ.ไอลดา เดินอยู่ใกล้โรงเรียน จึงเข้าไปตีสนิทด้วยการซื้อน้ำอัดลมให้ดื่ม และออกอุบายว่าจะไปส่งที่บ้าน แต่ได้พาไปยังที่เกิดเหตุ ซึ่งห่างจากตัวเมืองหาดใหญ่ประมาณ 6 กิโลเมตร จากนั้นได้พยายามบังคับขืนใจแต่ไม่สำเร็จ เนื่องจาก ด.ญ.ไอลดา ร้องเสียงดังจึงบันดาลโทสะ ด้วยการใช้ก้อนหินทุบเข้าที่ศรีษะ 3 ครั้ง จนเสียชีวิตโดยที่ไม่มีโอกาสแม้ร้องขอชีวิต จากนั้นจึงใช้เหรียญห้าบาทยัดใส่คอ เพื่อสะกดวิญญาณ และนำกิ่งไม้และใบไผ่มาปิดอำพรางศพเอาไว้ ซึ่งเกิดเหตุกลัวความผิดจึงหลบหนีไปกบดานที่บ้านที่จ.นราธิวาส
พล.ต.ท.วีระยุทธ กล่าวว่า จากการสืบสวนพบว่าผู้ต้องหารายนี้ เคยก่อคดีข่มขืนหญิงสาวมาแล้วอย่างน้อย 10 ราย โดยในจำนวนนี้มี 4 ราย ที่ผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ และทุกรายจะขับขี่รถจักรยานยนต์ พาไปบังคับข่มขืนและบังคับเอาทรัพย์สินที่ป่าละเมาะใกล้กับวัดชัยชนะสงคราม นอกจากนี้ทราบว่าหลังจากที่ก่อเหตุฆ่าด.ญ.ไอลดา ในวันที่ 22 สิงหาคมแล้ว ถัดมาอีกวัน ผู้ต้องหารายนี้ ยังได้บังคับหญิงสาวอีกคน ไปข่มขืนปล้นทรัพย์ด้วย ซึ่งจากการพูดคุยกับผู้ต้องหารายนี้ ยอมรับว่ามีความวิปริตทางเพศ และมีความต้องการทางเพศสูงและหมกมุ่นในเรื่องเพศ
เบื้องต้นตำรวจได้แจ้งข้อหาพาผู้อื่นไปเพื่ออนาจาร โดยใช้อุบายหลอกลวง , ข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นซึ่งมิใช่ภรรยาของตน โดยขู่เข็นด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยบุคคลอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้และชิงทรัพย์ของผู้อื่น

อ่านต่อ...

วันพุธ, สิงหาคม 25, 2553

ฆาตกรโหดฆ่าเยาวชนมลายูมุสลิม

(ฆาตกรโหดฆ่าเยาวชนมลายูมุสลิม, จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของประเทศไทย)

เหตุการณ์ทารุณและความรุนแรงที่เกิดขึ้นในภาคใต้ของประเทศไทย หรืออดีตประเทศฟาตอนี ดารุสสลาม คำว่า ทรราชย์ และ ความโหดร้าย ที่มีต่อมนุษยชนในวันนี้เป็นเรื่องที่ปกติไปแล้วสำหรับพวกเรา แต่ความทรราชย์และความโหดร้ายนั้นมันจะมีต่อไปจนถึงเมื่อไรกัน! อย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดกับการสังหารโหดของวัยรุ่นอายุ 20 ปีชื่อ อีมาดุดดีน บิน ฮารูน มีภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้านที่จังหวัดนราธิวาส หมูบ้านยาลูตง (Yalutong) แต่ปัจจุบันอาศัยอยู่ในประเทศมาเลเซียและกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย ถ้าสังเกตดูเหตุการณ์การสังหารในครั้งนี้แล้วเหมือนมีการวางแผนการสังหารมาเรียบร้อยแล้ว และผู้ที่วางแผนการสังหารครั้งนี้ก็สามารถพูดได้เต็มปากและชัดเจนด้วยความแน่ใจว่าไอ้ชั่วผู้นั้นคือ ซีแย ละนาตุลลอฮ (Siam laknatullah)
เมื่อวันเสาร์ ที่ 7 สิงหาคม 2553 ผู้ตายที่ชื่อ อีมาดุดดีน บิน ฮารูน ก็ไปหาเพื่อนที่นัดเจอกัน ณ สุไหงโกลกกับเพื่อนสนิทอีกคน พอถึงที่สุไหงโกลก ผู้ตายและเพื่อนที่ไปด้วยกันก็เจอเพื่อนที่นัดเจอกัน ซึ่งปัจจุบันเพื่อนของผู้ตายคนนั้นทำงานรับจ้างเป็นทหารพราน หลังจากที่ได้คุยกันเพื่อนผู้ตายที่เป็นทหารพรานก็จับกุมผู้ตายไว้และไล่ให้เพื่อนผู้ตายอีกคนหนึ่งที่มาด้วยกัน

จากการสอบปากคำจากเพื่อนผู้ตายที่ไปด้วยกันนั้น เขาบอกว่า หลังจากที่ผู้ตายโดนล็อกจับกุมนั้น มีทหารพรานคนหนึ่งที่มากับกลุ่มเพื่อนผู้ตายที่เป็นทหารพรานด้วยกัน ส่งสัญญาณด้วยมือกับเพื่อนทหารพรานอีกคนด้วยสัญลักษณ์ “เชือดคอ หรือ ตัดคอ” แล้วชี้ไปที่ผู้ตายที่โดนล็อกจับกุม

อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า ทหารพรานที่นัดเจอกับผู้ตายนั้น ซึ่งเขาเคยเป็นเพื่อนกันและรู้จักกัน มีชื่อเล่นว่า มัง มุนดุก (Mang Munduk) ซึ่งคาดว่าเขาน่าจะเป็นสายของซีแยหรือทหารไทย และเขาเองนั้นแหละที่เป็นคนติดต่อผู้ตายที่อาศัยทำงานอยู่ในประเทศมาเลเซียให้กลับมา

ในวันอาทิตย์ ที่ 8 สิงหาคม 2553 เวลาประมาณที่บ่าย 2 ผู้ตายได้โทรติดต่อไปหาพ่อของเขา และบอกพ่อเขาว่าเขาจะไปสุไหงโกลก หลังจากนั้นสายก็หลุดไป และพ่อผู้ตายก็ไม่สามารถติดต่อได้อีก

เมื่อตอนเย็นของวันอาทิตย์ วันเดี่ยวกันนั้น เพื่อนของผู้ตายที่ไปด้วยกันกับผู้ตายนั้น (ไม่ใช่เพื่อนผู้ตายที่เป็นทหารพรานน่ะ) ได้โทรกลับไปแจ้งและเล่าเหตุการณ์ให้บิดาของผู้ตายทราบ อย่างที่กล่าวมาข้างต้น ว่า “ผู้ตายโดนจับตัวไป และในช่วงโดนจับตัวนั้นเขาแอบดูเหตุการณ์และเห็นทหารพรานคนหนึ่งที่มากับกลุ่มเพื่อนผู้ตายที่เป็นทหารพรานด้วย ส่งสัญญาณด้วยมือกับเพื่อนทหารพรานอีกคน ด้วยสัญลักษณ์ “เชือดคอ หรือ ตัดคอ” แล้วชี้ไปที่ผู้ตาย”

และพ่อของผู้ตายก็ได้ให้ความด้วยว่า “ในช่วงที่เขาคุยโทรศัพท์กับลูกชายนั้นเขาก็รู้สึกแปลกใจแล้ว เนื่องจากได้ยินเสียงของลูกแปลกๆ เหมือนกับเหนื่อยๆ และคิดว่าเบื้องหลังน่าจะมีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน ซึ่งพ่อของผู้ตายเชื่อว่าอย่างนั้น แต่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย จนสายหลุดไปและไม่สามารถติดต่อได้อีก

ผู้ตายถูกทำร้ายร่างกายอย่างทารุณและโหดร้ายตั้งแต่วันเสาร์จนถึง 4 โมงเย็นของวันอาทิตย์ ก็เสียชีวิต เนื่องจากทนความเจ็บปวดและทรมานไม่ได้ โดยหลักฐานบนร่างกายชัดเจน ที่เห็นในภาพมีลักษณะร่างกายที่มีรอยเผาไหม้ คิดว่าน่าจะโดนทรมานด้วยเหล็กร้อน ถูกตัดคอหรือเชือดคอตั้งแต่ข้างหน้าจนถึงข้างหลัง โดนแทงด้วยมีดรวมกัน 4 แผล และในวันนั้นเองก็มีชาวบ้านคนหนึ่งเข้าไปเก็บลูกสะตอในสวน และได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือในบริเวณสวนป่า แต่เขาก็ไม่ได้เข้าไปช่วยเหลือเนื่องจากเขาเองก็กลัว จนวันรุ่งขึ้นเขาก็ไปดูแต่ก็เจอศพของอีมาดุดดีน บิน ฮารูณ แล้ว















อ่านต่อ...

วันเสาร์, สิงหาคม 14, 2553

โจรใต้รายสัปดาห์ ต้อนรับรอมาฎอน

โจรใต้ซิ่งมอเตอร์ไซค์ ประกบยิงตร.ปัตตานีดับ "ยะลา"เดือดโจรนับสิบ ถนนผัว-เมียจ่อหัวซ้ำดับ

      เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม เวลา 09.00 น. พ.ต.อ.จักรภพ ท้าวฤทธิ์ ผกก.สภ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ได้รับแจ้งมีเหตุยิงกันบนถนนสาย 42 เส้นทางนราธิวาส ปัตตานี ม.3 ต.ตันหยงดาลอ จึงนำกำลังตำรวจ ทหาร เข้าไปที่เกิดเหตุ พร้อมด้วย พล.ต.ต.พิเชษฐ์ ปิติเศษฐพันธ์ ผบก. พ.ต.อ.จีรวัฒน์ อุดมสุด รอง ผบก. และหน่วยพิสูจน์หลักฐาน

