วันจันทร์, เมษายน 30, 2555

อยากรู้คดีลอบฆ่าทักษิณ/ผลตรวจปล่อยน้ำเสียลงคลอง

เรียน บ.ก.ข่าวสด

สงกรานต์ ปีนี้ ความคึกคักไปอยู่ที่ประเทศลาวและกัมพูชา โดยเฉพาะกัมพูชานั้นคนไทยซึ่งเป็นพวกเสื้อแดง เดินทางไปถึงครึ่งแสน เพื่อรดน้ำดำหัวให้กับอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เป็นเรื่องน่าแปลกประหลาดไม่น้อย และคงทิ่มแทงใจผู้นำการเมืองไทยอีกฟากฝ่ายอย่างมาก แต่ผมก็ไม่ค่อยชอบที่อดีตนายกฯ ทักษิณ พูดเหลือเกินเรื่องจะกลับประเทศไทย เพราะส่งผลกระทบต่อรัฐบาลของน้องสาวทักษิณ ซึ่งความจริงคนไทยปัจจุบันนี้ชมชอบนายกฯ ปูกันมาก ปรารถนาจะให้อยู่ครบวาระ แล้วถ้าทำงานได้ดีจริงการเลือกตั้งคราวหน้าก็มีโอกาสกลับมาเป็นนายกฯ ได้อีก เลยอยากให้ทักษิณช่วยหยุดพูด หยุดเคลื่อนไหว เพื่อช่วยเหลือน้องสาวของท่านหน่อยเถิด ที่ผมสงสัยมาก เห็นจะเป็นข่าวการลอบสังหารทักษิณ เพราะที่กัมพูชามีการวางกำลังอารักขามากเหลือเกิน เลยทำให้นึกถึงเรื่องเก่าๆ ในอดีต ซึ่งยืนยันได้ว่ามีผู้ปองร้ายอดีตนายกฯ คนนี้จริง ทำให้อยากถามท่านว่า 1.คดีลอบวางระเบิดการบินไทย ใช่การสังหารอดีตนายกฯ ทักษิณใช่หรือไม่ ตอนนั้นเพิ่งชนะเลือกตั้งครั้งแรกด้วย 2.คดีคาร์บอมบ์ใกล้บ้านอดีตนายกฯ ก่อนจะมีการปฏิวัติวันที่ 19 กันยายน 2549 ไม่นาน ใช่การสังหารหรือไม่ และคดีไปถึงไหนแล้ว ดู อย่างนี้ก็น่าเห็นใจ และไม่ควรเลย ทำไมเราไม่ต่อสู้กันทางการเมือง เดิมพันกันด้วยความนิยมของประชาชน แต่ทางที่ดีท่านทักษิณควรจะหยุดเป็นข่าวสักปีสองปี ศัตรูจะได้เลิกปองร้าย และช่วยรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ได้อีกด้วย ขอขอบคุณ รักปูต้องรูดซิปแม้ว ตอบ คุณรักปูต้องรูดซิปแม้ว ตั้ง ชื่อมาได้เท่มาก ตรงกับความเห็นของหลายๆ ฝ่าย ว่าถ้าอยากช่วยยิ่งลักษณ์ให้อยู่นานๆ อดีตนายกฯ ทักษิณต้องหยุดพูด หยุดเคลื่อนไหว ส่วนคดีลอบสังหารทักษิณที่คุณถามมานั้น คดีแรกคือระเบิดเครื่องโบอิ้งการบินไทย ดูเหมือนจะสรุปไปแล้วว่า เป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากเครื่องยนต์ ไม่น่าจะเป็นแผนปองร้ายทักษิณ แต่สำหรับคดีคาร์บอมบ์นั้น เป็นแผนสังหารทักษิณแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ คดีนี้มีการจับกุมตัวบุคคลและของกลางคือรถที่ประกอบระเบิดพร้อมแล้ว คดีแน่นหนา ผู้ต้องหาเกือบทั้งหมดถูกส่งฟ้อง ศาลทหารได้พิจารณาคดีไปแล้ว ตัดสินลงโทษจำคุกไปคนละปีสองปี โดยเอาผิดในเรื่องการครอบครองระเบิดร้ายแรง และนำเข้ามาในเมือง แต่กรณีเตรียมปองร้ายใครนั้น ศาลบอกว่าไม่มีพยานหลักฐานชี้ชัด ผลตรวจปล่อยน้ำเสียลงคลอง ที่ สป. 0028(3)/1095 สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรปราการ 414 หมู่ 4 ถนนสุขุมวิท ก.ม.52 ตำบลบางปู อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ เรื่อง ร้องเรียนโรงงานก่อความเดือดร้อนรำคาญ เรียน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ข่าวสด อ้างถึง หนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับที่ 7813 ประจำวันที่ 20 เมษายน 2555 หน้า 29 ตาม ที่หนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับที่ 7813 ประจำวันที่ 20 เมษายน 2555 หน้า 29 เสนอข่าวว่ามีชุมชนบ้านคลองมอญและชาวบ้านที่อาศัยในหมู่ที่ 2 ตำบลในคลองบางปลากด อำเภอพระสมุทรเจดีย์ ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เนื่องจากโรงงานปล่อยน้ำเสียหลากสีลงในลำคลองมอญ สภาพของน้ำเน่าเสียและมีกลิ่นเหม็น ซึ่งเป็นโรงงานฟอกย้อม ตั้งอยู่หมู่ที่ 13 ตำบลในคลองบางปลากด ความละเอียดแจ้งแล้วนั้น สำนักงานอุตสาหกรรม จังหวัดสมุทรปราการ ได้ส่งพนักงานเจ้าหน้าที่ ร่วมตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบลในคลองบางปลากด ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 และสื่อมวลชน ตรวจสอบโรงงานที่ตั้งอยู่ในสถานที่ดังกล่าว เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2555 พบว่ามีโรงงานจำนวน 3 โรงงาน มีการระบายน้ำทิ้งจากระบบบำบัดระบายออกนอกบริเวณโรงงานลงคลองมอญ ซึ่งเป็นคลองย่อยเชื่อมต่อในคลองบางปลากด แล้วระบายลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ดังนี้ 1.บริษัท ฟิวเจอร์เท็กซ์ จำกัด ประกอบกิจการย้อมผ้า ย้อมด้าย ตั้งอยู่ ณ เลขที่ 309 ถนนสุขสวัสดิ์ หมู่ที่ 2 ตำบลในคลองบางปลากด อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ มีน้ำทิ้งออกจากระบบระบายออกนอกโรงงาน ซึ่งลักษณะเป็นสีดำและน่าพึงรังเกียจ 2.บริษัท เจริญกิจอุดมทรัพย์ จำกัด ประกอบกิจการย้อมและรีดผ้า ตั้งอยู่ ณ เลขที่ 73-73/1 ถนนสุขสวัสดิ์ หมู่ที่ 13 ตำบลในคลองบางปลากด อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ ทะเบียนโรงงาน เลขที่ 3-22 (3)3/15 สป มีน้ำเสียจากการผลิตประมาณ 300 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ใช้ระบบบำบัดน้ำเสียแบบตะกอนเร่ง (Activated Sludge) 3.นายยงกิจ รัตนกิจสกุลเอก ประกอบกิจการพิมพ์ผ้าและย้อมผ้า ตั้งอยู่ ณ เลขที่ 91 ถนนสุขสวัสดิ์ หมู่ที่ 13 ตำบลในคลองบางปลากด อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ ทะเบียนโรงงาน เลขที่ 3-22(3) - 5 /15 สป. มีน้ำเสียจากการผลิตประมาณ 50 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ใช้ระบบบำบัดน้ำเสียแบบเคมีและเติมอากาศ (Chemical Treatment-Aeration Tank) การดำเนินการโรงงานรายที่ 1 น้ำทิ้งที่ระบายออกนอกโรงงานเป็นที่น่าพึงรังเกียจ จึงได้มีคำสั่งให้โรงงานปรับปรุงแก้ไขตามมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2535 แล้ว สำหรับโรงงานลำดับที่ 2 และ 3 ได้เก็บตัวอย่างน้ำทิ้งส่งให้ศูนย์วิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมโรงงานส่วนกลาง กรมโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อวิเคราะห์คุณภาพน้ำแล้ว ผลเป็นประการใดจะแจ้งให้ทราบต่อไป จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ ขอแสดงความนับถือ นายประทวน สุทธิอำนวยเดช อุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรปราการ

อ่านต่อ...

คนร้ายวางบึ้ม! อส.ขณะเดินทางไป รปภ.กีฬาหมู่บ้านเจ็บ 2 นายที่ระแงะ

นราธิวาส - เกิดเหตุคนร้ายดักซุ่มกดชนวนระเบิดหวังสังหาร อส.ขณะเดินทางไป รปภ.การแข่งขันกีฬาหมู่บ้าน ก่อนที่คนร้ายใช้ปืน เอ็ม 16 ยิงซ้ำจนเกิดการปะทะกันประมาณ 5 นาที จนคนร้ายล่าถอยไป ส่วน อส.ทั้ง 2 นาย ได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อเวลา 15.10 น.วันนี้ (30 เม.ย.) ร.ต.อ.นเรศ พุ่มแก้ว ร้อยเวร สภ.ระแงะ จ.นราธิวาส รับแจ้งมีเหตุคนร้ายจุดชนวนระเบิดดักสังหาร อส.อ.ระแงะ ได้รับบาดเจ็บ 2 นาย บนถนนสายมะนังกือเปาะ-ตันหยงมัส เหตุเกิดบ้านโต๊ะเปาะฆะ หมู่ 10 ต.ตันหยงมัส อ.ระแงะ จึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.สะท้านฟ้า วามะสิงห์ ผกก.สส.ภ.จ.นราธิวาส พ.อ.เฉลิมชัย สุทธินวล ผบ.กรมทหารพรานที่ 45 ร.ต.ท.นัฐวิทย์ บำเพ็ญศรี รอง หน.กองพิสูจน์หลักฐาน ภ.จ.นราธิวาส ร.ต.ต.แชน วรงคไพสิษ หน.ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด นปพ.ภ.จ.นราธิวาส และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารจำนวนหนึ่ง รุดเดินทางเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ
พบหลุมระเบิดริมถนนลึก 1 เมตร กว้าง 1.5 เมตร มีเศษซากชิ้นส่วนระเบิดแสวงเครื่องที่คนร้ายประกอบใส่ถังดับเพลิงหนัก 20 กก.จุดชนวนด้วยแบตเตอรี่ ตกกระจายเกลื่อน และห่างจากหลุมระเบิดประมาณ 10 เมตร พบรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่นเวฟ สีดำ หมายเลขทะเบียน กวว 473 นราธิวาส และ รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ สีเขียว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ล้มตะแคงอยู่ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังพบปลอกกระสุนปืนสงครามเอ็ม 16 ตกอยู่บนถนนจำนวนหนึ่ง จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลระแงะ ไปก่อนหน้านี้แล้ว ทราบชื่อคือ 1.อส.มาหามะเภายี เจ๊ะโซ๊ะ อายุ 46 ปี และ 2.อส.ลี ดอนา อายุ 29 ปี ซึ่งถูกสะเก็ดระเบิดที่หน้าอกและใบหน้า อาการสาหัส แพทย์ได้นำตัวส่งรักษาต่อยังโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ อส.มาหาะมะเภายี หน.ชุด พร้อมลูกน้องรวม 4 นาย ขี่รถจักรยานยนต์ จำนวน 2 คัน เพื่อเดินทางไป รปภ.การแข่งขันกีฬาภายในหมู่บ้านโต๊ะเปาะฆะ ถึงที่เกิดเหตุคนร้ายแฝงตัวอยู่ภายในสวนยางรกทึบ ริมทาง ใช้แบตเตอรี่จุดชนวนระเบิดที่นำไปฝังเอาไว้ริมถนน จนเกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ในขณะที่ อส.มาหามะเภายี และ อส.ลี ขี่ รถจักรยานยนต์ ผ่านทำให้ได้รับบาดเจ็บ หลังจากนั้น คนร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ได้ใช้อาวุธปืนสงครามเอ็ม 16 ยิงถล่มใส่จนเกิดการปะทะขึ้นนานกว่า 5 นาที ก่อนจะอาศัยความชำนาญพื้นที่หลบหนีไป

อ่านต่อ...

วันพุธ, เมษายน 25, 2555

ผวาโจรใต้ป่วน! ช่วง‘OIC’มาไทย สั่งเข้มหน่วยข่าว

“ยุทธศักดิ์” หวั่นช่วงโอไอซีมาไทยโจรใต้สร้างสถานการณ์รุนแรง ย้ำ จนท.อย่าประมาท เตือนคนของเราระวังการให้ข้อมูล ดักคอคนนอกอย่าจุ้น พบคาร์บอมบ์ 5 คันแต่ไม่รู้ที่ซ่อน สั่ง ศอ.บต.บี้แก๊งหักหัวคิวเงินเยียวยา 20% เมื่อวันพุธ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง กล่าวถึงกรณีคณะที่ปรึกษาเลขาธิการองค์การที่ประชุมมุสลิมโลก หรือโอไอซี จะเดินทางมาประเทศไทยในวันที่ 8-11 พ.ค.นี้ว่า จะมาพบบุคคลเพื่อรับทราบข้อมูลก่อนที่จะมีการประชุม และจะมีคณะกรรมการที่พิจารณาอีกคณะหนึ่งที่ทำงานในการแก้ปัญหาความแตกแยกในประเทศฟิลิปปินส์ก็จะเข้ามาที่ไทย "ถ้าคณะกรรมการชุดนี้ไปพบใคร ก็ต้องระวังเรื่องการข่าว ไม่ใช่หนีการให้ข่าว แต่ไม่ทราบว่าจะมาพบใคร ต้องรอให้เจ้าหน้าที่ชี้แจงให้ทราบก่อน ทั้งนี้ไม่ได้ห่วงว่าจะเข้าแทรกแซงปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ สิ่งที่ห่วงคือการสร้างสถานการณ์ให้มีความหมายในระหว่างที่โอไอซีอยู่ในไทย ซึ่งได้มีการเตือนเจ้าหน้าที่ไปแล้ว ซึ่งในช่วงต้นเดือน พ.ค.นี้จะลงพื้นที่ไปพูดคุยอีกครั้งว่าอย่าประมาท" พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าว ส่วนกรณีที่มีข่าวพบว่ารถคาร์บอมบ์กว่า 10 คัน และอยู่ในช่วงจะครบรอบเหตุการณ์กรือเซะในวันที่ 28 เม.ย.นั้น รองนายกฯ กล่าวว่า เท่าที่ดูรายงานครั้งแรก มีการรายงานว่าพบรถคาร์บอมบ์ 5 คันเท่านั้น แต่จนเดี๋ยวนี้ยังไม่เจอรถที่ว่า ไม่รู้มันซ่อนยังไง หากมีการระมัดระวังเป็นอย่างดีก็จะไม่เกิดอะไรขึ้น "อาจจะมีการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงอย่างที่เราเห็น แต่ถ้าทำไม่ได้ก็จะเกิดเหตุสถานการณ์รายวัน ซึ่งขณะนี้เขาก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรในการยิงประชาชนที่ไม่รู้เรื่อง แต่ผลที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ทำให้ประชาชนตื่นกลัวในการที่เขาสามารถข่มขู่ประชาชนได้ แต่ประชาชนก็ไม่ได้เป็นฝ่ายเขา" รองนายกฯ กล่าวถึงสถานการณ์ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่โอไอซีมาไทย เมื่อถามว่า เป็นห่วงหรือไม่ที่โอไอซีอาจจะไปพบเพื่อขอข้อมูลฝ่ายตรงข้าม พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าวว่า ถ้าเขามาแล้วไปขอข้อมูลฝ่ายตรงข้ามเราก็รู้ ของเราถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศเราเอง ต้องการแก้ปัญหาด้วยคนของเราเอง จะไม่มีคณะกรรมการกลางเข้ามาแก้ปัญหา ซึ่งเมื่อเกิดเหตุเขาก็จ้องที่จะเข้ามา แต่เราก็ไม่ให้เขาเข้ามาในพื้นที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าวถึงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์มติคณะรัฐมนตรีในการพิจารณาจ่ายเงินเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ไม่มีกรอบชัดเจนในการเยียวยาบุคคลแต่ละประเภทว่านายกรัฐมนตรีสั่ง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ไปแล้วว่า ต้องมีความชัดเจน และมีคณะอนุกรรมการพิจารณาในการแบ่งให้ถูกต้องตามระเบียบและความเป็นจริงในแต่ละราย อย่าให้เกิดปัญหาภายหลัง การดำเนินการก็ต้องมีการตรวจสอบ โดยพื้นที่ภาคใต้จะให้เลขาฯ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เข้ามาร่วมทำงานครั้งนี้ด้วย ส่วนกรณีที่มีข่าวว่ามีกลุ่มผู้มีอิทธิพลไปเรียกหักค่าหัวคิว 20 เปอร์เซ็นต์จากเงินเยียวยานั้น พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าวว่า จากการลงพื้นที่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสพูดคุยกับประชาชน ได้มาเล่าให้ฟังว่าบางคนที่เสียชีวิตมีภรรยาและลูกหลายคน แถมภรรยาไปมีแฟนใหม่แล้ว ตรงนี้ทำให้เป็นปัญหาว่าใครควรเป็นผู้รับเงินเยียวยา รวมถึงปัญหาที่มีกลุ่มบุคคลที่มาเคาะบ้านแล้วบอกกับชาวบ้านว่าการที่รัฐบาลเยียวยาให้กับประชาชนนั้น เนื่องจากกลุ่มคนเหล่านี้ไปกดดันรัฐบาลให้จ่ายเงินเยียวยา โดยพบว่าเป็นชาวบ้านธรรมดา ส่วนการป้องกัน นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรียุติธรรม สั่งให้ ศอ.บต.ไปดูแล และขออย่าให้บุคคลเหล่านี้อย่ามาทำกับประชาชน และเชื่อว่าหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเยียวยาประชาชนพอใจ บ่ายวันเดียวกัน เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบกลุ่มและจำนวนขับรถยนต์ไม่ทราบยี่ห้อและป้ายทะเบียน ใช้อาวุธสงครามตามประกบยิงรถยนต์ของนายประไพ คงทอง อายุ 57 ปี อยู่บ้านเลขที่ 134 หมู่ 1 ต.ทรายทอง อ.ไม้แก่น จ.ปัตตานี และนายสุข แดงขวัญ อายุ 63 ปี อยู่บ้านเลขที่ 13/2 หมู่ 2 ต.ทรายทอง อ.ไม้แก่น จ.ปัตตานี เสียชีวิตอยู่ประตูข้างรถยนต์กระบะอีซูซุ สีเทา หมายเลขทะเบียน บจ 367 ปัตตานี โดยผู้ตายทั้ง 2 คนพยายามที่จะเปิดประตูเพื่อวิ่งหนี แต่คนร้ายได้ลงจากรถวิ่งกรูเข้ามายิงซ้ำจนเสียชีวิตอย่างโหดเหี้ยม เหตุเกิดที่ริมถนนบ้านบือแนปีแย หมู่ 1 ต.ปะลุกาสาเมาะ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ซึ่งอยู่ห่างจาก อ.ไม้แก่น ประมาณ 1 กิโลเมตร ขณะที่นางสมมาตร คงทอง อายุ 51 ปี ภรรยาของนาย ประไพ คงทอง เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายทั้ง 2 คนได้ขับรถยนต์ โดยมีนายประไพ สามี เป็นคนขับ ออกมาซื้อของที่ตลาด อ.สายบุรีเป็นประจำ เพื่อนำของไปขายที่หน้าโรงพยาบาลไม้แก่น โดยมีการสับเปลี่ยนเส้นทาง จะไม่ใช้เส้นทางเดียวเพื่อความปลอดภัย แต่กลับถูกคนร้ายตามฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ส่วนสาเหตุเป็นการณ์สร้างสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้.

อ่านต่อ...

บุกบ้านทลายที่ซุกตัวโจรใต้โยงขบวนการ 3 จชต.

ปัตตานี - ตำรวจสายบุรีปิดล้อมบ้านกลางสวนยางซึ่งเป็นที่ซ่อนตัวของกลุ่มแนวร่วม โดยตรวจยึดของกลางโยงใยกับขบวนการค้ายาเสพติดก่อนนำไปตรวจสอบ โดยมีผู้ต้องสงสัยที่อยู่ในบ้าน 6 คน วันนี้ (25 เม.ย.) พ.ต.อ.อาซิส อุมายี ผกก.สภ.สายบุรี นำกำลังเจ้าหน้าที่และชุดสืบสวนเข้าทำการปิดล้อมตรวจค้นบ้านไม่มีเลขที่ ตั้งอยู่ภายในสวนยางพารา ม.6 ต.ปะแสยาวอ หลังได้รับรายงานว่า เป็นที่ซ่อนตัวของกลุ่มแนวร่วมก่อความไม่สงบที่ก่อเหตุยิงรถบัสประจำทางเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 8 ราย เหตุเกิดพื้นที่ อ.สายบุรี เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา และเมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึง ได้แสดงตัวเพื่อขอตรวจค้น และเรียกคนที่อยู่ภายในบ้านออกมาแสดงตัว แต่ไม่มีเสียงตอบรับ จากนั้น จึงได้บุกเข้าตรวจค้นทันทีพบผู้ต้องสงสัย จำนวน 6 คนหลบซ่อนอยู่ภายในบ้าน จึงควบคุมตัวสอบสวน ทราบชื่อ นายอัมจัด เซะบากอ อายุ 25 ปี, นายมะยากี ดอเล๊าะ อายุ 28 ปี, นายอมร ฮารน อายุ 34 ปี, นายอาฮาซัน โต๊ะกาพอ อายุ 34 ปี, นายมะสุกรี มาหามะ อายุ 36 ปี และนายมะนาแส สาและ อายุ 33 ปี จากการตรวจค้น พบอาวุธปืนพกสั้นขนาด .38 จำนวน 3 กระบอกพร้อมกระสุน กัญชาอัดแท่ง ๆ ละ 1 กิโลกรัม จำนวน 37 แท่ง ยาบ้า จำนวน 200 เม็ด ใบกระท่อม เงินสดเกือบแสนบาท โทรศัพท์มือถือ 5 เครื่อง และอุปกรณ์เสพยาเสพติด นอกจากนี้ ได้ยึดรถยนต์กระบะยี่ห้อนิสสัน นาวาร่า ทะเบียน บน 2654 และรถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีออส ทะเบียน กร 6607 สงขลา รวม 2 คัน เพื่อตรวจสอบว่าเป็นรถที่ถูกขโมยมาหรือไม่ และเกี่ยวข้องกับคดีใดบ้าง เช่นเดียวกับอาวุธปืนทั้ง 3 กระบอกได้ส่งตรวจหาหลักฐานว่าเคยก่อคดีใดบ้าง ด้าน พ.ต.อ.อาซิส อุมายี ผกก.สภ.สายบุรี จ.ปัตตานี กล่าวว่า การตรวจค้นครั้งนี้สืบเนื่องจากการสืบสวนสอบสวนว่ามีกลุ่มแนวร่วมเข้ามาหลบซ่อนตัวกับเครือข่ายยาเสพติด สำหรับผู้ต้องหากลุ่มนี้เป็นเครือข่ายนักค้ายา จ.ยะลา และมีการกระจายยาเสพติดในพื้นที่ อ.สายบุรี และอำเภอใกล้เคียง ชุดสืบสวนแกะรอยมาตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน จนสามารถรู้แหล่งกบดานจึงได้วางกำลังเข้าปิดล้อมตรวจค้นทันที และเชื่อว่า น่าจะมีอีกหลายคนที่สามารถหลบหนีไปได้ โดยเฉพาะผู้ต้องหารายสำคัญแต่รู้ตัวแล้วอยู่ระหว่างติดตามจับกุม

อ่านต่อ...

“เยียวยาไฟใต้” ก็แค่เจียด “น้ำใต้ศอกแดง” มาให้ ?!/ปิยะโชติ อินทรนิวาส

เป็นไปตามคาด “รัฐบาลปูแดงนิ่ม” ไฟเขียวให้ “ใช้เงินหลวง” ซื้อใจเหยื่อไฟใต้ได้แล้ว ตามแผน “เยียวยาประชานิยม” ที่จำใจต้องพวงเหตุการณ์ความไม่สงบบนแผ่นดินด้ามขวานเข้าไปหลังถูกวิพากษ์วิจารณ์หนัก จากเดิมตั้งใจหว่านโปรยให้แก่คนเสื้อแดงที่ยอมเอาชีวิตและเลือดเนื้อบัดพลีให้แก่นักโทษหนีคุกทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น อังคารที่ 24 เมษายน 2555 ที่ประชุม ครม.อนุมัติในหลักการให้ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 (งบกลาง) รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับความเสียหาย และผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ วงเงิน 2,080 ล้านบาท โดยให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงิน สำหรับ ศอ.บต.คือต้นเรื่องที่เสนอการเยียวยาไฟใต้ผ่านคณะกรรมการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ก่อนที่จะชงเข้า ครม.จนมีมติอนุมัติดังกล่าว มีข้อมูลจากภาครัฐที่น่าสนใจเกี่ยวกับเงินเยียวยาไฟใต้ 2,080 ล้านบาทคือ ให้มีผลตั้งแต่ 1 มกราคม 2547 ถึงปัจจุบัน โดยแบ่งผู้ที่จะได้รับเยียวยาเป็น 4 กลุ่ม (ข้อมูลถึง 7 เมษายน 2555) ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ประชาชนทั่วไป เสียชีวิต 4,276 ราย บาดเจ็บ 6,058 ราย รวม 10,334 ราย ได้รับการช่วยเหลือแล้วรวม 6,506 ราย ยังไม่ทราบสาเหตุที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยา กรณีเสียชีวิต 2,208 ราย และบาดเจ็บ 1,566 ราย รวม 3,774 รายต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือ ประมาณการต้องใช้งบ 500 ล้านบาท กลุ่มที่ 2 เจ้าหน้าที่ของรัฐ เสียชีวิต 1,056 ราย บาดเจ็บ 3,392 ราย รวม 4,448 ราย ได้รับการช่วยเหลือแล้วรวม 4,072 ราย ยังไม่ทราบสาเหตุที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือเป็นกรณีเสียชีวิต 208 ราย บาดเจ็บ 168 ราย รวม 376 ราย ประมาณการต้องใช้งบ 200 ล้านบาท กลุ่มที่ 3 ผู้ที่ถูกกระทำโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือผู้ก่อเหตุรุนแรงที่เป็นเหตุการณ์เฉพาะกรณี จนถึงแก่ความตาย ทุพพลภาพ หรือกรณีการบังคับบุคคลให้สูญหาย เบื้องต้นให้ช่วยเหลือเป็นเงิน 5 แสนบาท และหากคณะกรรมการเยียวยาฯ เห็นสมควรว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนจะให้ช่วยเหลือเพิ่มเติมได้อีก แต่ไม่เกิน 7 ล้านบาท ได้แก่ กรณีเหตุการณ์เมื่อ 28 เมษายน 2547 ที่เกิดขึ้นที่มัสยิดกรือเซะ อ.เมือง อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา และ อ.กรงปินัง จ.ยะลา ผู้เสียชีวิตรวม 111 ราย บาดเจ็บ 28 ราย กรณีเหตุการณ์ตากใบเมื่อ 25 ตุลาคม 2547 ผู้เสียชีวิต 85 ราย บาดเจ็บ 46 ราย ถูกดำเนินคดีและถอนฟ้องแล้ว 58 ราย ถูกควบคุมตัวโดยไม่ถูกดำเนินคดี 1,176 ราย รวมทั้งกรณีการบังคับให้สูญหายประมาณ 30 ราย ประมาณการต้องใช้งบ 1,000 ล้านบาท กลุ่มที่ 4 กรณีถูกควบคุมตัว หรือถูกคุมขัง หรือถูกดำเนินคดีเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลย แต่ต่อมาปรากฏหลักฐานว่ ามิได้เป็นผู้กระทำผิด ประมาณการต้องใช้งบ 300 ล้านบาท ส่วนวงเงินที่อีก 80 ล้านบาท ใช้เป็นงบประมาณดำเนินการของคณะกรรมการเยียวยาฯ ความจริงไม่น่าแปลกใจอะไรที่ ศอ.บต.ขับเคลื่อนเรื่องนี้จนเป็นผล เพราะในเวลานี้ก็อยู่ภายใต้ปีกโอบของระบอบทักษิณ ต้องการสร้างความพึงพอให้คนใต้สลัดพรรคประชาธิปัตย์หันไปเทใจให้แก่พรรคเพื่อไทยบ้าง หรืออย่างน้อยก็ทำให้แผนใช้เงินหลวงฟาดหัวเสื้อแดงให้จงรักภักดีต่อไปเรื่อยๆ ดูดีขึ้น อีกทั้งเป็นที่น่าสังเกตว่า ครม.ไฟเขียวให้เยียวยาไฟใต้ได้ครั้งนี้ ใช่ว่าจะมีการต่อท่อให้เม็ดเงินไหลได้ทันที เป็นเพียงอนุมัติในกรอบใหญ่ ส่วนในรายละเอียด ศอ.บต. จังหวัด รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องไปลงลึกกันอีกที เวลานี้ก็มีการเตรียมเรื่องชงเข้า ครม.ให้เยียวยาไฟใต้ใน 2 เหตุการณ์เพื่อซื้อใจเป็นกรณีเร่งด่วนคือ เหตุการณ์เมื่อ 31 มีนาคม 2555 คาร์บอมบ์ที่ศูนย์การค้าและโรงแรมลี การ์เดนส์ พลาซ่า กลางเมืองหาดใหญ่ 1 จุด คาร์บอมบ์บนถนนรวมมิตรกลางเมืองยะลา 2 จุด และจักรบานยนต์บอมบ์หน้า สภ.แม่ลาน จ.ปัตตานี 1 จุด กับเหตุการณ์เมื่อ 29 มกราคม 2555 ทหารพรานยิงชาวบ้านเสียชีวิต 4 ศพและบาดเจ็บ 5 รายที่ ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ว่ากันว่าที่ต้องการเยียวยา 2 เหตุการณ์นี้เป็นกรณีพิเศษ เพราะเป็นเหตุสะเทือนขวัญและเป็นข่าวครึกโครมที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน จึงยังอยู่ในความทรงจำของผู้คน จึงเป็นช่องทางที่จะเรียกคะแนนนิยมได้อักโข และใช้อ้างเป็นผลงานชิ้นโบแดงได้อีกยาว ถึงตรงนี้ อยากจะเรียนญาติพี่น้องเหยื่อไฟใต้ระลอกใหม่ที่ไม้ขีดก้านแรกถูกจุดขึ้นจากน้ำมือของ นช.ทักษิณ ชินวัตร อันมีจุดเริ่มที่เหตุการณ์ปล้นปืนค่ายทหารที่นราธิวาสเมื่อ 4 มกราคม 2547 ผมไม่อยากให้วาดหวังมากนักกับการจะได้รับเงินเยียวยาจำนวนมาก หรือมียอดสูงสุดถึง 7.75 ล้านบาทแบบที่คนเสื้อแดงได้รับ เพราะหากไม่เป็นไปตามที่หวังไว้ ความเสียใจ หรือความรู้สึกถูกกดทับจะหวนกลับมาทำร้ายเรารุนแรงเอาได้ เนื่องจากมีข้อมูลยืนยันว่า เงินที่เหยื่อไฟใต้อาจได้รับการเจียดมาให้ คือก้อนเดียวกับเงินหลวงที่จะใช้เยียวยาพวกเสื้อแดง ขณะที่หลักเกณฑ์การจ่ายให้คนเสื้อแดงแม้ดูเหมือนถูกกำหนดไว้ละเอียดแล้ว แต่ในความเป็นจริงยังเป็นอะไรที่มั่วซั่วอยู่ไม่น้อย แถมมีคนจองกฐินฟ้องรัฐบาลไว้แล้วหากมีการจ่ายจริง ในส่วนการเยียวยาไฟใต้ หลักเกณฑ์การจ่ายก็ยังมากมายไปด้วยความสับสนเช่นกัน หากพิจารณาให้ดีจะพบว่า ยังไม่มีข้อสรุปอย่างโปร่งใส และเป็นธรรมพอที่จะชี้ว่า เหตุการณ์ไหนบ้างที่ควรจะได้รับการเยียวยา ด้วยเหตุผลอะไร ทำไม อย่างไร มิพักต้องพูดถึงการแบ่งปันระหว่างญาติของเหยื่อ เช่น หากสามีเสียชีวิตก็มีฝ่ายพ่อแม่สามี กับฝ่ายภรรยา รวมถึงบุตรด้วย หรือกรณีมีภรรยาหลายคนจะกระจายผลประโยชน์กันกันอย่างไร จนวิตกกันว่าจะนำไปสู่การทำให้สังคมแตกแยกอีกระลอกครั้งใหญ่ เอาแค่เหตุการณ์กรือแซะก็น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดี เพราะมีองค์ประกอบมากมายจนยากที่จะตัดสินใจอะไรได้ง่ายๆ เกิดจากแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดนหลายร้อยคนบุกเข้าโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐตามป้อม หรือจุดตรวจกระจายไปทั้ง 3 จังหวัด เริ่มตั้งแต่ก่อนตะวันขึ้น แล้วไปจบลงที่มัสยิดกรือแซะช่วงค่ำ แน่นอนคนทั่วไปอาจยังติดตาภาพฉากสุดท้ายที่เจ้าหน้าที่รัฐโจมตีเข้าไปในมัสยิดกรือแซะ ทั้งที่ได้ปิดล้อมแบบทอดเวลายาวนาน จนเชื่อกันว่าน่าจะกดดันให้แนวร่วมผู้ก่อการมอบตัวได้ หรือภาพที่เล่าขานถึงการตายของนักฟุตบอลทั้งทีมที่ อ.สะบ้าย้อย แต่แท้จริงผู้เสียชีวิตล้วนกระทำต่อเจ้าหน้าที่รัฐมาก่อน และศพจำนวนมากของวันนั้นก็ชัดเจนว่าเสียชีวิตระหว่างการใช้อาวุธบุกเข้าโจมตีเจ้าหน้าที่ในช่วงเช้า แล้วอย่างนี้จะว่าเจ้าหน้าที่รัฐกระทำเกินกว่าเหตุได้เต็มปากเต็มคำละหรือ หากจะต้องจ่ายให้ผู้สูญเสียในเหตุการณ์มัสยิดกรืแซะแล้ว 111 ศพจะจ่ายให้เท่ากันหรือไม่ หรือจะเอาอะไรเป็นมาตรวัดว่าญาติแต่ละศพควรจะได้รับไม่เท่ากันเพราะเหตุใด นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์อื่นๆ ที่น่าจะต้องขบคิดกันอีกมาก อย่างอดีตทหารพรานกราดยิงเข้าไปในมัสยิดไอร์ปาแย อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส จนมีคนตาย 10 ศพ ซึ่งถือเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้ และก็ไม่ใช่ฝีมือของขบวนการด้วย อย่างนี้จะเยียวยากันหรือไม่ อย่างไร หรือเจ้าหน้าที่รัฐที่เสียชีวิตจากฝีมือฝ่ายตรงข้ามหลายพันศพ ชีวิตเหล่านั้นไม่สมควรจะเยียวยาเท่าเทียมกับประชาชนที่ถูกเจ้าหน้าที่รับกระทำกระนั้นหรือ อีกทั้งมีเหตุการณ์จำนวนมากที่ยังไม่ยืนยันว่าเป็นผลพวงจากเหตุไฟใต้หรือไม่ หรือว่าเป็นเรื่องของความขัดแย้งส่วนตัว คดีความในลักษณะนี้เราแทบไม่เห็นความพยายามของผู้เกี่ยวข้องจะตื่นตัวช่วยเหลือคลี่คลาย เช่นนี้แล้วการจ่ายเงินเยียวยาจะต้องรอกันไปอีกนานเท่าไหร่ ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมต้องขอบอกกล่าวไว้ด้วยว่า ไม่ใช่ผมไม่เห็นด้วยกับการให้จ่ายเงินเยียวยาไฟใต้ ผมเห็นด้วยแน่นอน และหากจะมีการได้รับสูงถึง 7.75 ล้านบาทก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะที่ผ่านๆ มา การเยียวยายังถือว่ามีปริมาณที่น้อยมากเมื่อเทียบกับการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก หรือทรัพย์สินที่เสียหาย เพียงแต่ทุกเหตุการณ์ที่เยียวยาต้องเป็นไปอย่างยุติธรรมและโปร่งใส แต่ที่ผมเห็นว่าน่าจะเป็นไปตามที่มีคนกล่าวขานกันจริงๆ ก็คือ การเร่งเยียวยาไฟใต้ครั้งนี้เพียงต้องการใช้เป็นเครื่องการันตีการจ่ายเงินหลวงให้แก่คนเสื้อแดงดูดีขึ้น อีกทั้งเป็นประชานิยมเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของ นช.ทักษิณ ชินวัตร และพลพรรคเท่านั้น

อ่านต่อ...

วันอังคาร, เมษายน 24, 2555

ร้อนจัด ไฟระอุใต้ดิน กินพื้นที่กว่า100ตร.ว.

เกิดปรากฏการณ์ไฟระอุใต้พื้นดินที่อ.นครไทย จ.พิษณุโลก ล่าสุดกินพื้นที่แล้วกว่า 100 ตารางวา เจ้าหน้าที่สั่งห้ามเข้าพร้อมกั้นเป็นพื้นที่อันตราย เจ้าหน้าที่ป้องกันและป้องกันสาธารณภัยจังหวัดพิษณุโลก และเจ้าหน้าที่สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 3 เข้าตรวจสอบบริเวณหมู่ 9 บ้านเนินตาโนน ต.หนองกะท้าว อ.นครไทย จ.พิษณุโลก จุดที่เกิดไฟระอุอยู่ใต้พื้นดินกินบริเวณกว้าง 100 ตารางวา ริมถนนสายนครไทย-ด่านซ้าย พบซากสุนัขถูกไฟคลอกจนไหม้เกรียม และพบรอยแยกของพื้นดินความลึก 50 เซนติเมตร ถึง 1 เมตร เมื่อนำเศษไม้และกระดาษโยนลงไปเกิดไฟลุกไหม้ทันที นอกจากนี้ ยังมีชาวบ้าน 3 คน ได้รับบาดเจ็บเนื่องจากถูกไฟลวกที่ฝ่าเท้า วัวตาย 1 ตัว รวมทั้งสุนัขและแมว เบื้องต้นทราบข้อมูลว่า พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นโรงเลื่อย คาดว่าขี้เลื่อยที่ทับถมกันมานาน ประกอบกับอุณหภูมิโลกสูงขึ้น อาจทำให้เกิดการปฏิกิริยาสันดาปจากคลื่นความร้อนกระทบกับขี้เลื่อย จนเกิดประกายไฟ ล่าสุด เจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบลหนองกะท้าวได้นำเชือกมาล้อมกันพื้นที่ พร้อมเขียนป้ายห้ามเข้าเขตอันตราย และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาพิสูจน์ถึงสาเหตุของการเกิดไฟระอุใต้พื้นดินครั้งนี้

อ่านต่อ...