ในที่เกิดเหตุพบรถจักรยานยน( จยย.) ยี่ห้อยามาฮ่า ทะเบียน กมก 334 ยะลา สภาพชนกับเสาไฟฟ้าได้รับความเสียหาย ส่วนคนเจ็บถูกนำส่งโรงพยาบาลยะหริ่ง และได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา ทราบชื่อ จ.ส.ต.ตาเละ ดอเลาะ อายุ 37 ปี สังกัด ผบ.หมู่ งานสืบสวนสอบสวน สภ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ถูกยิงด้วยอาวุธปืนพกสั้นขนาด 11 มม. เข้าศีรษะ 2 นัด ลำตัว 2 นัด ในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุน จำนวน 6 ปลอก ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เก็บไว้เป็นหลักฐาน
จากการสอบสวนก่อนเกิดเหตุทราบว่า ขณะที่ผู้ตายขับ จยย. ออกมาจากบ้านพักใน ต.ปาลัส อ.มายอ และกำลังมุ่งหน้าไปโรงพักเพื่อเข้าเวร โดยที่ผู้ตายได้ใส่เสื้อนอกเครื่องแบบ ปรากฏว่าเมื่อมาถึงที่เกิดเหตุมีคนร้าย 2 คนขับ จยย. ไล่ตามหลัง ผู้ตายเห็นผิดสังเกตจึงได้เร่งเครื่องหนีด้วยความเร็ว แต่ก็ไม่ทันถูกคนร้ายชักอาวุธปืนกระหน่ำยิงหลายนัดถูกผู้ตาย จนรถเสียหลักพุ่งชนเสาไฟฟ้าข้างทาง อย่างรุนแรงจนเสียชีวิตในที่สุด จากนั้นคนร้ายเร่งเครื่องหลบหนีไป หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจ นำกำลังปิดล้อมตรวจค้นบริเวณที่เกิดเหตุทันที เชื่อว่าคนร้ายยังคงกบดานในพื้นที่และพยายามที่จะออกมาก่อเหตุสร้าง สถานการณ์อีก

ยิงถล่ม 2 ผัวเมียยะลาก่อนจ่อหัวซ้ำดับสยอง
 

     โจรใต้ นับ10 คน ยิงถล่ม 2 ผัวเมียยะลาขณะออกไปกรีดยาง ก่อนจ่อยิงหัวดับ คาดเป็นแผนลวงเจ้าหน้าที่
วันที่ 14 สิงหาคม 2553 เมื่อเวลา 06.00 น.พ.ต.ท.ธนสิทธิ์ มัทยาท สารวัตร สภ.ลำใหม่ อ.เมือง จ.ยะลา ได้รับแจ้งเหตุจากศูนย์วิทยุ 191 สภ.ลำใหม่ ว่ามีคนร้ายไม่ทราบกลุ่มและจำนวนใช้อาวุธปืนสงครามยิงถล่มชาวบ้านในสวน ยางพารา จนเสียชีวิตจำนวน 2 ราย ที่บริเวณบ้านทุ่งคา หมู่ที่ 2 ต.ลำใหม่ อ.เมือง จ.ยะลา
ในที่เกิดเหตุบริเวณดังกล่าวอยู่บริเวณทางโค้งทางหลวงชนบทสายลำใหม่ - ทุ่งยามู พบศพนายสาคร มีทอง อายุ 42 ปี และนางสมพิศ มีทอง อายุ 41 ปี เป็นสามีภรรยา อยู่บ้านเลขที่ 46 หมู่ที่ 1 บ้านบาเงง ต.ปากล่อ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ถูกกระสุนปืนหลายชนิดเจาะที่ศีรษะและตามร่างกายหลายแห่ง นอนเสียชีวิตคารถจักรยานยนต์ยี่ห้อซูซูกิ สีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน กลท-545 ยะลา ห่างกันเล็กน้อยเจ้าหน้าที่ตำรวจพบปลอกกระสุนปืนสงครามอาก้า เอ็ม16 ลูกซอง และขนาด 9 มม.ตก จำนวน 20 ปลอก
จากการสอบสวนทราบว่า นายสาคร มีทอง ผู้ตายมีอาชีพกรีดยางพารา ก่อนเกิดเหตุประมาณ 01.00 น. นายสาครพร้อมด้วยนางสมพิศขับขี่รถจักรยานยนต์คันดังกล่าวออกมาจากบ้านพัก เดินทางไปกรีดยางที่สวนยางพาราท้ายหมู่บ้านบ้านทุ่งคาตามปกติ ขณะทั้งคู่มาถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นทางโค้งและเป็นจุดเปลี่ยว กลุ่มคนร้ายไม่ทราบกลุ่มไม่ต่ำกว่า 10 คน ซุ่มอยู่ข้างทางได้ใช้อาวุธปืนสงคราม และลูกซองยิงถล่ม ทำให้รถจักรยานยนต์ล้มลง กลุ่มคนร้ายยังได้เข้าไปใช้อาวุธปืนพกสั้นจ่อยิงศีรษะทั้ง 2 อย่างโหดเหี้ยม เพื่อให้แน่ใจว่าได้เสียชีวิตลงแล้ว หลังก่อเหตุได้อาศัยความชำนาญในพื้นที่หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นฝีมือของกลุ่มผู้ก่อความไม่ สงบที่เคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ พยายามก่อเหตุร้ายโดยวางแผนถล่มยิงผู้บริสุทธิ์ทั้ง 2 คนเพื่อหลอกล่อ และ คอยซุ่มทำร้าย เจ้าหน้าที่ชุดที่เข้าตรวจสถานที่เกิดเหตุ

โจรใต้คาร์บอมบ์นราฯ ถล่มหน้าแบงค์กสิกร จนท.รู้ตัว-ไร้คนเจ็บ
 

     เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม เวลา 08.05 น. ขณะที่พ.ต.ท. สมชาย นพศรี รอง ผกก.สส.สภ.รือเสาะ จ.นราธิวาส กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ สภ. ได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นไหว บริเวณหน้าธนาคารกสิกรไทย สาขาอำเภอรือเสาะ ตั้งอยู่เขตเทศบาลตำบลรือเสาะห่างจาก สภ.รือเสาะ ประมาณ 150 เมตร จึงนำกำลังรีบรุดไปที่เกิดเหตุ