เด็ดหัว 5 โจรใต้ยังไม่จบ หวั่นจัดหนักครบรอบกรือเซะ

“สงครามยังไม่สงบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร” ประโยคนี้ยังใช้ได้กับสถานการณ์การก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งในระยะ 8 ปีที่ผ่านมาที่มีการทำ “สงครามประชาชน” ระหว่างแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น โคออดิเนต กับเจ้าหน้าที่รัฐได้เกิดความสูญเสีย บาดเจ็บ ล้มตาย ทั้งพลเรือน เจ้าหน้าที่รัฐ และคนร้ายเป็นจำนวนมาก โดยยอดคนตายอยู่ที่ 5,000 กว่าราย บาดเจ็บ 8,000 กว่าคน และมีผู้ถูกจับกุมอีก 7,000 กว่าคน ซึ่งเป็นความสูญเสียที่ทั้ง 2 ฝ่ายต่างได้รับ
โดยเฉพาะในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา เป็นห้วงที่เจ้าหน้าที่รัฐและพลเรือนได้รับความสูญเสียมากที่สุด เช่น การทำ “คาร์บอมบ์” ที่โรงแรมลี การ์เดนส์ หาดใหญ่ และที่ถนนรวมมิตร เขตเทศบาลนครยะลา จนมีการตั้งข้อสังเกตถึงความพ่ายแพ้ในด้านยุทธการของตำรวจ ทหารที่มีต่อ “แนวร่วม” ในพื้นที่ และมีการเรียกร้องให้ตำรวจทหารเปิดยุทธการเชิงรุกเพื่อกดดัน “แนวร่วม” ให้หยุดการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์จากภาคประชาชน แน่นอนว่า ตำรวจ ทหารในจังหวัดชายแดนภาคใต้เอง ก็ต้องการที่จะทำพื้นที่ซึ่งต้องรับผิดชอบให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย และต้องการชัยชนะเหลือ “แนวร่วม” ที่เคลื่อนไหวในพื้นที่รับผิดชอบ ดังนั้น หลังเกิด “คาร์บอมบ์” ในเขตเทศบาลนครยะลา พล.ต.ต.พีระ บุญเลี้ยง ผบก.ภ.จว.ยะลา จึงได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการของ กก.สส.ภ.จว.ยะลา ติดตามความเคลื่อนไหวของ “แกนนำ” และ “แนวร่วม” ที่เคลื่อนไหวในพื้นที่ จ.ยะลา อย่างต่อเนื่อง จนในที่สุด “สายข่าว” ซึ่งเคยเป็น “มือดี” ที่เคยอยู่กับ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา อดีต ผกก.สภ.บันนังสตา จ.ยะลา ได้ส่งข่าวให้ทราบว่ากลุ่มโจรก่อการร้ายที่นำโดย สะกือรี จะปากียา แกนนำระดับปฏิบัติการ และพวกประมาณ 15 คน เข้ามาซ่องสุมกำลังอยู่ที่บ้านสะโตร์ หมู่ 6 ต.สะเอะ อ.กรงปีนัง เพื่อเตรียมการก่อเหตุร้ายในพื้นที่ หลังจากตรวจสอบข่าวสาร และพิกัดที่แน่ชัด พล.ต.ต.พีระ จึงได้สนธิกำลังจากส่วนของทหารและฝ่ายปกครองนำกำลังเข้าปิดล้อมพื้นที่รอบนอก และส่งชุดปฏิบัติการไล่ล่าเข้าปิดล้อมขนำขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่กลางสวนผลไม้ โดยพบว่า ภายในขนำ และรอบขนำดังกล่าวมีกองกำลังติดอาวุธประมาณ 15 คน จึงได้ประกาศให้มอบตัวแต่ไม่ได้ผล เพราะกองโจรทั้งหมดได้ระดมยิงเข้าใสเจ้าหน้าที่เพื่อเปิดทางหลบหนี จนทำให้ทั้งสองฝ่ายปักหลักยิงปะทะกันนาน 15 นาที ก่อนที่กลุ่มกองโจรส่วนหนึ่งอาศัยความชำนาญพื้นที่แหวกวงล้อมหลบหนีไปได้ หลังการเข้าเคลียร์พื้นที่เจ้าหน้าที่พบว่า มีผู้เสียชีวิตจากการปะทะครั้งนี้จำนวน 5 รายด้วยกัน คือ นายสะกือรี จะปากียา, นายลุกมาน ดือราแม, นายอิสมาแอ แปเปละ, และนายตัสกีรี ยะยอ พร้อมอาวุธปืนอีก 3 กระบอก สำหรับนายสะกือรี ซึ่งเป็นหัวหน้าชุด มีหมายจับ 7 หมายด้วยกัน เป็นผู้ร่วมก่อเหตุยิงรถตู้สายเบตง-หาดใหญ่ ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 8 ราย คดียิงถล่มบ้านนายดอเลาะ เซ็งมะสู ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 9 ต.ปะแต อ.ยะหา คดีวางระเบิดและยิงถล่มรถยนต์ของปลัด และคดีสำคัญคือเป็นผู้ร่วมกันวางระเบิดรถยนต์ของ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตา จ.ยะลา จนเสียชีวิต เมื่อปี 2553 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการสูญเสียนายตำรวจมือดีเจ้าของสมญา “นักรบภูเขาบูโด” ไปอย่างน่าเสียดาย จากการตรวจสอบภูมิประเทศซึ่งเป็นที่ตั้งของขนำกลางสวนผลไม้ของ “แนวร่วม” ที่เป็นกองโจรติดอาวุธชุดนายสะกือรี พบว่าเป็นชัยภูมิที่เหมาะสมในการเคลื่อนไหวเพื่อก่อการร้าย เนื่องจากเป็นพื้นที่กึ่งกลางระหว่าง อ.บันนังสตา กับ อ.กรงปีนัง และ อ.ยะหา ที่กลุ่มกองโจร สามารถเคลื่อนไหวปฏิบัติการในพื้นที่ 3 อำเภอ ของ จ.ยะลา ได้อย่างสะดวก และตัวของนายสะกือรี เป็น “มือขวา” ของนายยูกีมือรี เจะดีแม หรือ “ไอ้หน้าเหลี่ยม” ซึ่งเป็นแกนนำระดับสั่งการที่ควบคุมพื้นที่ของ 3 อำเภอดังกล่าว การปฏิบัติการของ พล.ต.ต.พีระ ครั้งนี้ จึงเป็นอีกครั้งหนึ่งที่สร้างความสูญเสียครั้งสำคัญให้เกิดขึ้นกับกองโจรที่เป็น “แนวร่วม” ของขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ในพื้นที่ จ.ยะลา สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อสังเกตของความสำเร็จในการปิดล้อมและไล่ล่าจนสร้างความสูญเสียให้แก่ “แนวร่วม” ขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ในครั้งนี้ และหลายครั้งของเจ้าหน้าที่ตำรวจคือเรื่องของ “การข่าว” ซึ่งความสำเร็จเกือบทุกครั้งมาจาก “การข่าว” ที่เป็นของ “สายข่าว” ที่เป็นผู้นำท้องถิ่น เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพราะไม่มีใครที่จะรู้เห็นความเคลื่อนไหวของ “แนวร่วม” ในพื้นที่ได้ดีเท่ากับผู้นำท้องถิ่นอีกแล้ว และความสำเร็จครั้งนี้ก็มาจาก “สายข่าว” ที่เป็นผู้ท้องถิ่นอีกครั้งหนึ่ง และความสำคัญอีกอย่างคือ แม้ว่า พ.ต.อ.สมเพียร จะได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่ “สายข่าว” ที่ พ.ต.อ.สมเพียร สร้างเอาไว้ในพื้นที่ 4 อำเภอ ของ จ.ยะลา เช่น บันนังสตา ยะหา กรงปีนัง และกาบัง รวมทั้งอำเภอใกล้เคียง ยังมีความพร้อมที่จะช่วยเหลือบ้านเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐในการเป็น “แหล่งข่าว” หรือ “สายข่าว” เพื่อรายงานความเคลื่อนไหวของ “แนวร่วม” ให้แก่หน่วยงานของรัฐ เพียงแต่ที่ผ่านมา หน่วยงานของรัฐไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครองไม่ได้นำคนเหล่านี้ช่วยเหลือให้ทำงานอย่างจริงจัง และไม่มีความ “จริงใจ” ในการดูแลคนเหล่านี้อย่าง “จริงจัง” เพื่อทำประโยชน์ให้แก่ท้องถิ่นอย่างแท้จริง สงครามประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การแพ้-ชนะ อยู่ที่การแย่งชิงมวลชน และอยู่ที่การควบคุมจำนวนของ “แนวร่วม” โดยต้องมิให้ขบวนการขยาย “เซลล์” หรือ “แกนนำ” และ “แนวร่วม” ให้เพิ่มจำนวนมากขึ้น และต้อง “ลบ” จำนวน “แกนนำ” และ “แนวร่วม” ให้น้อยลงด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การทำความเข้าใจ ทำการพูดคุยเพื่อให้กลุ่มแนวร่วมที่หลงผิดกลับใจกลับตัวมาสู่ความสว่างของข้อเท็จจริง การให้ความเป็นธรรม การใช้ พ.ร.ก.ความมั่นคง เป็นเครื่องมือในการเปิดโอกาสให้ผู้หลงผิดสามารถพื้นข้อหาเพื่อกลับคืนสู่สังคม และวิธีการ “สันติวิธี” อื่นๆ ส่วนกลุ่มที่ถูก “ฝังชิป” จนยากแก่การเยียวยาด้วยวิธีดังกล่าว จำเป็นที่จะต้องใช้วิธีการปิดล้อม ไล่ล่าเพื่อจับกุม และสุดท้ายเมื่อมีการต่อสู้ ย่อมหมายถึงความสูญเสียของคนร้ายอย่างที่เกิดขึ้น ซึ่งเชื่อว่าความสูญเสีย 5 ศพ ของ “แนวร่วม” ในครั้งนี้อย่างน้อยที่สุด คนในพื้นที่ จ.ยะลา คงจะอุ่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าเจ้าหน้าที่รัฐ ยังมีศักยภาพในการปฏิบัติการเชิงรุกเพื่อสร้างความสูญเสียแก่ “แนวร่วม” และการสูญเสียของ “แนวร่วม” ครั้งละมากๆ อาจจะทำให้เกิดความสงบขึ้นในระดับหนึ่งกว่าที่ “แกนนำ” จะหากำลังมาทดแทนได้ แต่ในมีได้ย่อมมีเสีย หลังการสูญเสียของ “แนวร่วม” ย่อมมีการตอบโต้เพื่อ “เอาคืน” เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ “แนวร่วม”ในพื้นที่ ดังนั้น ตำรวจ ทหาร และปกครองต้องมีแผนในการ “ตั้งรับ” ที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ “เป้าหมาย” ที่อ่อนแออย่างประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่อาจจะเป็นเครื่องสังเวยบัดพลีเหมือนกับหลายต่อหลายครั้งที่ “แนวร่วม” เกิดความสูญเสีย
แน่นอน “สงครามยังไม่จบ อย่างเพิ่งนับศพทหาร” เพราะเส้นทางของสงครามประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังยาวไกล สิ่งที่ตำรวจ ทหาร และปกครองต้องเร่งปฏิบัติในวันนี้ คือแผนรับมือการแก้แค้นของขบวนการ ก่อนถึงวันที่ 28 เม.ย. ซึ่งเป็นวันครอบรอบ 8 ปีของเหตุการณ์ สังหารหมู่ที่มัสยิดกรือเซะ ซึ่งหากตำรวจ ทหาร และปกครองไม่มีการตั้งรับ และเปิดเกมรุกที่รัดกุมและมีประสิทธิภาพเพียงพอ ประชาชนอาจจะเป็น “เหยื่อ” สถานการณ์อีกครั้ง

อ่านต่อ...

โจรใต้วางบึ้ม ' ลูกหลงเด็ก-ชาวบ้าน ทหาร'เจ็บ8

เมื่อเวลา 12.40 น. วันที่ 24 เม.ย. 55 ร.ต.อ.ธงชัย ฟุกกาพันธุ์ ร้อยเวร สภ.ตากใบ จ.นราธิวาส รับแจ้งมีเหตุคนร้ายจุดชนวนระเบิดดักสังหารเจ้าหน้าที่ทหารชุดลาดตระเวนสังกัด ร้อย ร.2912 ฉก.นราธิวาส 36 บนถนนสายตากใบ-ตาบา ช่วงบริเวณหน้ากูโบว์ บ้านตาบา ม.1 ต.เจ๊ะเห ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารและชาวบ้านได้รับบาดเจ็บ 8 ราย จึงพร้อมด้วย พ.ต.ท.กระจ่าง รักษ์ณรงค์ หน.กองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส ร.ต.ต.แชน วรงคไพสิฐ หน.ชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด นปพ.จ.นราธิวาส รวมทั้งกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารจำนวนหนึ่งรุดเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ ทั้งนี้ พบรถจี๊ปทหารสีเขียวขี้ม้าตรวจกงจักร มีร่องรอยถูกสะเก็ดระเบิดได้รับความเสียหายที่ตัวถังด้านซ้าย และพบรถเข็นที่ประกอบด้วยโครงไม้ 2 ล้อมีร่องรอยถูกอนุภาพของระเบิดได้รับความเสียหาย โดยชิ้นส่วนต่างๆได้กระเด็นกระจายไปกองอยู่บนถนน และมีเศษซากชิ้นส่วนของระเบิดแสวงเครื่องที่คนร้ายประกอบใส่ไว้ในกล่องเหล็ก หนัก 7 ก.ก.จุดชนวนด้วยวิทยุสื่อสารตกกระจายเกลื่อนพื้นถนนเช่นกัน พร้อมด้วยกองเลือดจำนวนหนึ่งตกอยู่ ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บได้มีพลเมืองดีนำตัวส่งรักษาโรงพยาบาลตากใบไปก่อนหน้าแล้ว เจ้าหน้าที่จึงได้เก็บรวบรวมหลักฐานในที่เกิดเหตุ ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เดินทางไปดูอาการผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาล ซึ่งส่วนถูกสะเก็ดระเบิดตามบริเวณลำตัวแขนและขา ได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 ราย คือ 1.จ่าสิบตรีอุเทน แก้วิเชียร 2.ด.ช.มูฮาหมัดดานียา เปาะซา อายุ 3 ขวบ แพทย์ต้องส่งตัวรักษาต่อที่โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ ส่วนอีก 6 ราย ซึ่งบาดจ็บไม่สาหัสมากนัก ประกอบด้วย 1. จ่าสิบโทธานินทร์ ศักดิ์ศรี หัวหน้าชุด 2.พลทหารอำนวย ศรีวรรณดี 3. พลทหารจรัญ ปูโว 4.นายมอหะมะ ยูโซ๊ะ ผู้ใหญ่บ้าน ม.6 ต.ศาลาใหม่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส 5. น.ส.วารุณี มะ และ 6.น.ส.มีละ มะแอ จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุได้มีคนร้าย จำนวน 2 คน ขี่รถ จยย.เป็นพาหนะแฝงตัวนำระเบิดแสวงเครื่องใส่ไว้ในถุงดำ แล้วนำมาวางไว้บนรถเข็นที่จอดอยู่บริเวณหน้ากูโบว์ เมื่อเจ้าหน้าที่ทหารขับรถยนต์จี๊ปผ่านมา คนร้ายซึ่งแฝงตัวอยู่ในละแวกจุดเกิดเหตุ ได้ใช้วิทยุสื่อสารจุดชนวนระเบิด จนเกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ในขณะที่ชาวบ้านคือนายมอหะมะ ผู้ใหญ่บ้าน และ น.ส.วารุณี ซึ่งได้ขี่รถ จยย.คนละคันพาหลานชายนั่งซ้อนมาด้วยที่บริเวณเบาะด้านหน้าและมี น.ส.มีละ นั่งซ้อนท้าย ทำให้ทหารและชาวบ้านถูกสะเก็ดระเบิดได้รับบาดเจ็บดังกล่าว ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ร้ายรายวันของกลุ่มผู้ไม่หวังดี

อ่านต่อ...

วันศุกร์, เมษายน 13, 2555

"สมชาย"เชื่ออีกไม่นาน"ทักษิณ"จะกลับมา ไม่ฟันธงวุ่นวายหรือไม่

       นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวปฏิเสธว่า ไม่ได้ไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มาร่วมงานสงกรานต์ที่ประเทศลาว แต่อย่างใด ขณะที่ระบุว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดว่าจะกลับบ้านเร็วๆ นี้ ตนเองไม่เห็นว่าจะผิดตรงไหน และการพูดเช่นนั้นไม่มีนัยแอบแฝง ซึ่งจะกลับได้จริงหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง โดยนายสมชายแสดงความเห็นใจที่ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ในฐานะผู้ถูกกระทำ และต้องไกลบ้านเกิด         ทั้งนี้ นายสมชายมั่นใจว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาจะไม่ทำร้ายชาติบ้านเมืองอย่างแน่นอน ทุกอย่างให้เป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย พร้อมกันนี้เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้เคารพกฎหมายเช่นกัน หากกลับมาแล้วจะเกิดความวุ่นวายหรือไม่ ขอให้รอกลับมาก่อนแล้วจะประเมินอีกครั้งว่าดีหรือไม่

อ่านต่อ...

"เจ๋ง-ดีเจ อ้อม" นำทีมนปช.ฉลองสงกรานต์"ทักษิณ"ที่เขมร ฮุนเซนจัดรถบริการ

 วันที่ 13 เม.ย. กลุ่ม นปช.หรือกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนมากนำรถยนต์ส่วนตัวและรถบัส เดินทางมาที่หน้าด่านพรมแดนอรัญประเทศ จ.สระแก้ว เพื่อเดินทางเข้าไปร่วมฉลองสงกรานต์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ จ.เสียมราฐ ประเทศกัมพูชา โดย พ.ต.ท.เบญจพล รอดสวาสดิ์ รอง ผกก.ตม.จว.สระแก้ว ร.อ.อภินันท์ สงครามชัย ผบ.ร้อย ทพ.1206 ฉก.กรม.ทพ.12 กกล.บูรพา และนายอวยชัย กุลทิพย์มนตรี นายด่านศุลกากรอรัญประเทศ นำกำลังร่วมอำนวยความสะดวก และตรวจสอบเอกสารการเดินทางของคนเสื้อแดงและรถยนต์ทุกคัน ซึ่งรถยนต์ส่วนใหญ่ติดสติกเกอร์ภาพ พ.ต.ท.ทักษิณคู่กับสมเด็จฮุนเซน และมีภาษาอังกฤษกำกับว่า ′′SONGKRAN THAILAND & CAMBODIA′′ บริเวณกระจกหน้ารถ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มคนเสื้อแดง  โดย จนท.ตม. จว.สระแก้ว และ จนท.ทหารพราน ร้อย ทพ.1206 ฉก.กรม.ทพ. 12 กกล.บูรพา ได้ตั้งจุดตรวจร่วมเพื่อตรวจสอบเอกสารการเดินทางและเอกสารประกอบรถยนต์ของกลุ่มคนเสื้อแดงที่จะเดินทางออกไปฝั่งกัมพูชาอย่างเข้มงวด โดยไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่มีเอกสารการเดินทางและเอกสารประจำรถ เดินทางข้ามด่านพรมแดนอรัญประเทศออกไปฝั่งกัมพูชา  บรรยากาศฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ได้จัดส่งรถบัส วีไอพี จำนวนกว่า 50 คัน มารอรับคนเสื้อแดงที่ไม่ได้นำรถส่วนตัวมาด้วย ไปส่ง ถึง จ.เสียมราฐ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น และยังมีรถทหารหน่วยองครักษ์ฮุนเซน ขับรถติดไซเรน นำขบวนไปส่งถึง จ.เสียมราฐ ด้วย    พ.ต.ท.เบญจพล รอดสวาสดิ์ รอง ผกก.ตม.จว.สระแก้ว กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่าตั้งแต่เวลา 07.00 น.จนถึงเวลา 10.00 น.มีกลุ่ม นปช.หรือคนเสื้อแดงเดินทางออกไปฝั่งกัมพูชาผ่านด่านพรมแดนอรัญประเทศแล้ว ประมาณเกือบ 1,000 คน โดยมีรถบัส ประมาณ 15 คัน รถยนต์ส่วนตัว ทั้งรถปิกอัพและรถเก๋ง เดินทางออกไปด้วย ประมาณกว่า 50 คัน ส่วนบุคคลที่นำทีมมา มีนายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก และดีเจ อ้อม หรือ น.ส.กัญญาภัค มณีจักร แกนนำเสื้อแดง เดินทางออกไปด้วย คาดว่าช่วงบ่ายถึงเย็น จะมีคนเสื้อแดงและรถยนต์เดินทางออกไปฝั่งกัมพูชาอีกหลายพันคน

อ่านต่อ...

วันเสาร์, เมษายน 07, 2555

วิเคราะห์ปัญหา-ค้นคว้าทางออกของเหตุความรุนแรงภาคใต้กับ "ชัยวัฒน์-รอมฎอน"

เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นใน อ.หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และ จ.ยะลา เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แม้ยังไม่ชัดเจนแน่นอนว่า การวางระเบิดดังกล่าวทำในนามกลุ่มใด เพื่อเรียกร้องอะไร และต้องการนำไปสู่หนทางไหน แต่ความแน่นอนที่เกิดขึ้นแล้วคือผลสะเทือนถึงการเมืองส่วนกลาง ระหว่างฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล รวมถึง ผลสะเทือนต่ออารมณ์ความรู้สึกเศร้าเสียใจของประชาชนต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะที่การค้นหา "ข้อเท็จจริง" ในพื้นที่ภาคใต้ ยังเป็นโจทย์ ที่เดินหน้าหาคำตอบได้ไม่สิ้นสุด เพราะพื้นที่มีลักษณะเฉพาะแตกต่างจาก ศูนย์กลางอำนาจประเทศ อย่าง กรุงเทพมหานคร ทั้งด้านสังคม วัฒนธรรมและเศรษฐกิจ แต่จุดร่วมกัน คือ คนส่วนใหญ่ของทุกภูมิภาค คงไม่ต้องการให้เกิดการเสียเลือดเสียเนื้อหรือเห็นประชาชนมีชีวิตอยู่ในสถานการณ์ที่ขาดความมั่นคงปลอดภัย "มติชนทีวีออนไลน์" สัมภาษณ์บุคคล 2 คน ผู้ศึกษาและสังเกตการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้ ถึงแนวทางที่น่าจะเป็น "ทางออก" ลดความรุนแรงและหนทางในการอยู่ร่วมกันท่ามกลางสารพัดช่องว่างที่คั่นกลางความเข้าใจกันของหลายฝ่าย "ชัยวัฒน์ สถาอานันท์" ศาสตราจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงเหตุการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในอดีตว่า สมัยเมื่อ 30 ปีก่อน เวลาพูดถึงเหตุการณ์ความรุนแรงภาคใต้ มักจะหมายถึง ขบวนการโจรแบ่งแยกดินแดน ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2-3 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งก็จะเป็น กลุ่มสายนิยมเจ้าปัตตานีเก่า บางทีเรียกว่า BNPP เป็นสายประเพณีในพื้นทื่ อีกกลุ่มหนึ่งจะเป็นกลุ่มซึ่งอยู่ฝ่ายสังคมนิยม เป็นสายปฏิวัติ ที่เรียกกันว่า BRN ในสมัยก่อน ซึ่งมีมาตั้งแต่ 30 ปีก่อน ไม่ใช่เพิ่งมีตอนนี้ ใน 2 สายนี้ ถ้าพูดง่ายๆ คือ สายอนุรักษ์นิยม กับสายต่อต้านอนุรักษ์นิยมในพื้นที่ แต่ทั้ง 2 ฝ่ายเรียกร้องความเป็นอิสระเช่นเดียวกัน จึงเกิดขบวนการที่เรียกว่า พูโล ปัตตานียูไนเตดลิเบอเรชั่น ออกาไนเซชั่น คล้ายๆ เป็นองค์กรในระดับที่เป็น "ร่ม" คลุมของพวกนี้ไว้ แต่อันนั้น เมื่อ 30 ปีที่แล้ว "ใน 30 ปีนี้ มีความเปลี่ยนแปลง ในสิ่งเหล่านี้มากขึ้น สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดและมีความสำคัญ คือมีการเปลี่นนแปลง ′รุ่น′ ของผู้นำในขบวนการ ผมคิดว่าการเปลี่ยนแปลงรุ่น มีผลสำคัญต่อชนิดของความรุนแรงที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ อีกอย่างหนึ่งที่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงคือ วิถีในการต่อสู้ของเขาเอง ซึ่งคงจะไม่เหมือนสมัยก่อนเท่าไหร่ หลายคนก็สงสัยว่า ต่อสู้ในสมัยนี้ ทำไมคนไม่เห็นเลยว่า ข้อเรียกร้องคืออะไร เป็นอย่างไร มีนักวิชาการฝรั่งบางคนบอกว่า ขณะนี้กำลังต่อสู้กับปีศาจ ไล่ตามเงาโดยไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่ฝ่ายรัฐ ก็บอกว่า รู้เหมือนกันนะ นี่คือ BRN co-ordinate อะไรทำนองนี้ ซึ่งก็ว่ากันไป แต่ถึงแม้จะรู้ว่ากลุ่มนี้ ประเด็นคือ วิธีที่เขาสัมพันธ์กัน ก็คงไม่เหมือนเดิม นี่คงเป็นการคลี่คลายของขบวนการเหล่านี้ ผมจะเรียกการคลี่คลายขบวนการเหล่านี้ว่ามีลักษณะเป็นเครือข่ายไม่มีแกนกลางเท่าไหร่ ฉะนั้น โอกาสในการทำงานจึงทำได้เยอะ" ชัยวัฒน์ กล่าว ชัยวัฒน์ กล่าวด้วยว่า วิธีการแบ่งประเภทผู้ก่อการร้ายอีกวิธี คือ ขบวนการที่ปรากฎและไม่ปรากฎ ขบวนการที่ปรากฎมีตัวแทนที่เห็นภาพเห็นเสียงอยู่ในโลกไซเบอร์ แต่ขบวนการที่ไม่ปรากฎ เห็นแต่เงา ไม่รู้อยู่ไหนแล้วเพราะ ไม่รู้จะติดต่อกับใคร ทำให้เราต้องติดต่อแต่คนที่เห็นภาพเห็นเสียงอยู่ในโลกไซเบอร์ แต่ถามว่าเป็นตัวแทนทั้งหมดจริงหรือเปล่า อาจจะไม่ใช่ก็ได้ เพราะ อาจจะไม่สามารถคุมเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ได้จริงจัง ถามว่านี่เป็นปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไทยเท่านั้นหรือเปล่า ตนคิดว่าไม่ใช่ เพราะที่อื่นก็คล้ายๆ กัน เช่น กรณีขบวนการชื่อ "กาม" GAM (Gerakan Aceh Merdeka) ต่อสู้กับ อินโดนีเซีย ในกรณีอาเจะห์ กามก็มีตัวแทนอยู่สวีเดน คนก็รู้จักผ่านตัวแทนซึ่งอยู่สวีเดน คำถามคือ คนที่อยู่สวีเดนสามารถควบคุมบังคับผู้บัญชาการการรบในพื้นที่ที่สุมาตราได้ไหม คำตอบคือคงไม่ได้ ฉะนั้น ช่องว่างแบบนี้คงมีอยู่ให้เห็น สำหรับวิธีการระเบิด โดยมุ่งหมายต่อใครก็ได้ ไม่ได้กระทำต่อตัวบุคคล แปลว่า เขาต้องการสื่อสารกับรัฐว่าอย่างไรกันแน่นั้น ชัยวัฒน์ กล่าวว่า เวลาสู้กันระหว่างกลุ่มก่อการกับรัฐ จริงๆ แล้วรัฐเป็นฝ่ายได้เปรียบ ถามว่าทำไมรัฐเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพราะโดยเปรียบเทียบแล้ว ระหว่างกลุ่มก่อการและกลุ่มผู้ใช้ความรุนแรงทั้งหลายที่ต่อต้านรัฐ จะแพ้รัฐอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือโดยส่วนใหญ่ รัฐเป็นอมตะ แต่กลุ่มไม่เป็นอมตะ แล้วกลุ่มก็ไม่ประสบความสำเร็จ "ของพวกนี้ เมื่อไม่ประสบความสำเร็จ ก็เพิ่มขีดความน่าสนใจของกรณีความรุนแรงที่ใช้ เพราะ กรณีความรุนแรงที่เกิดก่อนหน้านี้ ยิงที่สวนยางพารา ยิงคนบนมอเตอร์ไซต์ คนที่ไปกรีดยาง อันนี้เกิดขึ้นแทบทุกวัน ปัญหาของการใช้ความรุนแรงเกือบทุกวัน คือ ความเป็นปกติของความรุนแรง พอเป็นอย่างนั้น พลังของตัวความรุนแรงที่เขาอยากจะสื่อจึงลดลงไป จึงต้องเพิ่มขีด ฉะนั้น จึงเกิดเหตุระเบิดที่หาดใหญ่ โรงแรมลี กาเดนส์ และยะลา 3 จุด" ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์ กล่าว ดร.ชัยวัฒน์ กล่าวถึง เหตุการณ์ความรุนแรงระลอกล่าสุดในจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า คณะกรรมการยุทธศาสตร์สันติวิธี ทำรายงานเสนอสาธารณชนเมื่อปีที่แล้ว โดยได้คาดคะเนไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะมีความรุนแรงลักษณะนี้เกิดขึ้น คือเส้นกราฟผงกหัวทวีขึ้น การใช้ระเบิดก็จะซับซ้อนมากขึ้น "การใช้ระเบิดรถยนต์แบบนี้ ผมคิดว่าเริ่มต้นตั้งแต่ที่ปัตตานี เมื่อวันที่ 9 ก.พ. ใช้ระเบิดประมาณ 30 กิโลกรัมก่อความเสียหายได้มากมาย อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ล่าสุด ก็มีข้อเสี่ยงกลับไปยังฝ่ายผู้ก่อการเอง เพราะผู้ติดตามข่าวไม่ว่าจะเป็นชาติอะไร ศาสนาอะไร ก็ทนไม่ได้ ที่เห็นเหยื่อความรุนแรง โดยเฉพาะเด็กเกือบร้อยและคนบาดเจ็บจำนวนมาก ฉะนั้น เกิดผลลบต่อขบวนการนี้เพิ่มขึ้น ส่วนคำถามว่า สังคมควรทำอย่างไร ก็มี 2 ทางคือ 1) รอให้ความรุนแรงหนักไปอีกหรือความรุนแรงไม่หนักขนาดนี้ แต่เกิดขึ้นซ้ำๆ คนล้มลงเหมือนใบไม้ร่วง หรือ 2) ลองคิดวิธีที่จะทำให้เรื่องนี้ เป็นปัญหาทางการเมือง เพื่อพูดคุยประเด็นทางการเมือง ซึ่งเป็นที่มาของข้อเสนอ ′สันติสนทนา′ เพื่อให้ทราบว่า ผู้ก่อการคิดอะไร ซึ่งคาดว่าผู้ก่อการเองก็มีอยู่หลายส่วน และในขบวนการผู้ก่อการเอง ก็คงมีบางส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะเมื่อเห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นชีวิตเด็กและอีกหลายชีวิตในที่เกิดเหตุ ปัญหาภาคใต้อาจจะไม่ได้มีเพียงกลุ่มแบ่งแยกดินแดน เพราะคงมีกลุ่มมากกว่านั้น แต่จากข้อศึกษาหลายแห่งในโลกนี้ พบว่า การพยายามใช้ความรุนแรงของหลายกลุ่มที่พยายามจะแบ่งยกดินแดนจะไม่บรรลุเป้าหมาย ทีนี้ สมมุติถ้าคิดเรื่องการบรรลุเป้าหมาย ผมก็ไม่รู้เขา (ผู้ก่อการ) มีโครงการทางการเมืองของเขาไหม สมมุติถ้าแยกดินแดนแล้วหน้าตาเป็นยังไง มีรายละเอียดเยอะแยะ จะสัมพันธ์กับรัฐไทยบางลักษณะได้ไหม หรืออยู่ในรัฐไทยอย่างไร ซึ่งรัฐไทยเป็นเอกรัฐสมัยใหม่ ของพวกนี้เป็นประเด็นน่าจะลองพูดคุยสนทนากัน ไม่เฉพาะคนฝั่งรัฐหรือฝั่งกลางๆ แต่น่าจะได้คุยด้วยว่า เขา (ผู้ก่อการ) คิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ แล้วผลของสันติสนทนาประการหนึ่ง น่าจะสอดคล้องกับความเป็นจริงที่ว่า เราควรคิดถึงคนเหล่านี้ (ผู้ก่อการ) ในฐานะที่ไม่ใช่คนที่เป็นเนื้อเดียวกัน (มีเอกภาพ) คงมีหลายส่วนอยู่ในนั้นโดยเฉพาะเมื่อเห็นเด็กอายุ 2 เดือนบาดเจ็บอยู่ในนั้น คนในขบวนก่อการอาจจะคิดว่า นี่เป็นราคาที่ต้องจ่าย แต่อีกส่วนอาจจะบอกว่า ไม่ควรทำแบบนี้ ก็คงมี ฉะนั้น การเสนอ ′สันติสนทนา′ จึงเป็นทางออก เพื่อให้เห็นว่า แม้แต่คนในขบวนการก่อการเอง ก็อาจจะมีความเห็นที่หลากหลาย แล้วทำให้ฝ่ายที่ใช้ความรุนแรงเป็นคำตอบ อาจจะไม่แข็งแรงเหมือนเดิม" นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เสนอ สำหรับการสร้างความรุนแรง จะเป็นวิธีการต่อรองที่ได้ผลที่สุดในสายตาผู้ก่อการร้ายหรือไม่นั้น ชัยวัฒน์ กล่าวว่า ไม่ว่าเขาจะคิดอะไร แต่ข้อเท็จจริงคือ ในกรณีต่างๆ ทั่วโลก รัฐจะชนะ ในสมัยนี้ แทบจะไม่มีที่ไหน ที่ใช้กำลังแล้ว แบ่งแยกตัวเองสำเร็จ หาได้น้อยมาก เช่น กรณี อาเจะห์ ในที่สุดก็เปลี่ยนเป็นกระบวนการทางการเมือง หรือในฟิลิปปินส์ ก็หันมาใช้กระบวนการทางการเมือง แม้ไม่ได้จบแต่ก็ต้องหาวิธีแก้ไขกันไป เชื่อว่าผู้ก่อความรุนแรงในภาคใต้ มีหลายกลุ่มและในแต่ละกลุ่มไม่เป็นเนื้อเดียวกัน ส่วนปัญหาว่าจะ "สันติสนทนา" กับใครนั้น สิ่งที่เสนอว่าควรมีคือ ความเป็นเอกภาพทางนโยบาย แต่ตัวสันติสนทนา ควรมีหลายช่องทาง เพื่อปล่อยให้เกิดโอกาสพูดคุยจากหลายช่องทาง จะแก้ปัญหาที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (ผบ.ทบ.) พูดว่ารัฐบาลไปสนทนาเฉพาะกลุ่ม ทำให้กลุ่มอื่นไม่พอใจได้ ในขณะที่เราเองก็ไม่รู้กลุ่มไหนมีพลังแค่ไหน การเปิดให้มีหลายช่องจะทำให้ลดปัญหาได้บ้างในระยะยาว สำหรับผลประโยชน์ที่ขัดกันระหว่างผู้ก่อเหตุกับรัฐคืออะไรกันแน่นั้น นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า คนเจนเนอเรชั่นปัจจุบัน รุ่นที่ปรากฎตัว แล้วอาจจะเป็นกลุ่มเดียวกับที่ใช้กำลังในขณะนี้ อาจได้รับอิทธิพลจากความเชื่อที่ว่า เขาอยากจะเป็นอิสระ แต่เป็นอิสระในรูปไหนก็ยังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ เขาอาจจะรู้สึกว่าอัตลักษณ์ของเขา ถูกเบียด ถูกบังถูกขับ ในขณะที่ฝ่ายรัฐไทย ก็บอกว่าไม่เห็นเป็นอย่างนั้นเลย แต่นี่ก็เป็นการอ่านความเป็นจริงที่ต่างกัน เป็นผลของประวัติศาสตร์ที่ต่างกัน เป็นผลของความเป็นมาที่ต่างกัน ของพวกนี้ ในที่สุดแล้วปรากฎตัวในรูปของความขัดแย้งที่เห็นในภาคใต้ ฉะนั้น เมื่อถามว่าผลประโยชน์คืออะไร ก็คือ สิ่งที่เขาคิดว่าสำคัญ คนเราต่อสู้เพื่อสิ่งที่ตัวเองคิดว่ามันสำคัญ ปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ ก็ไม่แน่ว่า ทุกกรณีความรุนแรงที่เกิดขึ้น เป็นฝีมือของขบวนการอย่างเดียว ส่วนตัวคิดว่ามีหลายฝ่ายที่จะต้องรับผิดชอบต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้น ด้าน "รอมฎอน ปันจอร์" จาก ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ กล่าวว่า การส่งเสริมให้มีการถกเถียงกันจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อรัฐบาลส่งสัญญาณแรงๆ ชี้นำว่า เรากำลังจะไปสู่อะไร ด้วยวิธีการแบบไหน อะไรบ้าง เพราะขณะนี้ไม่ใช่เพียงทหารที่ทำงานอยู่ในภาคใต้และไม่ใช่ตำรวจเท่านั้น ที่ตามล่าตามจับคนร้าย แล้วไม่ใช่แค่ชาวบ้านกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ที่ต้องเผชิญชีวิตประจำวันที่มีแต่ความไม่แน่นอน เพราะประชาชนทั้ง 3 ฝ่ายในพื้นที่ คือ ชาวบ้านมลายูมุสลิม ก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะถูกจับกุมบุกค้นเมื่อไหร่ ถูกตรวจตราเมื่อไหร่ จะถูกใช้กฎหมายพิเศษเรียกตัวญาติพี่น้องไปเมื่อไหร่ ในขณะที่คนจีน ก็คงกังวลว่าการค้าธุรกิจตัวเองจะอยู่รอดไหม ส่วนคนไทยพุทธ ก็อาจจะอยู่อย่างลำบาก หวาดกลัว ของอย่างนี้เป็นมาโดยตลอด 8-9 ปี เราใช้งบประมาณ ใช้กำลังพลมากมาย ในการเยียวยา "ฉะนั้น โอกาสนี้รัฐบาลต้องส่งสัญญาณแรงๆ ว่าทิศทางควรเป็นยังไง ขณะที่สังคมไทย ในฐานะที่เป็นฐานสนับสนุนทิศทางการแก้ปัญหาระดับชาติ อาจจะต้องช่วยกันคิดว่า ตกลงควรจะเป็นอย่างไร และในอนาคต คนมุสลิมที่ปัตตานี หรือ ปาตานี เอง ทั้ง 3-4 จังหวัด อาจจะต้องทบทวนว่า ตัวเองต้องการอะไร จะอยู่กันยังไง ในสภาพความเป็นจริงที่มีขบวนการแบบนี้ ในขณะที่รัฐไทย กำลังเผชิญปัญหาแบบนี้ แล้วคนในพื้นที่ซึ่งอยู่ตรงกลางจะเอาอย่างไร การแชร์อำนาจ การตรวจสอบถ่วงดุลภายในมลายูเอง หน้าตาจะเป็นอย่างไร" เมื่อถามว่า หากเป้าหมายคือการแบ่งแยกดินแดนจริงๆ แล้ว ขบวนการดังกล่าวมีโมเดลหรือไม่ว่า ต้องการรูปแบบการปกครองอย่างไร ใครเป็นผู้นำ รอมฎอนบอกว่า เท่าที่ทราบมาคือยังไม่มี ซึ่งนี่เป็นปัญหาที่น่าสนใจว่า เขามีอะไรมาขาย เพื่อที่จะให้คนยอมรับ และสนับสนุน แต่ปัญหาของการไม่มีข้อเสนอที่เป็นรูปธรรม ก็อาจจะเท่ากับปัญหาที่เป็นรูปธรรมเลวร้ายในมุมมองของพวกเขา คือมีทั้งแรงผลักและแรงดึง พวกเขามีสังคมที่ไม่น่าอยู่เท่าไหร่ในสังคมไทยและเจอปัญหา เช่น เรื่องอัตลักษณ์ วัฒนธรรม ภาษา และของที่อยากจะพูด ก็พูดไม่ได้ จึงเป็นแรงผลักนำไปสู่สิ่งที่เกิดขึ้น "ผมว่าเรื่องนี้ ก็ไม่ต่างจากขบวนการทางการเมืองหลายๆ ขบวนการ แม้กระทั่ง นปช.เสื้อแดง หรือ พธม.เสื้อเหลือง คือเป้าที่จะไปถึงมีหน้าตาอย่างไรก็อาจจะยังไม่ชัด แต่อาจจะมีองค์ประกอบบางอย่างที่โผล่ขึ้นมา เช่น กรณีเสื้อเหลือง ก็ไม่ต้องการให้มีคุณทักษิณ หรือ กรณีเสื้อแดง ก็พูดถึงความยุติธรรม ก็ว่ากันไป คือมีของบางอย่างที่เรียกร้องร่วมกัน แต่เป้าหมายยังไม่ชัด หรืออาจจะมีก็ได้ แต่อาจจะสื่อสารกันภายใน อันนี้เราไม่รู้ ซึ่งเป็นข้ออ่อนอย่างหนึ่งที่ทำให้การแสวงหาแนวร่วมพันธมิตรเป็นไปได้ยาก ยังไม่รวมเรื่องวิธีการ (ความรุนแรง) ที่พวกเขาทำ ซึ่งมีปัญหาในตัวเอง สำหรับรัฐไทย รูปธรรมในอนาคต 10 ปี ถ้ายังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็เป็นปัญหาเหมือนกัน ถึงเวลาต้องทบทวนว่า จะอยู่ร่วมกับสังคมชายขอบ แต่เป็นชนกลุ่มน้อย ที่เป็นคนกลุ่มใหญ่ในพื้นที่อย่างไร แล้วจะสนับสนุนให้พวกเขาปกครองตัวเองหรือดูแลตัวเองยังไง ในมุมแบบนี้ ถ้ารัฐไทยปรับตัวได้เร็ว ก็จะเสริมอำนาจในการปกครอง ในขณะที่ฝ่ายขบวนการใต้ดิน อาจจะต้องปรับตัวในการทำงานการเมืองเพิ่มมากขึ้น คือทิศทางควรต้องไปแบบนี้ ไม่อย่างนั้นความรุนแรงจะกินตัวเอง แล้วทำให้ทั้ง 2 ฝ่าย ไม่สามารถหลุดพ้นจากกับดักที่ตัวเองวางเอาไว้" รอมฎอน กล่าวทิ้งท้าย

อ่านต่อ...

"จังหวัดหาดใหญ่" "โจรกลุ่มเล็ก" ความเบาปัญญาแก้ไฟใต้ ของรบ.ปูแดง

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ยิ่งนับวันปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นับวันจะยิ่งทวีคูณความรุนแรงไม่หยุดหย่อน ก่อนที่จะเกิดวินาศกรรมในครั้งนี้ สังคมก็ได้ยินข่าว ชาวบ้าน ครู ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจถูกระเบิด ถูกยิงแทบจะเป็นรายวัน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้ไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ไขได้ภายในห้วงเวลาสั้น แน่นอนว่าต้องใช้เวลา นั่นก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ในระดับหนึ่ง แต่เมื่อพิจารณาด้วยความเป็นธรรมในการทำงานของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องด้วยแล้ว ดูจะยิ่งหลงทิศหลงทางเข้ารกเข้าพงอีกต่างหาก กล่าวสำหรับน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้น คงต้องบอกว่ายังคงแสดงสติปัญญาอันอ่อนด้อยได้อย่างคงเส้นคงวาไม่มีเปลี่ยนแปลง เพราะนอกจากจะไม่ได้แสดงภาวะผู้นำประเทศในห้วงเวลายามวิกฤตเช่นนี้ แต่เธอกลับปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อในการตอบคำตอบถึงเรื่องนี้ ชนิดที่ไม่น่าให้อภัยเลยแม้แต่น้อย ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุ กว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี นายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการเกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะ จะเดินทางไปลงก็ปาเข้าไปของบ่ายวันที่ 2 เมษายน แถมตัว นายกนกแก้วฯ ก่อนหน้าก็ไม่ได้มีท่าทีกระตือรือร้นจะลงไปตรวจพื้นที่โดยฉับพลันด้วยซ้ำ เพราะว่ากันว่าเธอยังมีหมายประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่ต้องไปเยือนประเทศกัมพูชา แต่ด้วยการถูกกดดันอย่างหนักจึงทำให้จำใจต้องลงไปดูพื้นที่ด้วยตัวเอง และคงต้องบันทึกไว้ว่าเป็นวันที่เธอต้องอับอายขายขี้หน้าไปจนตายเลยทีเดียว “ก่อนอื่นต้องของแสดงความเสียใจกับญาติผู้เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ สำหรับภารกิจวันนี้ที่เป็นห่วงคือ อย่างน้อยอยากมาเห็นสถานที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง และมาให้กำลังใจชาวจังหวัดหาดใหญ่” ตามมาด้วย ... “จุดผ่านแต่ละจุดตั้งแต่สนามบิน และเส้นทางที่คมนาคมต่างๆ รวมถึงสถานที่พัก โรงแรม โรงพยาบาล หรือส่วนต่างๆ ที่มีบริเวณเป็นที่สาธารณะ ก็จะมีการบูรณาการเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนที่อยู่บริเวณแถบนี้และจังหวัดหาดใหญ่ด้วย” ... พระเจ้าช่วยกล้วยทอด ทำเอาประชาชนทั่วทั้งประเทศตลกไม่ออกไปตามๆ กัน เพราะใครจะไปเชื่อว่า ผู้สำเร็จปริญญาตรีจากม.เชียงใหม่ และปริญญาโทจาก ม.เคนทักกีสเคต สาขารัฐประศาสนศาสตร์ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังของประเทศสหรัฐอเมริกาจะแสดงสติปัญญาอันเบาปัญญา ด้วยการให้สัมภาษณ์ว่า จังหวัดหาดใหญ่ ซึ่งความจริงแล้วใครก็รู้กันดีว่าเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดสงขลา แต่ดันกลับกลายเป็นจังหวัดที่ 78 ของประเทศไทยไปแบบหน้าตาเฉย ซ้ำร้ายเป็นการผิดแบบติดต่อกันสองครั้งภายในเวลาไม่ถึงนาที นอกจากนั้น สิ่งตอกย้ำความเบาปัญญาของ นายกฯนกแก้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือการให้สัมภาษณ์ชนิดไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เมื่อถูกนักข่าวถามว่าข้อมูลการข่าวจะมีเหตุ การณ์ระลอก 2 และ 3 อีกหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ตอบแบบชัดถ้อยชัดคำอีกครั้งว่า เราต้องทำทั้ง 2 อย่าง ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่กลุ่มใหญ่มาก นี่คือ สติปัญญาของ นายกฯนกแก้วผู้ไม่เคยรู้ประสีประสาอะไรเลย ถามว่าหากเป็นโจรกระจอกจริง จะกล้าลงมืออุกอาจถึงขนาดทำคาร์บอมบ์กลางเมืองหาดใหญ่ จนถึงขั้นสามารถกล่าวได้ว่าเป็นวินาศกรรมเชิงสัญลักษณ์ก็ไม่น่าจะผิดเพี้ยนเท่าใดเลย ทั้งนี้ ก็เพิ่งจะเข้าใจว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ช่างเป็นเสมือนโคลนนิ่งของ น.ช.ทักษิณ เสียเหลือเกิน หากย้อนกลับไปจุดกำเนิดของความรุนแรงในปัญหาชายแดนใต้ ก็หาใช่เกิดจากใครก็เป็น ยุคตอน น.ช.ทักษิณ เรืองอำนาจ ที่เกิดเหตุ ปล้นค่ายทหาร กองพันพัฒนาที่ 4 อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อ 4 ม.ค.47 เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างอุกอาจชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่ง นช.ทักษิณ ก็เคยหยันว่าเป็นแค่"โจรกระจอก" มาวันนี้ปัญหาชายแดนใต้ในยุค น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่อ่อนไหวและซับซ้อนมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว และยิ่งมาเจอคำว่า “โจรกระจอก” เข้าไปอีก มันก็พิสูจน์ให้เห็นว่า คนตระกูลชินวัตรทั้งสอง ได้ทำลายภาคใต้จนเป็นมิคสัญญีหนักกว่าเดิมเข้าไปอีก อย่างไรก็ดี หากกล่าวถึงการแก้ปัญหา3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก่อนจะเกิดเหตุวินาศกรรม แนวทางการแก้ปัญหาก็ดูจะไม่ได้เป็นรูปเป็นร่างเลยด้วยซ้ำ เพราะผ่านมา 7-8 เดือน ตัวนายกฯนกแก้วนอกจากจะไม่ได้ทำสิ่งใดมากกว่าการเดินเฉิดฉายโชว์เสื้อผ้าหน้าผม ก็ไม่เคยมีการมอบนโยบาย ไม่มีการประชุมเชิงยุทธศาสตร์ให้กับฝ่ายความมั่นคงในฐานะที่ตัวเองเป็น ผอ.กอ.รมน.โดยตำแหน่ง ส่วนเรื่องการเยื้องกรายลงไปในพื้นที่ไม่ต้องพูดถึงไม่เห็นแม้แต่เงา นอกจากนั้นอีกตำแหน่งหนึ่งที่จะต้องพูดถึงก็คือ ตำแหน่ง เลขาฯ ศอ.บต. ที่มี พ.ต.อ.ทวี สอดส่องนั่งเป็นหัวเรือใหญ่ เพราะถือเป็นสายตรงเด็กในบ้านของ นช.ทักษิณ แถมยังสนิทกับนายกฯนกแแก้ว เป็นการเฉพาะ ทั้งนี้ การแต่งตั้งให้ พ.ต.อ.ทวีนั่งเก้าอี้ เลขาฯ ศอ.บต.กล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ฝิดผาผิดตัวเต็มๆ เพราะพ.ต.อ.ทวี ไม่ใช่ลูกหม้อของกรมการปกครอง ไม่รู้ปัญหาของชายแดนใต้ดีพอ ที่ขีดเส้นใต้ไว้ก็คือปัญหาชายแดนใต้ซับซ้อนมากต้องใช้เวลาศึกษา และเป็นห่วงความรู้สึกของประชาชนที่เป็นมุสลิมกว่า 80% ที่มีความรู้สึกไม่ดีนักต่อภาพลักษณ์ของตำรวจ ดังนั้นจึงอย่าได้แปลกใจเลย หากจะได้ยินเสียงดังระงมมาตลอดว่าไปนั่งกินตำแหน่งเพื่อรอขึ้นที่อื่นที่สูงกว่านี้เพียงเท่านั้น(อ่านรายละเอียดในล้อมกรอบ) แน่นอนว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ประชาชนย่อมต้องมีสิทธิ์ตั้งคำถามว่าเหตุการณ์ความรุนแรงจะไปสิ้นสุดที่ใด และต่อจากนี้จะเกิดเหตุรุนแรงมากกว่าเดิมหรือไม่ เพราะตลอด 8 เดือนที่ผ่านมาที่รัฐบาลภายใต้การนำของ นายกฯ นกแก้วเข้ามามีอำนาจบริหารประเทศ ยังไม่มีการทำงานใดที่ออกมาเป็นรูปธรรมต่อปัญหาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ของไทยเท่าที่ควร ซ้ำร้ายดูเหมือนจะยิ่งถอยหลังลงคลองไปมากกว่าเดิมเสียอีก

อ่านต่อ...

"ประเสริฐ"คุยลั่นเห็นรูป "ทักษิณ" พบแกนนำป่วนใต้ อ้างคนให้ดูไปมาเลย์แล้ว ท้า"พร้อมพงศ์"พิสูจน์

นายประเสริฐ พงษ์สุวรรณศิริ ส.ส.ยะลา พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) ท้าให้นำรูปพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางไปเจรจากับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้มาเปิดเผยหลังจากอ้างข้อมูลดังกล่าวเพื่อตั้งกระทู้ถามสดน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในสภาผู้แทนราษฎร ว่า จริงๆมันมีอยู่แล้ว เพราะพ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนดังระดับโลก ไปที่ไหนคนก็รู้จัก "มีคนนำรูปดังกล่าวมาให้ผมดูเมื่อสองสัปดาห์ก่อนเป็นภาพพ.ต.ท.ทักษิณนั่งเป็นกลุ่มคุยกับแกนนำกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ คนที่นำรูปมาให้ดูอ้างว่าปริ๊นท์มาจากเว็บไซต์แห่งหนึ่ง" นายประเสริฐ กล่าวว่า เมื่อเกิดเหตุคาร์บอมบ์ใน จ.ยะลาและจ.สงขลาพร้อมๆกันกับพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และผู้บริหารธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ไปพบกับชาวไทยมุสลิมที่ไปเปิดร้านอาหารในมาเลเซีย ในชื่อชมรมต้มยำกุ้ง และเมื่อสอบถามจ.ยะลาที่มีญาติเป็นเจ้าของร้านอาหารในชมรมต้มยำกุ้ง 9 ใน 10 ยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณไปที่ประเทศมาเลเซียจริง "ผมจึงนำจิ๊กซอว์หลายๆอย่างมาต่อกัน เพราะคนอย่างพ.ต.อ.ทวี ถ้าไม่ใช่คนระดับสูงสั่งไม่มีทางที่จะไปประเทศมาเลเซีย จึงตั้งกระทู้ถามสดในสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ถึงตอนนี้คนที่นำรูปมาให้ผมดูไปประเทศมาเลเซียอยู่ หากกลับมาจะติดต่อขอรูปดังกล่าวมาแถลงข่าว"นายประเสริฐกล่าวและว่า"หากวันไหนได้รูปมาแล้ว จะเรียกนายพร้อมพงศ์มาฟังแถลงด้วย"

อ่านต่อ...

ปชป.อ้างรูป'แม้วคุยโจรใต้'ไม่อยู่กับตัว

ปชป. อ้างรูป "ทักษิณ" หารือแกนนำโจรใต้ ไม่อยู่กับตัว โบ้ยไม่ใช่เรื่องสำคัญ พล.อ.ชวลิตยังชูแนวคิดตั้งนครปัตตานีดอกไม้หลายสี 7เม.ย. 2555 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการที่นายประเสริฐ พงษ์สุวรรณศิริ ส.ส.ยะลา พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเปิดเผยมีภาพถ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เจรจากับแกนนำผู้ก่อความไม่สงบภาคใต้ จึงได้พยายามติดต่อเพื่อขอภาพถ่ายดังกล่าว แต่นายประเสริฐได้ชี้แจงว่าภาพที่ระบุนั้นไม่ได้อยู่กับตน แต่อยู่กับประชาชนในพื้นที่จังหวัดยะลา "และขณะนี้คนที่มีรูปภาพก็ได้เดินทางกลับไปทำงานที่ประเทศมาเลเซียแล้ว ซึ่งยังไม่สามารถติดต่อได้ ซึ่งหากประสานงานได้ก็จะนำภาพมาเปิดเผย ทั้งนี้ตนคิดว่าเรื่องภาพไม่ได้มีความสำคัญมากนัก" นายประเสริฐ กล่าว สายข่าวทางการระบุมือบื้มหาดใหญ่ยังกบดานในเขตไทย มีรายงานจากเจ้าหน้าที่ข่าวที่ติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มแกนนำและแนวร่วมในพื้นที่จ.สงขลา ว่า กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบที่ก่อเหตุลอบวางระเบิดโรงแรมลีการ์เดนส์ พลาซ่า ใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ยังคงซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ได้หลบหนีออกนอกประเทศ และการปฏิบัติการก่อวินาศกรรมใน อ.หาดใหญ่ ในครั้งนี้มีการรวมกลุ่มกันระหว่างแกนนำในพื้นที่จ.ปัตตานี และสงขลา ซึ่งเจ้าหน้าที่พอทราบความเชื่อมโยงของผู้ปฏิบัติการทั้งหมดแล้วทั้งระดับผู้สั่งการ แกนนำทั้งในพื้นที่จ.ปัตตานีและจ.สงขลา และอยู่ระหว่างการสืบสวนติดตามความเคลื่อนไหวและจับกุมซึ่งน่าจะมีข่าวดีในเร็วๆนี้ ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจ.สงขลา พ.ต.อ.เอกภพ ประสิทธิ์วัฒนชัย รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจ.สงขลา ซึ่งรับผิดชอบคุมคดีระเบิดโรงแรมลีการ์เดนส์พลาซ่า อ.หาดใหญ่ ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนเพื่อสรุปความคืบหน้าของคดีและการติดตามจับกุมคนร้ายที่ได้มีการออกหมายจับไปแล้ว ซึ่งแนวทางการสืบสวนเจ้าหน้าที่ยังคงมุ่งไปที่การติดตามจับกุม 2 คนร้ายตามหมายจับจากกล้องวงจรปิด ซึ่งเชื่อว่าเป็นนายเสรี แวมามุ และ นายรุสลัน ใบมะ โดยแบ่งทีมลงพื้นที่หาข่าวความเคลื่อนไหวของกลุ่มแนวร่วมที่อยู่ในเครือข่ายของ นายเจะหมะ วานิ แกนนำในจ.สงขลา เพื่อขยายผลไปยังคนร้ายทั้งสองคน พล.อ.ชวลิตยังชูแนวคิดตั้งนครปัตตานีดอกไม้หลายสีแก้ปัญหา ที่โรงแรมหรรษาเจบี อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในระหว่างเดินทางลงไปปฏิบัติภารกิจในพื้นที่จ.สงขลา เกี่ยวกับปัญหาความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า แสดงให้เห็นว่ายังแก้ปัญหาไม่ตรงจุดและไม่ตรงกับความต้องการของคนในพื้นที่ และยังสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งในประเทศ หากผู้ที่เกี่ยวข้องยังไม่รู้ว่าคนในพื้นที่ต้องการอะไรก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ทั้งนี้ตนยังคงยึดหลักแนวคิดการตั้งนครปัตตานีและแนวคิดดอกไม้หลากสีที่เคยพูดเคยเสนอไว้เพราะจะเป็นอีกทางออกหนึ่งในการแก้ปัญหาเนื่องจากเป็นความต้องการของคนในพื้นที่ซึ่งมีวัฒนธรรมและศาสนาเฉพาะเป็นของตนเอง ซึ่งแนวโน้มสถานการณ์ในพื้นที่ยังคงรุนแรงต่อไปหากยังไม่สามารถแก้ปัญหาหรือหาแนวทางที่เป็นความต้องการของคนในพื้นที่จริงๆมาดำเนินการ กมธ.วุฒิลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าช่วยผู้เดือดร้อน ความคืบหน้าเหตุระเบิดที่โรงแรม ลีการ์เด้นส์พลาซ่า อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา นายอนุศาสน์ สุวรรณมงคล โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและติดตามการแก้ไขปัญหาและการฟื้นฟูการพัฒนาตามวิถีวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ วุฒิสภา พร้อมคณะได้เดินทางมาติดตามสถานการณ์เหตุระเบิดที่โรงแรมลีการ์เด้นส์พลาซ่า เพื่อติดตามในส่วนของการช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งบาดเจ็บและเสียชีวิตรวมทั้งทรัพย์สินที่เสียหาย เคลียร์พื้นที่ใต้ลานจอดรถใกล้แล้วเสร็จ ส่วนความคืบหน้าการเคลื่อนย้ายรถยนต์ออกจากชั้นใต้ดินนั้นขณะนี้เหลือรถยนต์อีก 4 คันที่ยังรอเจ้าของมายืนยันรวมทั้งรถจักรยานยนต์ของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียอีก 2 คัน และซากรถยนต์ที่ใช้เป็นคาร์บอมบ์ ซึ่งทางตำรวจจะเข้าไปเคลื่อนย้ายออกมาขณะนี้พื้นที่บริเวณลานจอดรถได้เคลียร์พื้นที่ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว รอเพียงผลการยืนยันตรอจสอบโครงการว่าต้องแก้ไขอย่างไรบ้าง ขณะที่ทางโรงแรมได้เริ่มเข้าปรับปรุงในส่วนของโรงแรมเพื่อให้กลับมาเปิดบริการโดยเร็วที่สุดซึ่งคาดว่าอย่างช้าภายในวันที่1 พฤษาคมนี้ จากนั้นก็จะเร่งปรับปรุงในส่วนของห้างสรรพสินค้าที่เสียหายอย่างหนักต่อไป ผู้ว่าฯสงขลาต้อนรับนักท่องเที่ยว เมื่อเวลา15.00 น.นายกฤษฎา บุญราช ผู้ว่าราชการจ.สงขลา และภาคธุรกิจในจ.สงขลา ให้การต้อนรับกรุ๊ปทัวร์นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียกว่า1,200 คน ที่เดินทางด้วยรถบัสจำนวน30 คัน มาจากรัฐยะโฮบารูและรัฐปีนังเข้ามาท่องเที่ยวในอ.หาดใหญ่และจังหวัดใกล้เคียงในช่วงสุดสัปดาป์นี้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว ขณะที่นักท่องเที่ยวยังคงมีรอยยิ้มและชูนิ้วทักทายไม่แสดงความวิตกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและต้องการมาดูสถานการณ์จริงในหาดใหญ่ เร่งฟื้นฟูการท่องเที่ยวลดแลกแจกแถม นายสุรพล กำพลานนท์วัฒน์ นายกสมาคมสมาพันธ์ธุรกิจการท่องเที่ยวจ.สงขลา เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ยอดนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียและสิงคโปร์ลดลง40 เปอร์เซ็นต์ส่วนนักท่องเที่ยวชาวไทยยังคงปกติ ส่วนการฟื้นฟูธุรกิจการท่องเที่ยวในระยะสั้นตั้งแต่เดือนเมษายนถึงพฤษภาคมภาคธุรกิจการท่องเที่ยวจะจัดกิจกรรม5 ลดเช่นลดราคาโรงแรม ลดราคาสินค้า ร้านอาหาร สายการบินและแหล่งท่องเที่ยวต่างๆเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว เร่งช่วยเหลือเจ้าของร้านค้าในห้างลีการ์เด้นส์ ขณะเดียวกัน นายกฤษฎา ได้พบกับผู้ประกอบการค้าภายในห้างลีการ์เด้นส์พลาซ่าที่ร้านค้าเสียหายจากการถูกไฟไหม้เพื่อชี้แจงขั้นตอนการเยียวยาทรัพย์สินที่เสียหาย โดยในเบื้องต้นทางจังหวัดได้จ่ายเงินช่วยเหลือให้กับเจ้าของร้านค้าจำนวน41 รายรายละ15,000 บาท และในวันที่17-18 เมษายนจ่ายให้อีก25 เปอร์เซ็นต์และจะจ่ายให้ครบภายใน3 เดือนในรายที่มีเอกสารครบถ้วน ส่วนในรายที่เอกสารต่างๆเสียหายไปกับไฟไหม้ก็จะดูในเรื่องของบัญชีการเงินหรือใบเสร็จการจ่ายภาษีย้อนหลังหรือถ้าไม่มีเอกสารใดๆมายืนยันก็จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ นอกจากนี้ยังช่วยเหลือในเรื่องดอกเบี้ยMLRให้ลดเหลือ2.75 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งจะจัดหาสถานที่ขายของชั่วคราวให้ด้วยเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ส่วนกรณียนต์เสียหายและประกันไม่จ่ายนั้นทางภาครัฐจะเข้าไปรับผิดชอบให้ นักศึกษาประณามผู้ก่อเหตุ ส่วนที่ห้องประชุมบ้านซูซูกิ สถาบันทักษิณคดี จ.สงขลา เครือข่ายนักศึกษารักสันติ จาก10 มหาวิทยาลัยในภาคใต้ทั้งรัฐและเอกชนได้ออกแถลงการณ์ประณามผู้ที่กระทำการโดยใช้ความรุนแรงกับเหตุระเบิดที่เกิดขึ้น ทั้งในจังหวัดยะลาและที่อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และขอแสดงความเสียใจและขอไว้อาลัยแด่ผู้ที่เสียชีวิต และขอประณามผู้ที่กระทำการโดยใช้ความรุนแรง เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้ซึ่งมนุษยธรรม และเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรง ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินผู้บริสุทธิ์เครือข่ายนักศึกษารักสันติ ขอเรียกร้องต่อกลุ่มผู้ก่อการและผู้สนับสนุน ต้องตระหนักในความรับผิดชอบและขอให้หยุดการกระทำที่โหดร้าย รุนแรง อันส่งผลเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้บริสุทธิ์ หันกลับมาร่วมกันหาทางออกเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งทั้งปวง โดยสันติวิธีและเคารพในหลักสิทธิมนุษยชนและขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติการใช้ความรุนแรงที่ทำให้เกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินผู้บริสุทธิ์ โดยร่วมกันแสวงหาทางออกโดยสันติวิธี ขอให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายอดทน อดกลั้นต่อการยั่วยุของกลุ่มผู้ก่อการและยึดมั่นในแนวทางสันติวิธีและหลักนิติธรรมตามที่ได้ยึดถือมาต่อไป กก.อิสลามปัตตานี- มูลนิธิทนายวอนผู้ก่อเหตุยุติก่อการ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม องค์กรภาคประชาสังคมยกเลิก พรก. และองค์กรเครือข่ายได้ออกแถลงการณ์ร่วมถึงกรณีเหตุระเบิดที่ จ.ยะลา และ ที่ อ.หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยระบุว่า ขอแสดงความเสียใจต่อญาติพี่น้องและครอบครัวของผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว และขอเรียกร้องให้กลุ่มผู้ก่อเหตุยุติการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ ขอให้ทุกท่านได้ตระหนักต่อสิทธิของประชาชนผู้บริสุทธิ์ในการใช้ชีวิตและประกอบอาชีพอย่างปกติสุข และขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมกันแสวงหาทางออกร่วมกัน ขจัดความขัดแย้งไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งในอุดมการณ์ทางความคิดหรือความขัดแย้งทางการเมือง ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความสงบสุขและสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้กลับมาดั้งเดิม ผบช.น.มั่นใจสงกรานต์เมืองกรุงไร้ก่อการร้าย พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผล.ตร. เปิดเผยถึงมาตรการการเตรียมพร้อมป้องกันการก่อการร้ายในพื้นที่ภาคใต้ ภายหลังเกิดเหตุคาร์บอมบ์ จ.ยะลา และ จ.สงขลา ว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ออกแผนมาตรการดูแลป้องกันเหตุความรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้แล้ว โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยได้สั่งเจ้าหน้าที่ให้ตั้งด่านสกัดในพื้นที่ จ.สงขลา รวม 46 จุดเข้าออก 3 จังหวัดชายแดนใต้ เพื่อตรวจตราป้องกันการนำรถยนต์เข้าไปก่อเหตุ นอกจากนี้ได้จัดเตรียมทำพื้นที่เซฟตี้โซน 7 จุด ในย่านไทยพุทธที่มักจะตกเป็นเป้าหมายในการก่อเหตุ เพื่อให้รถยนต์จากนอกพื้นที่เข้าไปจอด ซึ่งถือเป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันเหตุคาร์บอมบ์ และหากประสบผลสำเร็จก็จะดำเนินการขยายไปให้ครบทั้ง 3 จังหวัดชายแดนใต้ ส่วนกระแสข่าวที่อาจจะมีความพยายามของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบจะเข้ามาก่อเหตุในพื้นที่นั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะพยายามป้องกันดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเต็มที่ โดย พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ จะเดินทางลงพื้นที่ภาคใต้อีกครั้งภายในสัปดาห์นี้ เพื่อตรวจดูความพร้อมในการป้องกันรักษาความปลอดภัยชายแดนใต้ พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. กล่าวถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่กรุงเทพฯว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลได้มอบนโยบายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกหน่วยจัดกำลังป้องกันทุกพื้นที่ อาทิ ตรอกข้าวสารและสีลม รวมทั้งพื้นที่อื่นๆ โดยสั่งให้ตรวจตราเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างเต็มที่ ขณะที่การข่าวการก่อการร้ายในพื้นที่กรุงเทพฯนั้น ขณะนี้ยังไม่มีอะไรน่าห่วง ทั้งนี้ อยากฝากขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนให้เล่นน้ำสงกรานต์อย่าเกินขอบเขต อีกทั้งไม่อยากให้เกิดเหตุซ้ำรอยอย่างกรณีการเต้นอนาจารของกลุ่มวัยรุ่นย่านสีลม ขณะที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจมีความพร้อมในการเตรียมการป้องกันเหตุอย่างเข้มงวดอยู่แล้ว และเชื่อมั่นว่าพื้นที่กรุงเทพฯจะไร้สถานการณ์เหตุความรุนแรง พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ รอง ผบช.น.กล่าวว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ได้มีคำสั่งให้ดูแลความปลอดภัยเป็นพิเศษ ซึ่งทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลได้จัดทำแผนเพื่อรักษาความปลอดภัยในทุกช่วงเทศกาลและทุกปี ซึ่งในปีนี้จะเน้นการตรวจตราให้มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเดินทางเข้ามาจำนวนมาก โดยเฉพาะถนนข้าวสาร และย่านสุขุมวิท ซึ่งมาตรการที่สำคัญคือ การตั้งด่านตรวจในทุกถนนทุกตรอกซอกซอย เพื่อเฝ้าระวังและสกัดกั้นเหตุความไม่สงบ โดยขอให้ประชาชนไม่ต้องตื่นตระหนกกับกระแสข่าว ขอให้เที่ยวให้สนุกในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้