เมื่อไปถึงพบรถยนต์เก๋งยี่ห้อฮอนด้า สีดำ ทะเบียน กน-4803 สงขลา จอดอยู่บนถนนหน้าธนาคารมีไฟลุกท่วมทั้งคัน เจ้าหน้าที่หน่วยบรรเทาสาธารณภัย ใช้น้ำฉีดสกัดกั้นต้นเพลิงที่อาจจะลุกลามไปยังอาคารพาณิชย์ของราษฏรที่อยู่ ใกล้จุดเกิดเหตุ และกำลังเจ้าหน้าที่อีกส่วนหนึ่งได้กระจายกำลังปิดกั้นจราจร เมื่อเพลิงสงบลงเจ้าหน้าที่จึงได้เข้าตรวจสอบ

จากการตรวจสอบพบว่ารถยนต์คันดังกล่าวถูกอนุภาพระเบิด ได้รับความเสียหายทั้งคัน และพบซากชิ้นส่วนของระเบิดแสวงเครื่องที่คนร้ายประกอบใส่ไว้ในถังแก๊สปิกนิก หนัก 20 กิโลกรัม จุดชนวนด้วยการตั้งปลุกจากโทรศัพท์มือถือตกกระจายเกลื่อนพื้นถนน เจ้าหน้าที่จึงได้เก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน

นอกจากนี้อนุภาพของระเบิด ยังส่งผลทำให้กระจกประตูทางเข้าของธนาคารกสิกรไทย สาขาอำเภอรือเสาะ ได้รับความเสียหาย รวมทั้งอาคารพาณิชย์ของราษฏร ได้รับความเสียหายไปอีกเกือบ 10 หลัง เจ้าหน้าที่จึงเก็บรวบรวมหลักฐานในที่เกิดเหตุ พร้อมประสานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบภาพโทรทัศน์วงจรปิดตามจุดต่างๆ ที่ติดไว้ตามเสาไฟฟ้าตลอดบริเวณหน้าธนาคารกสิกรไทยและบ้านเรือนของราษฏร เพื่อตรวจสอบภาพที่บันทึกไว้ในการติดตามจับกุมคนร้ายมาลงโทษ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเนื่อง มาจาก จ.ส.ต. สุรินทร เสียงอ่อน ผู้บังคับหมู่งานจราจร ได้รับแจ้งเบาะแสจากชาวบ้านว่า เมื่อเวลาประมาณ05.10 น.ได้มีชายวัยรุ่น 1 คน ขับรถยนต์คันดังกล่าวมาจอดและมีท่าทางพิรุธ แถมยังมีวัยรุ่นอีก 1 คน ขี่รถจักรยานยนต์มารับออกจากจุดเกิดเหตุไปอย่างรวดเร็ว

โจรใต้บึ้มรถตร. พตท.เจ็บสาหัส


 
      โจรใต้ระเบิดรถตร. พ.ต.ท. โรงพักระแงะเจ็บสาหัส ขณะออกลาดตระเวนตรวจสถาน การณ์ในพื้นที่แวะเข้าเติมน้ำมันที่ปั๊ม หลังเติมเสร็จจะขับออกประตูปั๊ม คนร้ายที่ฝังระเบิดไว้หน้าประตูกดระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ทำให้พ.ต.ท. ร.ต.ต. และส.ต.ท. ที่มาด้วยกันเจ็บอาการสาหัสทั้งหมด คาดเป็นการลงมือของกลุ่มก่อความไม่สงบ ที่เคยประกาศจะลงมือในช่วงเดือนรอมฎอน
เมื่อวันที่ 12 ส.ค. เวลา 10.30 น. ร.ต.อ.ศรเพชร ตันติอมรชัยกุล ร้อยเวร สภ.ระแงะ จ.นราธิวาส รับแจ้งมีเหตุคนร้ายจุดชนวนระเบิดดักสังหาร พ.ต.ท.สมใจ เหมืองมิ้น สวป.สภ. ระแงะ และพวกได้รับบาดเจ็บสาหัส 3 นาย เหตุเกิดตรงประตูทางเข้าของห้างหุ้นส่วนจำกัดตันหยงมัสออลย์ เลขที่ 157/4 ม.1 ต.ตันหยงมัส อ.ระแงะ ตรงข้ามบ้านพักของนายนัจมุดดีน อูมา ส.ส.นราธิวาส พรรคมาตุภูมิ จึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.ชาญ วิมลศรี รอง ผบก.ภ.จว.นราธิวาส นายศุภวริศ เพชรกาฬ นายอำเภอระแงะ และหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด นปพ.นราธิวาส รวมทั้งเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารฝ่ายปกครองจำนวนหนึ่งรุดเดินทางไปตรวจสอบที่ เกิดเหตุ

เมื่อไปถึงพบรถยนต์กระบะ 4 ประตูยี่ห้อโตโยต้า ของ สภ.ระแงะ จอดอยู่บริเวณประตูทางเข้า ในสภาพถูกสะเก็ดระเบิดได้รับความเสียหายทั่วคัน มีกองเลือดที่เบาะโดยสาร ห่างจากรถไปประมาณ 2 เมตรเจ้าหน้าที่พบหลุมระเบิดใต้ป้ายบอกทางเข้าของปั๊มน้ำมันปตท. มีหลุมลึก 1 ฟุต กว้าง 3 ฟุต และมีเศษซากชิ้นส่วนของระเบิดแสวงเครื่องที่คนร้ายประกอบใส่ไว้ในกล่องเหล็ก หนัก 5 ก.ก. จุดชนวนด้วยโทรศัพท์มือถือ ตกกระจายเกลื่อนพื้นถนนและพงหญ้ารกทึบริมทาง ส่วนผู้บาดเจ็บทั้ง 3 นายนำตัวส่งร.พ.ระแงะไปก่อนแล้ว

ต่อมาเจ้าหน้าที่เดินทางไปดูอาการผู้บาดเจ็บ ประกอบด้วย พ.ต.ท.สมใจ ถูกสะเก็ดระเบิดที่แขนซ้ายหักและที่ลำตัวอีกหลายแห่ง ร.ต.ต.มนัส อนุกูล รอง สวป.สภ.ระแงะ ถูกสะเก็ดระเบิดที่ใบหน้า ลำคอและหน้าอก และส.ต.ท.พิเชษฐ์ ทิพย์วารี ผบ.หมู่งานป้องกันปราบปราม ถูกสะเก็ดระเบิดที่แขนซ้าย ใบหน้าและหน้าอก ทั้ง 3 นายอาการสาหัส แพทย์ต้องรีบปฐมพยาบาล ก่อนที่ส่งตัวไปรักษาต่อที่ร.พ.นราธิวาสราชนครินทร์

สอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ ส.ต.ท. พิเชษฐ์ พลขับ ได้ขับรถยนต์สายตรวจออกจาก สภ.ระแงะ โดยมีพ.ต.ท.สมใจ และร.ต.ต.มนัส นั่งมาในรถ เพื่อไปเติมน้ำมันที่ปั๊ม ปตท. เมื่อเติมน้ำมันแล้วเสร็จเจ้าหน้าที่ทั้งสามก็นำรถออกลาดตระเวนตรวจสอบความ เรียบร้อยพื้นที่รับผิดชอบ โดยส.ต.ท.มนัสได้ขับรถยนต์สวนประตูทางเข้าปั๊มเพื่อออกถนนใหญ่ ในช่วงจังหวะนั้นได้มีคนร้ายไม่ทราบจำนวน ที่แฝงตัวอยู่ในละแวกจุดเกิดเหตุ ได้ใช้โทรศัพท์มือถือจุดชนวนระเบิดที่นำไปฝังไว้ที่ป้ายประตูทางเข้าปั๊ม เกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทำให้เจ้าหน้าที่ทั้ง 3 นายบาดเจ็บสาหัสดังกล่าว ก่อนที่คนร้ายจะหลบหนีไป เบื้องต้นเชื่อว่าเป็นฝีมือของกลุ่มก่อความไม่สงบ ที่ได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ ว่าจะลอบก่อเหตุร้ายในช่วงเดือนรอมฎอน

ยะลาเผารถพ่อค้าแม่ค้าจอดหลังสวนสนุกวอดกลางดึก
 

     เมื่อ เวลา 23.00 น. วันที่ 10 ส.ค. ศูนย์วิทยุ สภ.กาบัง จ.ยะลา ได้รับแจ้งว่าเกิดเหตุลอบวางเพลิงรถยนต์ บริเวณลานหลังสวนสนุก บ้านบันนังดามา ม.1 ต.กาบัง อ.กาบัง จ.ยะลา ทำให้รถยนต์ได้รับความเสียหายด้วย จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพบรถยนต์ถูกเพลิงไหม้ได้รับความเสียหาย 2 คัน คือ รถยนต์ยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขทะเบียน บว4041 นครศรีธรรมราช ของนายอาทิตย์ ไก่แก้ว อยู่บ้านเลขที่ 101 ต.หินตาก อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช และรถยนต์นิสัสน สีบรอนท์เทา หมายเลขทะเบียน บม5745 อุดรธานี ของนางจำปี สุทธิประภา ทั้งสองคนมีอาชีพค้าขาย

ส่วนสาเหตุอยู่ในระหว่างการสอบสวนว่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ความไม่สงบหรือเป็นความขัดแย้งในเรื่องใดหรือไม่


อ่านต่อ...