อ่านต่อ...

วันศุกร์, เมษายน 06, 2555

ศาลมะกันจำคุก "วิคเตอร์ บูท" 25 ปี สมรู้ร่วมคิดขายอาวุธกองโจรโคลัมเบีย

เมื่อวันที่ 6 เม.ย. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกาว่า ศาลสหรัฐฯ ตัดสินจำคุก 25 ปี นายวิคเตอร์ บูท พ่อค้าอาวุธชาวรัสเซีย ข้อหาสมรู้ร่วมคิดขายอาวุธจำนวนมากให้กับกลุ่มกองโจรต่อต้านอเมริกันในประเทศโคลัมเบีย โดยนายวิคเตอร์ บูท วัย 45 ปี ถูกกล่าวหาว่า ขายอาวุธให้กลุ่มกองโจรในพื้นที่ขัดแย้งและนองเลือดที่สุดในโลกและยังเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์ โดยมี “นิโคลัส เคจ” รับบทพ่อค้าอาวุธในเรื่อง “ลอร์ด ออฟ วอร์”

มื่อปี 2548 แม้อัยการได้ร้องขอให้ศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิต แต่ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐ ชิรา ชไนด์ลิน ตัดสินให้ลงโทษจำคุก 25 ปี โทษสถานเบาตามความผิด 1 กระทง และอีก 15 ปีสำหรับความผิด 3 กระทงซึ่งศาลเห็นว่าเขาผิดจริง และให้เริ่มนับไปพร้อมกัน โดยจะนำตัวเขาไปคุมขังไว้ที่เรือนจำในนิวยอร์ก ผู้พิพากษา ชไนด์ลิน กล่าวด้วยว่า โทษจำคุก 25 ปี ถือว่าเพียงพอแล้ว ภายใต้สถานการณ์จำเพาะของคดีนี้ อันเป็นผลมาจากปฏิบัติการลับของเจ้าหน้าที่ ขณะที่นายวิคเตอร์ บูท กล่าวผ่านล่ามว่า ไม่ได้ทำผิด และเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่เคยมีเจตนาไปฆ่าใคร และไม่เคยขายอาวุธให้ใคร ส่วนภรรยาและบุตรสาววัย 17 ปี ก็ได้เขียนจดหมายถึงศาลอ้างว่า สามีและพ่อเป็นผู้บริสุทธิ์ นายวิคเตอร์ บูท ถูกส่งตัวในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนจากประเทศไทยมาให้สหรัฐฯ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2554 ตามความผิด 4 กระทง ข้อหาสมรู้ร่วมคิดขายอาวุธให้กับกลุ่มก่อการร้ายเพื่อสังหารทหารอเมริกัน

อ่านต่อ...