วันจันทร์, สิงหาคม 09, 2553

รอยด่างงานเยียวยา...ผู้สูญเสียแฉขบวนการหาประโยชน์จากคราบน้ำตาเหยื่อความรุนแรง

การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ ยังคงเป็นภารกิจสำคัญที่ทุกฝ่ายต้องเร่งดำเนินการ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีความรุนแรงและก่อให้เกิดความสูญเสียมาอย่างยาวนานกว่าครึ่งทศวรรษเช่นนี้ ซึ่งส่งผลให้มีเด็กกำพร้าและสตรีหม้ายเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกวัน
งานเยียวยาเกือบทุกมิติในปัจจุบันอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เฉพาะกลุ่มเด็กกำพร้าและสตรีหม้าย มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาดูแลเป็นกรณีพิเศษ ชื่อว่า คณะอนุกรรมการบูรณาการการให้ความช่วยเหลือเยียวยาเด็กกำพร้าและสตรีหม้ายที่ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ หรือ กยต. ซึ่งเพิ่งจัดประชุมกันไปเมื่อไม่นานมานี้เอง โดยคณะ กยต.เชิญผู้แทนจากโต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา เข้าให้ข้อมูลและสังเกตการณ์ด้วย การประชุมของคณะ กยต.ที่เพิ่งจบลง นับเป็นการประชุมครั้งที่ 2 ของปี 2553 ที่สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 12 จังหวัดสงขลา โดยมี นายวัลลภ พลอยทับทิม ปลัดกระทรวง พม.นั่งหัวโต๊ะเป็นประธานด้วยตนเอง สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของปัญหาในลำดับต้นๆ ที่ต้องเร่งสะสางอย่างแท้จริง
“ผมคิดว่าจริงๆ แล้วการดูแลช่วยเหลือของ กยต.คงต้องทำไปพร้อมๆกันหลายๆ เรื่อง แต่ถ้ามองในแง่กลุ่มเป้าหมายนั้น กลุ่มเด็กและกลุ่มสตรีหม้ายก็ยังเป็นคนสองกลุ่มที่ต้องได้รับการดูแลอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะเรื่องเด็กที่ไม่ได้รับการศึกษา ต้องทำให้เด็กได้รับการศึกษาให้มากที่สุด ส่วนสตรีหม้ายก็ต้องเสริมพลังให้สามารถกลับมาทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลครอบครัวได้อย่างเข้มแข็ง ซึ่งต้องดูแลทั้งจิตใจและเรื่องการดำรงชีวิต” ปลัดวัลลภ กล่าวกับ “ทีมข่าวอิศรา”
อย่างไรก็ดี หากมองในภาพกว้าง สิ่งที่ กยต.ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องคือการดูแลสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นในชุมชน เพราะชุมชนคือผู้ที่อยู่ใกล้ชิดผู้ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม โดยเฉพาะเด็กและสตรีหม้าย
“ยุทธศาสตร์ของเราก็คือต้องทำให้หมู่บ้าน ชุมชนดูแลผู้ได้รับผลกระทบ ต้องเปิดโอกาสให้คนในชุมชนได้มีส่วนร่วมในการทำงาน เพราะจะเป็นหลังพิงอันแข็งแกร่งให้กับผู้สูญเสียและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด” ปลัดวัลลภ กล่าว
ปลัดกระทรวง พม.ย้ำด้วยว่า ที่พูดเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าผู้ได้รับผลกระทบกลุ่มอื่นๆ จะถูกทอดทิ้ง เพราะมีหน่วยงานรัฐรับผิดชอบทุกกลุ่ม รวมทั้งครอบครัวของผู้ต้องขังคดีความมั่นคงด้วย เพียงแต่ว่ากลุ่มสตรีหม้ายเป็นกลุ่มเร่งด่วนที่มีคณะทำงานดูแลเป็นการเฉพาะเท่านั้นเอง

กยต.ชง 9 โครงการเชิงรุกปี 2553
จากผลการประชุม กยต.เที่ยวล่าสุด ทำให้ทราบว่า กยต.ได้รับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อดูแลเสริมพลังให้กับเด็กกำพร้าและสตรีหม้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นการเฉพาะในปี 2553 จำนวน 9 โครงการ ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 3,978,700 บาท แยกเป็น
จังหวัดนราธิวาส 1 โครงการ คือโครงการอาชีพเสริมระยะสั้นให้แก่สตรีหม้าย งบประมาณ 1,038,000 บาท
จังหวัดยะลา 6 โครงการ ได้แก่ โครงการเวทีประชาคม “ทางออก บอกจากใจ” โครงการกีฬาสานสัมพันธ์หัวอกเดียวกัน โครงการสร้างน้องให้เป็นอาสาสมัครเพื่อสังคม โครงการค่ายทักษะความคิดเพื่อเด็กกำพร้า โครงการต้นกล้าพาแม่สู่ฝัน โครงการส่งเสริมอาชีพแก่สตรีหม้ายผู้ได้รับผลกระทบ รวมใช้งบประมาณทั้งสิ้น 1,703,300 บาท
จังหวัดปัตตานี 1 โครงการ คือโครงการการซับน้ำตาเสริมพลังใจสู่ครอบครัวเข้มแข็ง ใช้งบประมาณ 683,500 บาท
จังหวัดสงขลา 1 โครงการเช่นกัน คือ โครงการครอบครัวเดียวกัน ใช้งบประมาณ 553,500 บาท