บทสัมภาษณ์'พัลลภ'จวกเจรจาเข้าทางโจรใต้

“พล.อ. พัลลภ ปิ่นมณี” ที่ปรึกษานายกฯ จัดหนัก ตีแสกหน้า ผิดหลักการ ระดับสูงคิด : เจรจายุติได้ แต่ดันไปเข้าทาง 'โจรใต้' : สัมภาษณ์พิเศษ โดยไทยอินไซเดอร์ “เหตุวินาศกรรม” ที่จ.ยะลา และอ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา ก่อให้เกิดคำถามตามาอย่างมากมาย ว่า “ความรุนแรง...จะกลับมาอีกแล้วหรือ” แต่เมื่อ “หลายฝ่าย” พยายามตรวจสอบข้อเท็จจริง...ก็ปรากฏว่า “มูลเหตุสำคัญ” คือ การเปิดโต๊ะเจรจากับ “กลุ่มโจรที่ก่อความไม่สงบ” ของ “ทางการไทย” “ถาวร เสนเนียม” ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตรมช.มหาดไทย ที่เกาะติดปัญหาชายแดนภาคใต้มาตลอด ถึงกับกล้าแฉกลางสภาฯ เมื่อวันที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมาว่า “วันที่ 22 ก.พ. 2555 การข่าวที่เชื่อถือได้พบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปพบผู้ก่อความไม่สงบ 18 คน ที่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยต้องการพบ นายสะแปอิง บาซอ แต่เขาไม่ให้เกียรติมาพบ เพราะเขารู้ว่า ต้องการตบหัวแล้วลูบหลัง ซึ่งมีการเสนอเงินก้อนหนึ่งให้เขาเพื่อยุติ ซึ่งเป็นความหวังดีแต่ขาดเอกภาพระหว่างฝ่ายความมั่นคงกับการเมือง ครั้งที่ 2 วันที่ 17 มี.ค. 2555 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไปด้วย แต่เขามา 15 คน เจรจากันไป-มา ฝ่ายมั่นคงไม่รับทราบ เป็นเหตุให้ ผบ.ทบ. ออกอาการ” นั่นหมายความว่า “ทักษิณ” ดึงน้องสาว “ยิ่งลักษณ์” ในฐานะนายกรัฐมนตรี...ไปเจรจาด้วย และทำไม...ถึงเกิดเหตุร้ายขึ้นได้ ไทยอินไซเดอร์ สัมภาษณ์ “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี” ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ในฐานะอดีตรองผู้อำนวยการรักษาความไม่สงบภายใน (รองผอ.กอ.รมน.) ผู้ซึ่งคลุกคลีกับปัญหาภาคใต้มาโดยตลอด หลายคำพูดจาก “ปากเขา” สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า “รัฐบาลพี่คิด-น้องทำ”...ใช้คนไม่ถูกกับงาน และการดอดไปเจรจาในครั้งนี้ ก่อให้เกิดความผิดพลาดอย่างไร??? จากนี้ไปคือ “คำตอบ” ไทยอินไซเดอร์ : ในฐานะที่เคยทำงานแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ มีความคิดเห็นอย่างไรกับเหตุการณ์คาร์บอมบ์ครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้น พล.อ. พัลลภ : ได้ดู “ผบ.ทบ.” (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ท่านคอมเม้นท์แล้วว่า “การเจรจามันผิดกฎหมาย” สำหรับผมก็มองลักษณะเดียวกัน แต่ผมมองว่า...ไปเจรจาเท่ากับเราไปยอมรับขบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมาย พอยอมรับปั๊บ...ต้องเข้าใจว่า “ขบวนการโจรก่อการร้ายภาคใต้” มันพยายามจะเข้าไปเป็นสมาชิกโอไอซี (องค์การการประชุมอิสลาม : Organisation of the Islamic Conference / มีสมาชิกราว 57 ประเทศ ประชากรรวมกว่า 1.2 พันล้านคน ทั้งในตะวันออกกลาง แอฟริกา เอเชียกลาง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ อเมริกาใต้ โดยใช้ภาษากลางคือ ภาษาอารบิก ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระดมสรรพกำลัง ปกป้องผลประโยชน์ของชาติสมาชิก รวมถึงการพูดเป็นเสียงเดียวกันในเรื่องสำคัญๆ ในเวทีสากล) มา 2 ครั้งแล้ว แต่ว่าเงื่อนไขเขามี 3 ประการ...อันแรกคือมีการจัดตั้งที่แน่นอน...วันนี้เขามี ก็รู้อยู่ใครเป็นใคร อันที่สอง มีการสู้รบในพื้นที่...อันนี้ก็มี อันที่สาม นี่แหละที่เขาขาด คือการเจรจากับเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐ คล้ายๆ เราไปยอมรับขบวนการเขา ถ้าเขาครบ 3 ข้อ เราไปเจรจาปั๊บ เขาจะถือว่าเป็นข้อที่สาม เขาจะเข้าไปเป็นสมาชิกโอไอซี มุสลิม 57 ประเทศ เราก็อยู่ในภาวะที่หนักละ “57 ประเทศ”...เขาก็จะรุมเรา อันนี้ผมห่วง ห่วงมากเลยที่เขา (หมายถึงรัฐบาลไทย) ไปเจรจา ไทยอินไซเดอร์ : การที่รัฐบาลไปเจรจาเท่ากับเป็นการไปยกระดับความสำคัญให้กับโจรก่อการร้าย ที่สามารถสร้างเงื่อนไขใช้ต่อรองกับรัฐบาล พล.อ. พัลลภ : ก็ได้ การเจรจา...ถ้าตามข่าวท่านรองนายกฯคนหนึ่ง (หมายถึงพล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา) ท่านก็บอกแล้วนี่ครับ ท่านให้สัมภาษณ์ออกอากาศว่า ท่านส่งเลขาฯศอ.บต. (พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง) ไปเจรจาทางลับกับโจร แล้วท่านยังบอกว่า 3 เดือนยุติ แต่ผมมองว่า...มันไม่ใช่ มันจะเป็นเงื่อนไขให้เขาเข้าสมาชิกโอไอซีได้ แล้วเราจะลำบาก พอเข้าได้ปั๊บลองคิดดูสิ 57 ประเทศเขามารุมเรา ขนาดนี้เราแทบจะตายอยู่แล้ว ผมมองแบบนั้น ผมถึงห่วง ห่วงว่ามันจะเสีย แล้วเสียจริงๆ ถ้าเขาเข้าเป็นสมาชิกได้นะ ไทยอินไซเดอร์ : การแก้ไขปัญหาความไม่สงบที่ผ่านมา มักใช้แนวทางการเมืองนำการทหาร การเจรจาโดยสันติวิธีถือเป็นวิธีการหนึ่งหรือไม่ พล.อ. พัลลภ : มันไม่ใช่ มันเป็นการที่เราไปยอมรับกระบวนการ เรื่องนี้เราไม่ยอมรับว่าเป็นกระบวนการก่อการร้าย เราไม่ยอมรับ ถ้ายอมรับ...เขาก็จะมีอิสระ จะเข้าโอไอซี วันนี้ถ้าไปเจรจา มันเท่ากับเรายอมรับเขา วันนี้เราไม่ยอมรับ เราถือว่าพวกนี้เป็นกบฏแบ่งแยกดินแดน ไทยอินไซเดอร์ : การดำเนินการแก้ไขปัญหา จะต้องใช้หลักกฎหมาย ใช้กฎหมายอาญาถ้ากระทำความผิด พล.อ. พัลลภ : ใช่ครับ การดำเนินการต้องตามกฎหมายอาญา ทีนี้ผมเนี่ย...เคยเป็นหัวหน้ากองโจรมาเก่า ผมเคยไปรบในเวียดนาม เพราะฉะนั้นวันนี้...ในภาคใต้มันเป็นสงครามกองโจรเต็มรูปแบบ ตามแผนบันได 7 ขั้น มันอยู่ขั้นที่ 7 แล้ว คือขั้นที่ 7 มีแกนนำ 300 คน กองกำลังติดอาวุธ 3,000 คน แนวร่วม 30,000 คน เขาถึงทำแบบนี้ได้ เพราะฉะนั้น...หลักการเราต้องยอมรับว่า วันนี้มันเป็นสงครามกองโจรเต็มรูปแบบ เมื่อเป็นสงครามเต็มรูปแบบตามหลักของทหารเขามี 3 ขั้นตอนในการปราบปรามกองโจร อันแรกคือ Search หมายถึง...เราค้นหาแยกให้ได้ว่า อันไหนเป็นแกนนำ อันไหนเป็นกองกำลังติดอาวุธ อันที่สองคือ Destroy หมายถึงว่า...เราก็ต้องทำลายกองกำลังพวกนี้ ถ้าเขามอบตัว เราก็ปฏิบัติไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่ถ้าไม่มอบตัว เราต้องปราบปราม เพราะเขาถืออาวุธ และการจะชนะสงครามภาคใต้ได้ เราต้องเอาประชาชนมาเป็นพวกให้ได้ วันนี้เขาถือปืนคุมประชาชนอยู่ เพราะฉะนั้นเราจะทำยังไง ถ้าเขาสู้ก็ต้องปะทะกัน แต่ถ้าเขามอบตัว ก็ว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม ข้อที่สามคือ Deconstruction คือการบูรณาการ มันต้องมาอยู่ขั้นที่สาม ทีนี้วันนี้ของเรามันอะไรก็ไม่รู้ มันเกิดมี 3 หัวขึ้นมา คือ 1.ทหาร คือ กอ.รมน. 2.ศอ.บต.ทำด้านพัฒนา 3.ศปก.ตร.อันนั้นเขาทำด้านสอบสวนสืบสวน เพราะฉะนั้นตามหลักของทหาร ตามหลักยุทธวิธีทั่วไป ถ้าเรายอมรับว่า...วันนี้ภาคใต้เป็นสงครามกองโจร เราถือว่าเป็นยุทธภูมิหนึ่งของการรบ เพราะฉะนั้นมันจะต้องมี 1 Commander เท่านั้น...ไม่ใช่ 3 Commander ไทยอินไซเดอร์ : การแก้ไขปัญหาควรมอบหมายให้ฝ่ายทหารเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ พล.อ. พัลลภ : คือ...ทหาร แบบนั้นมันก็เป็นหลักทางทหาร จะเล่าให้ฟัง...เมื่อปี 2520 ก็เกิดลักษณะแบบนี้ ตอนนั้นมี 3 โจร มีจีนคอมมิวนิสต์ด้วย ที่ผมลงไป สถานการณ์ก็แรงแบบนี้แหละ ทางรัฐบาลก็ตั้งพล.อ.เทียนชัย ศิริสัมพันธ์ (อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรมว.ศึกษาธิการ และอดีตหัวหน้าพรรคราษฎร) ตั้งกองอำนวยการรักษาความสงบชายแดนภาคใต้ขึ้นมา พล.อ.เทียนชัยไปเป็นผอ. แล้วทหาร ตำรวจ ผู้ว่าฯ ขึ้นกับกองอำนวยการนี้หมดเลย ผมไปเป็นผู้บังคับหน่วยทหาร มันต้องออกเป็นลักษณะ 1 Commander ถ้ามันเป็น 3 Commander แบบนี้มันก็ต่างคนต่างทำ อย่างผบ.ทบ.ลงไปเนี่ย คุณว่าเขาสั่งใครได้ ก็สั่งได้แต่ทหารใช่มั๊ย ผบ.ตร.ลงไปก็สั่งได้แต่ศปก.ตร. รมว.มหาดไทยลงไป สั่งได้ศอ.บต. เนี่ยงาน...ผมว่า “มันไม่ถูก” ไทยอินไซเดอร์ : ถ้ามีการบอกว่ายุทธศาสตร์และสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้มันต่างจากอดีต การแก้ไขปัญหาย่อมมีการปรับเปลี่ยนไปด้วยหรือไม่ พล.อ. พัลลภ : มันจะต่างจากอดีตไปไม่ได้หรอกครับ เพราะว่าภาคใต้มันยืดเยื้อมานาน การปฏิบัติการ...เขาก็เป็นแบบเดิม ไม่มีอะไรพิเศษขึ้นมา เพียงแต่ว่าวันนี้เขาสามารถจัดกองกำลังได้ จัดอะไรก็ได้ตามเป้าที่เขาวางไว้เท่านั้นเอง ไทยอินไซเดอร์ : สถานการณ์ที่ยืดเยื้อมาจนถึงวันนี้ กลุ่มแนวร่วมที่อยู่ในขบวนการก่อความไม่สงบมีมากขึ้นหรือน้อยลง เพราะรัฐบาลเองก็อ้างว่า สามารถจับกุมตัวผู้กระทำผิดได้มากขึ้น การก่อการน้อยลง แต่เหตุการณ์กลับยังเกิดขึ้นอยู่และรุนแรงมากขึ้น พล.อ. พัลลภ : อย่างที่ผมบอก เขาเพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อย เพราะว่าวันนี้มันมาบันไดขั้นที่ 7 ในการทำสงครามกองโจร เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องเพิ่มความรุนแรงขึ้นมา เพื่อให้เราไปเจรจากับเขา เพราะวันนี้ทางเจ้าหน้าที่ที่ไม่รู้เรื่อง พูดง่ายๆ...“ระดับสูง” คิดว่าการเจรจาจะเป็นทางที่ยุติได้ ก็ไปเจรจา มันก็จะเข้าทางเขา เพราะเขาพยายามเข้าโอไอซีมา 2 ครั้งแล้ว มันขาดข้อที่สาม เพราะฉะนั้นวันนี้ที่มันเกิดเหตุการณ์รุนแรงอะไร เขาต้องการให้เราไปเจรจากับเขา เจรจากับเขาปั๊บ...มันเข้าข้อที่สาม เขาก็เข้าเป็นสมาชิกโอไอซีได้ ทีนี้เราก็อยู่ลำบากละ ไทยอินไซเดอร์ : รัฐบาลยอมรับเองว่า มีการไปเจรจาจริง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้กลุ่มที่ไม่ได้เข้าร่วมการเจรจาไม่พอใจ จนก่อเหตุสร้างสถานการณ์ครั้งล่าสุดเพื่อแสดงศักยภาพ พล.อ. พัลลภ : คืออย่างนี้ โจรก่อการร้ายภาคใต้มีหลายกลุ่ม เวลานี้กลุ่มที่กุมอำนาจจริงๆภาคใต้ คือ “บีอาร์เอ็น โคออดิเนต” แต่ที่ไปคุยเมื่อเร็วๆนี้ ไปคุยกับ “พูโลเก่า” จำได้มั๊ยเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ที่มีพล.อ.คนหนึ่ง (หมายถึงพล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร) เอาไอ้พวกนี้มาออกทีวี นั่นก็ตัวปลอม วันนั้นพอแถลงข่าวแบบนั้นมันก็ระเบิด 11 จุดในภาคใต้ ลักษณะแบบเดียวกัน คือเขาต้องการผลักดันให้เราเจรจากับเขา...คือเป้าหมายหลัก อันที่สองก็คล้ายๆว่าเขาชิงการนำในพวกเขาอยู่ เพราะมีหลายกลุ่ม พูโล...พูโลใหม่ แต่วันนี้ “บีอาร์เอ็น โคออดิเนต” เป็นตัวหลักอยู่ ไทยอินไซเดอร์ : รัฐบาลรู้หรือไม่ว่า “บีอาร์เอ็น โคออดิเดต” คือกลุ่มหลัก เหตุใดจึงไปเจรจากับอีกกลุ่มแทน พล.อ. พัลลภ : ผมก็ไม่เข้าใจเขาเหมือนกัน เพราะว่า “ข้อมูล” เขาได้มาอย่างไร...ผมไม่อยากจะพูด คือ “ข้อมูลเขา” กับ “ข้อมูลผม” มันคนละแบบ ผมอยู่ในพื้นที่ภาคใต้มาเยอะ วันนี้ลูกน้องผมก็ยังอยู่หมดในภาคใต้ เขาก็ส่งข้อมูลมาให้ผมอย่างนี้ ไทยอินไซเดอร์ : สถานการณ์ความรุนแรงที่กลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะการใช้คาร์บอมบ์ที่มีอานุภาพในการทำลายล้างสูง นอกจากต้องการสร้างเงื่อนไขเข้าสู่การเป็นสมาชิกโอไอซีแล้ว เป็นเพราะสาเหตุใด พล.อ. พัลลภ : ผมจะบอกให้นะ พวกตัวๆแกนหลักที่ทำการอยู่ภาคใต้ พวกนี้ไปอาสาสมัครรบที่อัฟกานิสถานมานะ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เขาเก่ง ลองไปเช็คดูเถอะมีเยอะเลย อาสาสมัครไปรบที่อัฟกานิสถานแล้วกลับมา ขบวนการนี้มันถึงเข้มแข็งขึ้นมา อาสาสมัครไปนามกลุ่มตาลีบัน อัฟกานิสถานก็รู้ว่า...พวกตาลีบันรบกับพวกอเมริกา นั่นแหละ พวกนี้สมัครไปเยอะ แล้วตอนนี้กลับเข้ามา ไทยอินไซเดอร์ : เป็นการไปฝึกเอาประสบการณ์มาใช้ก่อเหตุในไทย พล.อ. พัลลภ : เขาไปรบจริงๆ อาสาสมัครรบเลย ร่วมกับทหารอัฟกานิสถาน กับตาลีบัน ร่วมรบแล้วตอนนี้เขากลับมาเยอะ ลองไปเช็คดู คุยกับพวกภาคใต้จะรู้ ไทยอินไซเดอร์ : การไปรบแบบนี้จะมีการโยงไปถึงการก่อการร้ายสากลเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ พล.อ. พัลลภ : ไม่ๆๆ ไม่มีต่างชาติเข้ามายุ่งเลย เรื่องนี้มันมีเป็นร้อยๆปีแล้ว กบฏแบ่งแยกดินแดน พูดง่ายๆสมัยรัชกาลที่ 6 มา เขาก็ตั้งเป็นขบวนการขึ้นมา ไทยอินไซเดอร์ : ส่วนตัวมองสถานการณ์ดีขึ้นหรือไม่ พล.อ. พัลลภ : ผมว่า “ครั้ง” (หมายถึง “ปริมาณการก่อเหตุ”) มันน้อยนะ แต่ความรุนแรงมันสูงขึ้น อย่างคราวหลังนี่เห็นมั๊ย มันบาดเจ็บล้มตายเป็นร้อย ตอนผมอยู่ที่นั่น 4-5 ปี แทบไม่มีเลยรู้มั๊ย ผมอยู่ตั้งแต่ปี 2520-2524 ตอนนั้นเหตุการณ์ก็แบบนี้ พอ 6 โมงเย็นก็ไม่มีรถวิ่งแล้ว ปัญหาที่ผมลงไปคือปัญหาที่เขื่อนบางลาง ที่บันนังสตา มันสร้างไม่ได้ เพราะโดนพวกโจร ทั้งระเบิด...ทั้งอะไร จนนายช่างหนีหมด ทางกองทัพก็สั่งให้ผมลงไป ผมถึงไปอยู่ที่นั่นถึง 5 ปี จนกระทั่งเขื่อนเสร็จ แล้วช่วงผมอยู่ 4-5 ปี ผมนับได้เลยว่า ทหารผมบาดเจ็บล้มตายมีไม่กี่คนจริงๆ ส่วนมากที่ตายเยอะก็โจร แล้วก็เงียบ...เงียบมาตลอดเลย จนกระทั่งมาปี 2547 ที่เราต้องถอนทหารออกมาแล้วให้ตำรวจเข้าแทน มันก็เลยลุกลามใหญ่โตมาจนทุกวันนี้ ไทยอินไซเดอร์ : วันนี้เป็นเพราะไม่มีกำลังทหารเพียงพอหรือไม่ พล.อ. พัลลภ : ไม่ใช่ไม่มีทหารเพียงพอหรอก ให้ผมพูดมัน...ทหารก็เข้าไปเยอะนะ สมัยผมอยู่ทหาร ตำรวจ ผมมี 3 พันเท่านั้นเอง วันนี้ 3 หมื่น... 3 พัน ผมยังเอาอยู่ได้เลย คือพูดไปก็ขายกองทัพ ผมไม่อยากพูด ขายกองทัพ ขายน้องเขา ไทยอินไซเดอร์ : ปัญหาเกิดจากการบริหารจัดการภายในกองทัพใช่หรือไม่ พล.อ. พัลลภ : เอาอย่างนี้ดีกว่า ว่างๆนะ วันไหนลองลงไปสิ สักทุ่มนึง...น้องลองขับรถดูถนน จะเห็นว่ากลางถนนจะมีแต่กรวยวาง ไม่มีคนอยู่หรอก ทุกคนหนีเข้าบังเกอร์หมดพอค่ำ เขาก็มาตอนนั้นแหละ ตอนสมัยเกิด “กรือเซะ”...ปล้นปืน ผมลงไป บางที 2 ทุ่ม 3 ทุ่ม 4 ทุ่ม ผมจะออกรถตระเวนไล่พวกนี้ มันจะหลบเข้าหมด กลางถนนมีแต่กรวย...โอกาสนี้โจรมันก็มันขนวัตถุระเบิด ขนรถคาร์บอมบ์เข้ามา ผู้บังคับบัญชาเขาไม่เข้มงวด ไม่กวดขัน ไม่อะไร เพราะฉะนั้นพอค่ำลง มันก็หลบเข้าบังเกอร์หมด ไทยอินไซเดอร์ : สถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น มักมีการเชื่อมโยงไปถึงนักการเมืองในพื้นที่ที่ร่วมอยู่ในขบวนการ มีความเป็นได้มากน้อยเพียงใด พล.อ. พัลลภ : ผมไม่คิดว่าเป็นอย่างนั้นหรอก ต้องคิดว่าขบวนการนี้มันมีมาตั้งแต่...พูดง่ายๆคือปี 2310 พอเราเสียกรุงศรีอยุธยา รัฐปัตตานีแยกเป็นอิสระอยู่ 15 ปี พอมาสมัยรัชกาลที่ 1 พระองค์ก็ใช้กรมพระราชวังบวรฯยกทัพจากนี่ เดินทัพไป 3 เดือนไปปราบอยู่ 3 ปี จนเอาปัตตานีกลับมาอีกครั้งหนึ่ง แล้วมันก็เป็นอย่างนี้มาเรื่อย พอมาสมัยรัชกาลที่ 6 ท่านเลิกเจ้าเมืองปัตตานี ตั้งเป็นเทศาภิบาล เขาก็ไม่ยอมก่อการกบฏ ท่านก็ส่งกำลังไปปราบ เขาก็หนีไปประเทศเพื่อนบ้าน แล้วก็ตั้งขบวนการนี้ขึ้นมา ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ก็เรื่อยมาเรื่อย จนเห็นว่าวันไหนอำนาจรัฐเราอ่อนแอ ประเทศเรานั่นปั๊บ พวกนี้จะแข็งแรงขึ้นมา มาเป็นร้อยๆปีแล้ว มันไม่ใช่ว่าเพิ่งเป็น แต่ตอนนี้มองว่าเหตุการณ์ที่ระเบิดมันรุนแรง มันขึ้นมาถึงหาดใหญ่ ซึ่งมันไม่เคยมี ไทยอินไซเดอร์ : การก่อเหตุที่หาดใหญ่ เป็นการส่งสัญญาณหรือไม่ว่า จะต้องมีการดูแลเมืองใหญ่ทั่วประเทศ พล.อ. พัลลภ : ไม่หรอกครับ ก็แค่นั้นครับ เขาต้องการแค่นั้น คืออย่างที่ผมบอก...พอเราส่งคนไปเจรจา เสร็จแล้วไปเจรจาผิดตัวด้วย คราวนี้ตัวที่เป็นตัวใหญ่จริงๆ ที่อยู่ใน “บีอาร์เอ็น โอคอดิเนต” แต่ที่ไปเจรจาไปเจรจากับ “พูโลเก่า” มันก็กดดันให้เราไปเจรจาเพื่อเข้าสู่ “โอไอซี” ให้ได้ ผมมองว่าอย่างนั้นนะ จะเห็นว่ามันมีอย่างนี้มาบ่อย อย่างที่ยกตัวอย่างว่าเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ที่มีพล.อ.คนหนึ่งที่ไปเอาพวกนี้มา มันก็ระเบิด 11 จุดทั่วจังหวัดภาคใต้เลย นั่นแหละแบบเดียวกัน ไทยอินไซเดอร์ : มีการกล่าวหาว่า ส่วนหนึ่งที่เหตุการณ์ยังไม่สงบ เป็นเพราะกองทัพ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับงบประมาณก้อนโตที่ได้รับในแต่ละปี พล.อ. พัลลภ : ผมไม่คิดอย่างนั้นหรอกครับ ผมคิดแต่อย่างนี้ แนวความคิดผม...ว่า กองกำลังทหารที่ไป เอาจากต่างถิ่นไป เช่นเอาจากแถวภาคอีสานไป พวกนี้ก็ไม่รู้จักขนบธรรมเนียมประเพณี เพราะฉะนั้นการทำงานก็ลำบาก ภาษาก็ไม่รู้ ถ้าเป็นแนวคิดของผม จะต้องใช้คนในภาคใต้ ทหารในภาคใต้ในการปราบปราม เพราะว่าเรื่องนี้สำคัญ คือลักษณะภูมิประเทศกับภาษา วัฒนธรรมประเพณี มันเป็นปัจจัยหนึ่งในการทำงานเกี่ยวกับการปราบปราม สมมติไปจากอุดรฯได้ข่าวระเบิดทุกวัน คนตายทุกวัน มันไปถึงปั๊บ เขาพูดภาษาอะไรมันก็ไม่รู้แล้ว ภูมิประเทศก็ไม่ชำนาญ พอจะชำนาญก็กลับละ เอาชุดใหม่ไปแล้ว ถ้าแนวคิดของผมจะใช้ทหารในภาคใต้ ไทยอินไซเดอร์ : มีการยกเหตุการณ์กรือเซะ ตากใบ ขึ้นมากล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้สถานการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้น ต่อเนื่องเป็นลำดับมา พร้อมกับการระบุว่าตัวท่านเอง และพ.ต.ท.ทักษิณคือสัญลักษณ์ของความรุนแรงใน ภาคใต้ มีความรู้สึกอย่างไร พล.อ. พัลลภ : กรณีกรือเซะ...เขาเป็นฝ่ายมาโจมตีผมนะ วันนั้นประมาณตี 5 วันที่ 28 เม.ย. 2545 เขาโจมตีผมทั่ว 3 จังหวัดใต้ 10 จุด ใช้กำลังไม่ต่ำกว่า 300 คน อาวุธพร้อม แล้ววันนั้นทั้งหมด 10 จุดเขาตาย 106 คน จับเป็นได้ 6 คน เราตาย 8 คน บาดเจ็บ 97 คน เฉพาะกรือเซะ...(คนของ)ผมตาย 3 คน สาหัส 8 คน (คนของ)เขาตาย 32 คน ผมตั้งข้อให้สังเกตอย่างนี้ว่า “ลักษณะกองโจร” ปกติเขาใช้คำว่า Hit & Run คือตีแล้วหนี วันนั้นตี 5 เขามาตีป้อมตำรวจที่กรือเซะ ฆ่านายดาบตำรวจตาย ตำรวจอีก 2 คนบาดเจ็บสาหัส เผาป้อม เผารถมอเตอร์ไซค์ ทำไมเขาไม่หนีเข้าป่าไปยึดกรือเซะทำไม แล้วในกรือเซะวันที่ผมยึดได้ มีข้าวมีน้ำจำนวนมาก ลองคิดดูสิทำไม แสดงว่าเขาต้องมีแผนอะไรอย่างหนึ่ง แผนของเขา...ผมบอกแล้วว่า ผมเป็นหัวหน้ากองโจรเก่า ผมรบในเวียดนามเหนือมาหลายปี เพราะฉะนั้นผมรู้ลักษณะกองโจร ทำไมเขายึด ไม่หนีเข้าป่า หนีไปก็จบแล้ว ตามหลักกองโจรทั่วไป Hit & Run ทำไม...??? ที่เขาทำแบบนั้นเพราะอะไร ผมอ่านออก แล้วก็สอบถามตรงกับที่ผมคิดไว้แต่แรก ผมถึงเข้ากวาดล้างก่อนมืด ถามไอ้ 6 คนที่จับได้ เขาบอกว่า...เขาสั่งไว้ว่าจะใช้กรือเซะเป็นกองกำลังบัญชาการก่อการจลาจลทั่ว ภาคใต้ เพราะฉะนั้นอีก 9 จุดที่ตีแล้วให้มารวมที่กรือเซะ เพราะฉะนั้นกรือเซะจะมีทั้งน้ำ 500-600 ขวด ข้าว 500-600 กล่อง เขาต้องการทำแบบนั้น แผนเขาง่ายๆอะไรรู้มั๊ย เขาดึงมวลชนเข้ามา คุณจะเห็นว่าตอนผมตัดสินใจ ประชาชนมาล้อมกรือเซะประมาณ 4-5 พันคนแล้ว แล้วผมอยู่ภาคใต้มา ผมรู้ปฏิกิริยาแบบนี้ “อะไรจะเกิดขึ้น” ผมไม่ใช่คนต่างถิ่นเข้าไป ผมอยู่ที่นั่นมานาน คือแผนเขา พอค่ำลง เขาพร้อม...ผมก็วิทยุไปหาแม่ทัพภาค 4 ขอกำลังมาคุ้มกันประชาชน คุณเชื่อมั๊ย...เขาให้ผมมา 20 คน มาคุ้มกันคน 4-5 พัน ให้มา 20 คน ผมถามว่าทำไมให้แค่นี้ เขาบอกวันนั้นมันตี 10 จุดไง กำลังกระจายหมดเลย ไปไหนไม่ได้เลย มันก็ได้มา 20 คน ของเก่าผมมี 30 คน ก็เป็น 50 คน รบพิเศษผมกับตำรวจ คือแผนเขาเนี่ย เขาฮือเข้ามา เป็นคุณ คุณทำไง คุณก็ต้องยิงป้องกันตัวใช่มั๊ย เขาก็จะบาดเจ็บล้มตาย เขาก็จะเอาอันนี้เป็นจุดก่อจลาจล ว่าเรายิงประชาชนผู้บริสุทธิ์ คุณมองออกหรือยัง ผมถึงต้องตัดสินใจว่า ทำให้เสร็จก่อนค่ำ แล้วเรื่องนี้ญาติพี่น้องเขาไปฟ้องผมที่ศาลปัตตานี ผมไปขึ้นศาลปัตตานีมาแล้ว แต่เขาฟ้องผมข้อหาอะไรรู้มั๊ย เขาไม่ได้บอก “ผมฆ่าคนตาย” เขาบอกว่า “ผมทำเกินกว่าเหตุ” ใช้ระเบิดมือไป 8 ลูก ผมไปขึ้นศาลมา เขาตั้งทนายมา 5 คน แล้วญาติพี่น้องเขามาเต็มหมด พอไปถึงศาลเขาตั้งข้อหาผม คุณเคยดูหนังสงครามมั๊ย ผมก็ถามผู้พิพากษา...พอตั้งข้อหา ผมก็ถามผู้พิพากษา ท่านเคยดูหนังสงครามมั๊ยครับ ผู้พิพากษาพยักหน้าบอกเคยดู เพราะฉะนั้นเมื่อข้าศึกอยู่ในตึกอาคารที่แข็งแรง บังเกอร์ที่แข็งแรง อาวุธประจำกายเราเป็นอาวุธที่ยิงตรง ไม่สามารถทะลุทะลวงเข้าไปได้ เพราะฉะนั้นเขาต้องใช้ระเบิดมือกันทั้งนั้นแหละครับ มันเป็นหลักสากล กรือเซะหินแข็งปั๊กเลย มันเลยจำเป็นต้องใช้ระเบิดมือ อันนี้มันเป็นหลักสากล ทหารทั่วไป เป็นยุทธวิธีเลย ผมก็เล่าให้ผู้พิพากษาฟัง ผู้พิพากษาก็ยกฟ้อง ทนาย 5 คนมาขอโทษผม จับมือผม ญาติเขาก็ยกมือไหว้ เนี่ยมีแค่นี้เอง ไทยอินไซเดอร์ : ยังมีการนำประเด็นนี้ขึ้นมาโจมตีอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ จะแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร พล.อ. พัลลภ : เอาอย่างนี้...ภาคใต้คือพรรคประชาธิปัตย์ แล้วอีกอย่างแนวร่วมขบวนการโจรก่อการร้าย เขาไม่อยากให้ผมลงไป คุณลองไปถามคนภาคใต้ที่อายุ 40 ปีขึ้นไปสิ ถามไม่มีใครไม่รู้จักผู้พันพัลลภ เนี่ยระเบิดที่เพิ่งเกิดขึ้น คนจากภาคใต้โทรขึ้นมาเจี๊ยวเลยว่าเมื่อไหร่ท่านจะลงไป ไทยอินไซเดอร์ : คนภาคใต้ที่ยังเชื่อมั่น เพราะใช้วิธีการแข็งกร้าวใช่หรือไม่ พล.อ. พัลลภ : ไม่ใช่แข็งกร้าว ผมใช้หลักตามยุทธวิธีของผมในการปราบปรามกองโจร คุณต้องยอมรับเสียก่อนว่า วันนี้ภาคใต้เป็นสงครามกองโจร เมื่อเป็นสงครามกองโจร มันก็มี 3 ขั้นตอนในการปราบ คุณจะชนะสงครามภาคใต้ได้ คุณต้องดึงประชาชนมาเป็นพวก ในเมื่อเขาถือปืนคุมหลังประชาชนอยู่ คุณไม่ทำลายเขา ไม่จับเขา คุณจะดึงประชาชนมาเป็นพวกได้ยังไง คุณชนะสงครามได้ยังไง แต่นั้นเองไม่มีอะไรเลย ไทยอินไซเดอร์ : การที่เอาประชาชนมาเป็นพวกได้ เราต้องทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในตัวเจ้าหน้าที่ให้ได้ พล.อ. พัลลภ : อันนี้แน่นอน ต้องมีความเชื่อมั่น อย่างผม…ลงไปมีประชาชนเป็นหมื่นเลยมาคอยรับผม คุณเชื่อมั๊ย คน 3 จังหวัดภาคใต้ เป็นหมื่นมารอรับผม วันที่ระเบิด โทรกันมาแทบ...โทรศัพท์แทบไหม้ บอกเมื่อไหร่ท่านจะมา เมื่อไหร่ท่านจะลงมา "ผมไม่เคยทำอะไรนอกกรอบ ผมไม่เคยลอบยิงคนโดยไม่มีเหตุผล เพราะผมต้องมั่นใจ 100% ผมถึงนั่น...อย่างที่ผมบอก คุณชนะสงครามได้ คุณต้องดึงประชาชนมาเป็นพวก วันนี้เขาถืออาวุธคุมประชาชนอยู่ คุณไม่ทำลายกองกำลังติดอาวุธเขา คุณจะดึงประชาชนมาเป็นพวกได้ยังไง คุณก็ไม่มีทางชนะสงคราม คุณก็เป็นฝ่ายตั้งรับ ตายทุกวัน บาดเจ็บทุกวันแบบนี้ ไปดูสิสถิติจากปี 2520 ผมอยู่ถึง 2524 ทหารผมบาดเจ็บล้มตายไม่ถึง 10 คนหรอก และประชาชนเอง เพราะผมออกทำงานชุดเล็กๆ อย่างที่บอกผมได้เปรียบ เพราะมันเป็นสงคามกองโจร และผมเป็นหัวหน้ากองโจรเก่า เพราะฉะนั้นรู้ยุทธวิธีหมด" ไทยอินไซเดอร์ : ตอนนี้ก็รู้ว่าใครเป็นใครในขบวนการโจรก่อการร้าย พล.อ. พัลลภ : อ๋อ...รู้สิ ผมยังรู้เลยว่า ใครเป็นหัวหน้าบีอาร์เอ็น โคออดิเนต หัวหน้าใหญ่ ซึ่งเทียบเท่าผบ.ทบ.เนี่ยก็รู้อยู่ รู้กระทั่งตัวประธานเขา นายกรัฐมนตรีเขา ดร.ฟาเด ดิสเอสมัน มันมีในโอบีเราหมดแหละ เหตุการณ์ล่าสุดอย่างที่บอก เขาต้องการผลักดัน ต้องการบังคับให้เราเจรจา พอเรามีทีท่าเปิดเผยไปว่า ส่งคนระดับสูงไปเจรจากับเขา แล้วไปเจรจาผิดตัวด้วย ไอ้คนที่เจรจาก็พูโลเก่า มันเลิกไปแล้วไอ้นั่น เวลานี้ตัวคุมพื้นที่อยู่คือ บีอาร์เอ็น โคออดิเนต ไม่ไปตัวนี้...เขาก็ต้องการแสดงให้เห็นว่าเฮ้ย...กลุ่มนี้นะเหนือ พยายามบีบให้เราเจรจา เพื่อเข้าโอไอซี มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น อย่างที่เล่าให้ฟังมีพล.อ.คนหนึ่งเอามาออกทีวี แล้วมันก็ระเบิด 11 จุดทั่วภาคใต้ แบบเดียวกัน เหตุการณ์แบบเดียวกันไม่มีต่าง pattern เดียวกันเลย ไทยอินไซเดอร์ : แปลว่าตอนนี้แนวทางของรัฐบาลที่ยังใช้แก้ไขปัญหาไม่ถูกจุด โดยเฉพาะเรื่องการเจรจา และการทำงานของทหาร พล.อ. พัลลภ : ไม่ใช่ฝ่ายทหาร มันเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง ไม่ใช่ทหาร ทหารเขารู้อยู่ ผบ.ทบ.เขาพูดอยู่ว่า การเจรจามันไม่ได้ ผิดกฎหมาย เพราะฉะนั้นการเจรจาไม่ใช่ทหาร (แต่คือ)ฝ่ายการเมือง ไทยอินไซเดอร์ : วิธีการทำงานรัฐบาลควรทำอย่างไร พล.อ. พัลลภ : อย่างที่บอก 1.ต้องมีเอกภาพในการบังคับบัญชา ตอนนี้ไม่มีเอกภาพ 1 ยุทธภูมิ ต้องมี 1 Commander ไม่ใช่ 3 Commander คนลงไปต้องให้กระบอง ให้เขามีอำนาจ ไม่ใช่ฝ่ามือไปเฉยๆ มีกระบองมันถึงทำงานได้ ถ้าเป็นแบบนี้มันก็ไปคนละทางแล้ว ศอ.บต.ก็พัฒนาไป ทหารก็ปราบไป มันก็ขัดกัน ไทยอินไซเดอร์ : การเจรจาถ้าทำแบบเงียบๆ จะดีกว่าหรือควรทำหรือไม่ พล.อ. พัลลภ : ไม่มีการเจรจาอะไรเงียบหรอกครับ คุณคุยเกิน 2 คน มันก็ไม่เป็นความลับแล้ว คุณจะรู้เหรอไปเจรจากับเขา เขาอัดเทปไว้ แอบถ่ายรูปไว้ ถ้าเขาต้องการเอาเงื่อนไข “ข้อที่สาม” เข้าเป็นสมาชิกโอไอซี เขาเข้าเป็นได้ก็จบ...ภาคใต้เนี่ย รัฐบาลจะไปคุยทำไมเสียเวลา ไปสร้างให้เป็นเงื่อนไขทำไม...มันไม่ใช่ คือเขา(รัฐบาล)ทำแบบไม่รู้ไง ผบ.ทบ.พูดชัด แต่ท่านใช้คำว่า “ผิดกฎหมาย” แต่ผมที่ศึกษามามันเป็นอย่างนี้ มันจะให้เรายอมรับว่าขบวนการนี้เป็นขบวนการที่ถูกต้อง เสร็จแล้วก็เข้าโอไอซี เอา 57 ประเทศมาบีบเรา คุณก็จบ...ภาคใต้ ............. (หมายเหตุ : “พล.อ. พัลลภ ปิ่นมณี” ที่ปรึกษานายกฯ จัดหนัก ตีแสกหน้า ผิดหลักการ ระดับสูงคิด เจรจายุติได้ แต่ดันไปเข้าทาง 'โจรใต้' : สัมภาษณ์พิเศษ โดย ไทยอินไซเดอร์ http://thaiinsider.info)

อ่านต่อ...

การเมือง การทหาร กรณี ระเบิดภาคใต้ การเมือง หลั่งเลือด

ถามว่า จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในห้วงที่ดำรงตำแหน่งเป็น ผบ.ทบ.นับแต่เดือนมิถุนายน 2497 เป็นต้นมา จนถึงเดือนมีนาคม 2500 เหตุใดจึงประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง ประสบความสำเร็จกระทั่งได้รับยกย่องให้เป็น "ขวัญใจ" หากศึกษาจากการเดินขบวนประท้วงการเลือกตั้งสกปรกของนักศึกษา ประชาชน เมื่อเดือนมีนาคม 2500 ก็จะประจักษ์ ประจักษ์จากคำสั่งมิให้ทหารใช้ความรุนแรง สัมผัสได้จากเมื่อ ร.อ.อาทิตย์ กำลังเอก คุมทหารอยู่บริเวณสะพานมัฆวาน ได้ตะโกนบอกกำลังพลครั้งแล้วครั้งเล่าว่า "ทหารอย่าทำร้ายประชาชน" ทั้งๆ ที่มีคำสั่งจาก จอมพล ป.พิบูลสงคราม ถึง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ให้สกัดขัดขวางมิให้การเดินขบวนแผ่ขยายไปบริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล แต่ในฐานะ ผบ.ทบ.จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ไม่ยอมคล้อยตาม อย่าได้แปลกใจ หาก จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จะถูกบีบจากฝ่าย จอมพล ป.พิบูลสงคราม ให้พ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการรักษาความสงบ และอำลาไปพร้อมกับคำประกาศ "พบกันใหม่เมื่อชาติต้องการ" คําตอบอันได้มาจากการปฏิบัติของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ สะท้อนรูปธรรมอันเด่นชัดยิ่งของหลักการและแนวทาง "การเมือง" นำ "การทหาร" แม้จะเป็น ผบ.ทบ.แม้จะมีกำลังทหารและอาวุธอยู่ในมือ ครบถ้วน บริบูรณ์ แต่ไม่ยอมใช้ความรุนแรง ตรงกันข้าม กลับใช้ "การเมือง" แก้ปัญหาการเมือง จากจุดนี้เองที่ทำให้สถานะของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับสถานะของ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ และสถานะของจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี เมื่อก่อรัฐประหารเดือนกันยายน 2500 จึงได้รับการหนุนเสริมอย่างคึกคัก ยิ่งเมื่อก่อรัฐประหารเพื่อกระชับอำนาจอีกครั้งในเดือนตุลาคม 2501 ก็ยิ่งได้รับการหนุนเสริมเป็นทบเท่าทวีคูณ แต่ความนิยมทางการเมืองต่อ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ค่อยคลายลงๆ เมื่อดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีในเดือนกุมภาพันธ์ 2502 และนำประเทศเข้าสู่ยุคแห่งการร่างรัฐธรรมนูญอย่างยาวนานกระทั่งถึงแก่กาลกิริยา นั่นเพราะว่าได้พลิกเอาการทหารขึ้นมาเผด็จอำนาจและนำการเมือง หากศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับการทหารจากพื้นฐานการสรุปของท่านเคลาซวิตซ์ ปราชญ์ทางการทหารแห่งปรัสเซียก็จะประจักษ์ ประจักษ์ว่าแท้จริงแล้ว การเมือง กับ การทหาร เป็นกระบวนการอันต่อเนื่อง เคลาซวิตซ์ บอกว่า การเมืองกับการทหารคือกระบวนการเดียวกัน เพียงแต่การทหารเป็นความต่อเนื่องของการเมือง "เป็นการเมืองที่หลั่งเลือด" ทั้งๆ ที่การเมือง การทหาร เป็นกระบวนการต่อเนื่อง สัมพันธ์และยึดโยงกันและกัน แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยมองอย่างแยกส่วน แยกการเมืองเป็นอย่างหนึ่ง แยกการทหารเป็นอย่างหนึ่ง ขณะเดียวกัน ก็มีคนจำนวนหนึ่งซึ่งเติบใหญ่ทางด้านการทหารก็สะสมความจัดเจนและความโน้มเอียงกลายเป็นความเคยชินที่จะเอาการทหารเป็นเครื่องตัดสินทุกสิ่งทุกอย่าง โดยลืมความเป็นจริงที่ว่าการทหารคือความต่อเนื่องของการเมือง โดยลืมความเป็นจริงที่ว่าแม้การทหารจะคือการเมืองที่หลั่งเลือด แต่การหลั่งเลือดนั้นก็ดำรงอยู่บนรากฐานความเป็นจริงของการเมืองอยู่นั่นเอง การจัดความสัมพันธ์ของการเมืองการทหารจึงมีความสำคัญ ยิ่งกว่านั้น ยังมิอาจละเลยและมองข้ามความเป็นจริงที่ดำรงอยู่ของการเมืองโดยตลอด ถามว่าเหตุใดจึงยกอุทาหรณ์ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เหตุใดจึงยกประเด็นการเมือง การทหาร คำตอบของคำถามนี้มาจากสถานการณ์ระเบิด 3 จุดที่ยะลา ปัตตานี หาดใหญ่ คำตอบของคำถามนี้มาจากผลสะเทือนของภาวะสุดโต่งทางความคิดของบางส่วน บางฝ่าย คำตอบของคำถามนี้เน้นให้เห็นความสำคัญของการเมืองที่ต้องกำกับแม้กระทั่งต่อการทหาร

อ่านต่อ...

แถลงการณ์ฉบับที่ ๔/๒๕๕๕: จุดยืนของสภาประชาสังคมชายแดนใต้ในสถานการณ์ความรุนแรง ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕

แถลงการณ์สภาประชาสังคมชายแดนใต้ ฉบับที่ ๔/๒๕๕๕ เรื่อง จุดยืนของสภาประชาสังคมชายแดนใต้ ในสถานการณ์ความรุนแรง ๓๑มีนาคม ๒๕๕๕ สืบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมากกว่า ๘ ปี ได้ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต จากการถูกลอบยิงและวางระเบิดไปแล้วกว่า ๑๓,๐๐๐คน เหตุวางระเบิดจากกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่มีมากกว่าปีละ ๒๐๐ครั้ง โดยเฉพาะเหตุวางระเบิดในเขตเทศบาลนครยะลา จังหวัดยะลา, อำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี และที่ลานจอดรถโรงแรมลี การ์เดนท์ พลาซ่า ย่านธุรกิจสำคัญกลางเมืองนครหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ ๓๑มีนาคม ๒๕๕๕ นับเป็นเหตุระเบิดที่สร้างความเสียหายครั้งร้ายแรงที่สุด มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเกือบ ๕๐๐คน เป็นเหตุร้ายที่ส่งผลกระทบไปทั่วด้าน มีผู้เชี่ยวชาญคาดว่าเศรษฐกิจจะเสียหายไม่ต่ำกว่า ๑๐,๐๐๐ล้านบาท ความเชื่อมั่นอำนาจรัฐในหมู่ประชาชนลดลงอย่างต่อเนื่อง หากปล่อยให้สถานการณ์เป็นอยู่เช่นนี้ต่อไป พื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ก็จะกลายเป็นพื้นที่อำนาจรัฐล้มเหลวไปในไม่ช้า เพื่อเป็นการระงับยับยั้งไม่ให้พื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ดิ่งลงสู่ห้วงเหวแห่งความหายนะไปมากกว่านี้ สภาประชาสังคมชายแดนใต้จึงขอแถลงจุดยืนต่อสถานการณ์ความไม่สงบในขณะนี้ ดังนี้ ๑. เราขอแสดงความเสียใจต่อผู้บาดเจ็บ สูญเสียและได้รับความเสียหายจากเหตุรุนแรงอย่างสุดซึ้ง ๒. เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลได้พิจารณาทบทวนการกำหนดปัญหาใจกลาง ยุทธศาสตร์ และยุทธวิธี การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เสียใหม่ทั้งระบบเนื่องจากระยะเวลากว่า ๘ ปี ที่ผ่านมารัฐไทยล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยสิ้นเชิง ๓. เราขอคัดค้านการใช้ความรุนแรงเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมืองของทุกกลุ่มในทุกรูปแบบ ๔.เราขอเรียกร้องต่อพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศทุกองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนได้โปรดร่วมมือกันให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยไม่ปล่อยให้นักการเมือง รัฐบาล หรือหน่วยงานฝ่ายความมั่นคงแก้ปัญหากันเพียงลำพัง ๕.เรายังคงยืนยันการขยายการเปิดพื้นที่กลางสำหรับให้ทุกฝ่ายได้แลกเปลี่ยนและนำเสนอความคิดเห็นในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่อย่างเสมอภาคและเป็นธรรมพร้อมทั้งสนับสนุนหลักการเจรจาระหว่างฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างสันติสุขและสันติภาพอย่างยั่งยืนต่อไป จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน (นายประสิทธิ์ เมฆสุวรรณ) ประธานสภาประชาสังคมชายแดนใต้ ๔ เมษายน๒๕๕๕

อ่านต่อ...

ภาค9ชี้2มือบึ้มตามภาพวงจรปิดชัวร์ ทหารเร่งเคลียร์ซากรถในลีการ์เด้นส์

วันที่ 6 เม.ย. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานความคืบหน้าการสอบสวนเหตุลอบวางระเบิดโรงแรมลีการ์เด้นส์ พลาซ่า อ.หาดใหญ่ หลังจากเจ้าหน้าที่ได้มีการออกหมายจับสองผู้ต้องตามภาพที่กล้องวงจรปิด บันทึกภาพไปแล้ว ล่าสุดเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 9 และตำรวจภูธร จ.สงขลา ได้นำภาพนายเสรี แวมามุ อายุ 26 ปี อยู่ ม.6 ต.ปากบาง อ.เทพา จ.สงขลา และ นายรุสลัน ใบมะ อายุ 31 ปี อยู่ม.6 ต.บ้านนา อ.จะนะ จ.สงขลา มาตรวจสอบและมั่นใจว่าเป็น 2 ผู้ต้องหาตามภาพจากกล้องวงจรปิดและกำลังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินการจับกุมตามหมายจับที่ได้ออกไปแล้ว โดยทั้งสองคนอยู่ในเครือข่ายเดียวกันกับนายเจะหมะ วานิ หรือมาค่อม หรือไคโร แกนนำแนวร่วมในจังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นผู้สั่งการในการก่อเหตุครั้งนี้ ส่วนผู้ต้องสงสัยที่เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวได้เมื่อวันที่ 5 เม.ย. และนำตัวไปสอบสวนยังเซฟเฮ้าส์ พบว่าเป็นผู้ต้องหาก่อเหตุขับรถพื้นที่ อ.จะนะ ขณะนี้ได้ถูกส่งตัวไปสอบสวนที่ค่ายสิรินธร จ.ปัตตานี เนื่องจากพบว่า มีประวัติเกี่ยวข้องกับความมั่นคง พล.ต.ต.ธนิตศักดิ์ ธีระสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ได้เรียกประชุมหัวหน้าสถานีตำรวจทุกอำเภอในพื้นที่จังหวัดสงขลา เพื่อวางมาตรการรักษาความปลอดภัยในช่วงเทศกาลสงกรานต์โดยจะมีการส่งหน่วย ปฏิบัติการพิเศษเข้ามาเสริมกำลังกับตำรวจ ทหาร อส.อีก 1 กองร้อย ระดมกำลังทหารเร่งเคลียร์ซากรถยนต์ลานจอดชั้นใต้ดินโรงแรมลีการ์เดนส์พลาซ่า เป็นซากรถที่ได้รับความเสียหายจากคาร์บอมบ์ลานจอดรถชั้นในดินโรงแรมลีการ์เดนส์ พลาซ่า หาดใหญ่ ล่าสุดทาง พ.อ.ปกรณ์ จันทรโชตะ รอง เสธ.มบท.42 ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ทหารจาก มทบ. 42 และทหารช่าง กว่า 60 นาย มาช่วยกันนำรถยนต์ที่ได้รับความเสียหายที่อยู่ภายในลานจอดรถชั้นใต้ดินทุกชั้นของโรงแรมลีการ์เดนส์ พล่าซ่า ขึ้นมาเพื่อทำการตรวจสอบก่อนส่งมอบให้เจ้าของรถมาแสดงเอกสารรับไป ซึ่งในวันนี้จะมีการดำเนินการนำซากรถขึ้นมาจากลานจอดรถชั้นใต้ดินให้หมด เพื่อทำการเคลียร์พื้นที่ โดยมีบรรดาเจ้าของรถยนต์ทั้งชาวไทยและมาเลเซียจำนวนมาก ส่วนใหญ่ได้เตรียมเอกสารของรถยนต์มาแสดงกับทางเจ้าหน้าที่ เพื่อขอรับรถยนต์กลับไปซ่อมแซม ซึ่งเจ้าของรถบางราย ได้ช่างมาด้วย เพื่อทำการซ่อมแซมในเบื้องต้นให้รถยนต์สามารถขับขี่ออกไปได้ โดยเจ้าของรถยนต์ชาวมาเลเซียบางราย ได้ขอรับรถ ส่วนรถยนต์ที่ได้รับความเสียหาย และไม่มีเจ้าของมาแสดงเอกสารเพื่อขอรับรถยนต์ ทางเจ้าหน้าที่จะนำรถยนต์ดังกล่าว ขึ้นรถบรรทุก เพื่อนำไปจอดเอาไว้ ที่ค่ายเสนาณรงค์ ไว้เป็นการชั่วคราว เพื่อรอทางเจ้าของรถยนต์นำเอกสารมาแสดงและขอรับรถยนต์กลับไป

อ่านต่อ...

พบมือบึ้มลีการ์เดนส์มีหมายจับติดตัว–สั่งทำทะเบียนปลอมชายแดนไทย-มาเลย์

นายเสรี แวมามุ ผู้ต้องหาเหตุระเบิดศูนย์การค้าลี การ์เดนส์ พลาซ่า
ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - สอบประวัติผู้ต้องหาบึ้ม “ลีการ์เดนส์ หาดใหญ่” พบมีหมายจับคดียิงตำรวจ สภ.เทพา ติดตัว ส่วนอีกคนยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ และเตรียมขยายผลเข้าตรวจร้านรับทำแผ่นป้ายทะเบียนใน อ.สะเดา ชายแดนไทย-มาเลเซีย หลังพบเป็นสถานที่ทำทะเบียนปลอมติดรถยนต์ที่ประกอบระเบิด วันนี้ (6 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการสอบสวนขยายผลไปยัง นายเสรี แวมามุ และนายรุสลัน ใบมะ สองผู้ต้องหาที่ตำรวจเชื่อว่าเป็นคนร้ายที่ก่อเหตุลอบวางระเบิดคาร์บอมบ์ศูนย์การค้า และโรงแรมลี การ์เดนส์ พลาซ่า อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ตามภาพที่กล้องวงจรปิดบันทึกไว้ได้ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมานั้น จากการตรวจสอบประวัติของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พบว่า นายเสรี แวมามุ มีหมายจับติดตาม 1 คดี คือคดีลอบยิงตำรวจ สภ.เทพา จ.สงขลา ได้รับบาดเจ็บ เมื่อปี 2553 เหตุเกิดที่หน้าโรงพยาบาลเทพา ขณะที่นายรุสลัน ใบมะ นั้น เจ้าหน้าที่ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบประวัติว่าเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุในพื้นที่ใดบ้าง ในขณะที่การขยายผลระบุว่า รถต้องสงสัยที่ใช้เป็นระเบิดคาร์บอมบ์ในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ และใน จ.ยะลา รวมทั้งรถต้องสงสัยที่อาจนำไปใช้เป็นระเบิดคาร์บอมบ์ที่เหลืออีก 5 คันนั้น พบว่า มีการสั่งทำป้ายทะเบียนปลอมมาจากร้านทำป้ายทะเบียนแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.สะเดา จ.สงขลา โดยมีการสั่งทำป้ายทะเบียนกว่า 10 ป้าย และถูกนำไปสวมก่อเหตุคาร์บอมบ์แล้ว 5-6 ป้าย ซึ่งเจ้าหน้าที่เตรียมขยายผลว่าใครเป็นผู้สั่งทำ เพื่อนำมาเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ก่อเหตุ

อ่านต่อ...

About This Blog

รายการบล็อกของฉัน

รายการบล็อก

Our Blogger Templates Web Design

  © Blogger templates The Professional Template by Ourblogtemplates.com 2008

Back to TOP