ระวังแก๊งหาประโยชน์จากคราบน้ำตา
แม้จะมีโครงการเยียวยาพร้อมงบประมาณลงไปในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง แต่จากมุมมองผู้ได้รับผลกระทบเองยังเห็นว่ามีอีกหลายเรื่องราวที่น่าเป็นห่วงในบริบทของงานเยียวยา
นางยินดี แซ่เหง่า สตรีผู้สูญเสียจาก จ.ยะลา ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ปรึกษากลุ่มแม่บ้านในพื้นที่ กล่าว่า ที่ผ่านมาโครงการต่างๆ ของ กยต.เป็นโครงการที่ดี แต่ยังไม่ทั่วถึงเท่าที่ควร และแม้จะมีหลายปัญหาเกิดจากโครงการและกิจกรรม แต่ผลสะท้อนกลับยังไปไม่ถึง กยต. ทำให้ปัญหายังคงคาราคาซัง
“เท่าที่เคยประสบมาด้วยตัวเอง หลายโครงการมักจะนำกลุ่มพวกเรา ไปรวมกลับอีกกลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบ พอมีการทำงานในพื้นที่ก็ให้กลุ่มที่ไม่ใช่ผู้ได้รับผลกระทบไปทำ สุดท้ายผู้ได้รับผลกระทบจริงๆ ก็เสียโอกาส ไม่ได้ประโยชน์อะไร จุดสำคัญที่เป็นต้นเหตุของปัญหาคือโครงการต่างๆ เหล่านี้มักจะผ่านมาทางผู้นำในพื้นที่ และผู้นำเหล่านั้นก็นำเอาสิทธิประโยชน์ที่ผู้สูญเสียสมควรจะได้รับ ไปมอบให้กับพวกพ้องและคนใกล้ชิดแทน และอ้างว่าคนเหล่านั้นได้รับผลกระทบ ฉะนั้นจึงอยากให้เปลี่ยนแนวทางการทำงานใหม่ โดยส่งผ่านโครงการและงบประมาณมายังตัวผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงเลย”
“ฉันเห็นมาหลายกรณี เอาประโยชน์จากเด็กกำพร้า ไม่รู้ทำกันได้อย่างไร มีคนมาบอกหลายคนแล้ว อยากให้ทาง กยต.มาดูแลเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องเป็นราวด้วย จริงๆ ยังมีอีกหลายปัญหาที่กลุ่มสตรีหม้าย จ.ยะลา เผชิญอยู่ และอยากให้ กยต.ลงพื้นที่มาพูดคุยกับพวกเราเอง จะได้ทราบความจริง และปรับกระบวนการทำงาน” นางยินดี กล่าว
ขณะที่ นางประไพ หมะสะอะ หนึ่งในเครือข่ายสตรีผู้สูญเสียจากสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ สะท้อนว่า เมื่อก่อนหลายๆ โครงการสามารถเข้าถึงผู้สูญเสียและผู้ได้รับผลกระทบอย่างแท้จริง ทำให้หลายคนมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ระยะหลังๆ โครงการต่างๆ เริ่มหายไป ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำให้งานเครือข่ายเองก็ห่างๆ กันไปด้วย
นอกจากนั้นยังได้ข่าวไม่ค่อยดีเกี่ยวกับงบประมาณโครงการสร้างงานเร่งด่วน 4,500 บาท ทราบมาว่าจะมีการตัดงบในส่วนนี้ โดยเฉพาะกับกลุ่มสตรีหม้าย ทำให้หลายคนไม่สบายใจ และอยากให้ กยต.เข้ามาตรวจสอบอย่างเร่งด่วน
“ต้องเข้าใจว่าสตรีหม้ายอีกหลายคนยังไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง แถมต้องแบกภาระดูแลลูกๆ ดูแลครอบครัว รายได้ก็ไม่คงที่ แต่ที่ผ่านมาก็ได้เงินโครงการ 4,500 มาช่วยเหลือในยามฉุกเฉิน ฉะนั้นหากตัดงบตรงนี้ไป จะทำให้อีกหลายครอบครัวได้รับความเดือดร้อน” หนึ่งในเครือข่ายสตรีผู้สูญเสีย กล่าว

“กลุ่มลูกผู้ก่อการ-ปฏิเสธรัฐ”ยังน่าห่วง
ด้าน แพทย์หญิงเพชรดาว โต๊ะมีนา หรือ “หมอจอย” ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพจิตที่ 15 กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะ กยต. มองว่า อันที่จริงการให้ความช่วยเหลือเด็กกำพร้าและสตรีหม้ายทำกันมาอย่างต่อเนื่องและได้รับงบประมาณจากหลายแหล่ง แต่ปัญหาก็คือตอนนี้มีกลุ่มสตรีหม้ายจากเหตุการณ์ความไม่สงบมากถึงเกือบ 2,000 คน ทำให้เกิดปัญหาเรื่องความรวดเร็วและความคลอบคลุมในการให้ความช่วยเหลือ
“หมอลงพื้นที่มาตลอด จึงทราบว่ากลุ่มสตรีหม้ายไม่ได้มีแต่ตัวผู้หญิงคนเดียวที่เดือดร้อน แต่ผู้หญิงในพื้นที่มีลูกค่อนข้างเยอะ แถมยังยากจน เวลาที่จะเจียดให้สำหรับเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นกิจกรรมด้านการเยียวยาจึงแทบจะไม่มีเลย ฉะนั้นน่าจะมีกระบวนการติดตาม สรุปผลว่ามีกี่คนแล้วที่ได้รับการดูแล และอีกกี่คนที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือ เพื่อให้เกิดความชัดเจนและกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ครอบคลุมมากขึ้น”
จากประสบการณ์ของหมอเพชรดาว ยังพบปัญหากลุ่มผู้สูญเสียที่ไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากภาครัฐ รวมทั้งกลุ่มที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์ได้รับการเยียวยาด้วย ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้รัฐต้องไม่ละเลยที่จะให้การดูแล
“สิ่งที่ทุกคนต้องการคือการดูแลด้านจิตใจ ที่ผ่านต้องยอมรับว่ายังมีอีกหลายคนที่ไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูลของภาครัฐ ฉะนั้นถึงแม้การทำงานของราชการจะทำได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ในบางมิติที่สำคัญก็ยังไม่ได้ทำ เช่น บุตรของผู้ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะครอบครัวของผู้ต้องขังคดีความมั่นคง ยังไม่มีโครงการใดที่มุ่งเยียวยาและปลูกฝังสิ่งที่ถูกต้องให้กับพวกเขา หมอไม่อยากให้รัฐมองว่าคนเหล่านี้เป็นครอบครัวของผู้ก่อการ แต่อยากให้มองว่าพวกเขาอีกชีวิตหนึ่งในผืนแผ่นดินไทย”
“ประเด็นนี้ยังเป็นจุดอ่อนของคณะทำงานเกือบทุกคณะ ทำให้งานเยียวยายังไม่ครอบคลุม กรณีที่เห็นชัดๆ ก็คือกลุ่มที่เจ้าหน้าที่สามฝ่าย ได้แก่ ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ไม่ให้การรับรองว่าเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาความไม่สงบ หรือกลุ่มที่สูญหาย หรือถูกปิดล้อมหมู่บ้าน ที่สำคัญมีกลุ่มที่ปฏิเสธการเยียวยาจากภาครัฐด้วย ซึ่งเราต้องยอมรับความจริง และถอดสลักของปัญหาให้ได้โดยเร็ว” หมอเพชรดาว กล่าว
ทั้งหมดนั้นคือปัญหาที่ยังปรากฏในบริบทของงานเยียวยาซึ่งทุกฝ่ายไม่ควรปล่อยให้เกิดปมแสวงประโยชน์จากคราบน้ำตา หรือความรู้สึก “สองมาตรฐาน” อีกต่อไป

อ่านต่อ...

วันพุธ, สิงหาคม 04, 2553

ปะทะกันมีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ

พ.ต.อ.ชัชชัย วงศ์สุนะ ผกก.สภ.หนองจิก จ.ปัตตานี รับแจ้งว่ามีการยิงปะทะกันมีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บบนถนนสาย 42 ปัตตานี-หาดใหญ่ ม.2 บ้านปรัง ต.ท่ากำชำ ห่างจุดตรวจร่วมเกาะหม้อแกง ประมาณ 500 เมตร หลังรับแจ้งได้นำกำลังตำรวจ ทหาร พร้อมอาวุธหนักเข้าไปเสริมกำลังช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ที่เกิดเหตุปรากฏว่ายังมีการยิงปะทะกันเป็นระยะ เจ้าหน้าที่จึงได้ปิดเส้นทางขาเข้าและออก ปัตตานี-หาดใหญ่ ทันที เพราะเกรงว่าประชาชนจะได้รับอันตราย

จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำรถหุ้มเกราะ วี 150 ติดอาวุธเร่งช่วยเหลือกำลังที่ถูกซุ่มยิง และเมื่อไปถึงพบว่าสถานการณ์สงบลงแล้ว พบตำรวจถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 นาย นอนหมดสติบนถนน จึงรีบลำเลียงส่ง รพ.หนองจิก ทราบชื่อ ส.ต.ท.ฉัตรชัย เขตจำนง อายุ 28 ปี ผบ.หมู่ นปพ.ภ.จ.ปัตตานี ถูกยิงด้วยอาวุธสงครามเข้าศรีษะ 1 นัดและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ส่วน ส.ต.ท.นพรัตน์ สร้อยคำ อายุ 28 ปี สังกัดเดียวกันถูกยิงเข้าลำตัวอาการสาหัส แพทย์ได้ส่งต่อไป รพ.ปัตตานี ในที่เกิดเหตุพบรถยนต์กระบะตราโล่ สภาพถูกยิงจนพรุนทั้งคัน และรถ จยย.ตราโล่ 2 คัน ตกข้างทาง

นอกจากนี้พบปลอกกระสุนปืนอาก้าและเอ็ม16 กว่า 40 ปลอกของคนร้ายตกอยู่บริเวณริมถนนในป่าละเมาะ จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน

สอบสวนก่อนเกิดเหตุทราบว่า ขณะที่ทั้ง 2 นาย ขับรถ จยย.ออกลาดตระเวนเส้นทางรับผิดชอบ โดยมีกำลังตำรวจอีก 6 นาย ตามหลัง แบ่งเป็นรถ จยย.ขับ 1 นาย และอีก 5 นาย ใช้รถยนต์เป็นพาหนะ และระหว่างลาดตระเวนมาถึงที่เกิดเหตุ ได้มีคนร้ายไม่ต่ำกว่า 3 คน มีอาวุธสงครามครบมือยิงถล่มใส่ทันทีจนเกิดเสียงดังสนั่น

ปรากฏว่ากระสุนถูกทั้ง 2 นายจนล้มกองกับพื้น ส่วนกำลังที่เหลือได้หักหลบลงข้างทางแล้วใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้จนเกิดการยิงปะทะกันขึ้นประมาณ 10 นาที จนคนร้ายล่าถอยหนีเข้าไปในป่า

หลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.พิเชษฐ์ ปิติเศรษฐพันธ์ ผบก. พร้อมด้วย พท. สิทธิศักดิ์ เจนบรรจง ผบ.ฉก.ปัตตานี 24 ได้นำกำลังเข้าไปปิดล้อมบริเวณที่เกิดเหตุและไล่ล่ากลุ่มคนร้ายทันที เชื่อยังคงกบดานในพื้นที่ อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่เชื่อเป็นการตอบโต้ของกลุ่มก่อความไม่สงบหลังถูกกดดันอย่างหนักจนแนวร่วมหลายรายถูกจับกุมและวิสามัญไปก่อนหน้านี้

อ่านต่อ...

About This Blog

Our Blogger Templates Web Design

  © Blogger templates The Professional Template by Ourblogtemplates.com 2008

Back to TOP