วันจันทร์, พฤษภาคม 31, 2553

สภาพศพสุไลมาน อาแซ ผู้ต้องสงสัยคดีความมั่งคงสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

เมื่อวันที่ 30 พค. เมื่อเวลา 10.00 น. นายเจ๊ะแว แนซา อายุ 59 ปี ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ทหาร ศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์ ค่ายอิงคยุทธบริหาร ต.บ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ซึ่งเป็นหน่วยงานที่นำผู้ต้องสงสัยคดีความมั่นคงเข้าสู่ขวนการซักถาม ว่า นายสุไลมาน แนแซ อายุ 25 ปี ลูกชาย เป็นผู้ต้องสงสัยคดีความมั่นคง โดยควบคุมตัวเมื่อวันที่ 22 พค.ที่ผ่านมา ที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ได้เสียชีวิต โดยอ้างว่าเนื่องจากผูกคอตายในห้องพัก เมื่อเวลา 07.10 น.วันที่ 30 พค. จึงขอให้มาร่วมชันสูตรศพและรับศพด้วยดังนั้นนายเจ๊ะแว แนซา ผู้เป็นพ่อ พร้อมด้วยญาติพี่น้องรวมกว่า 10 คน ต่างไม่เชื่อกับการเสียชีวิตโดยผูกคอตาย จึงได้ติดต่อหน่วยงานที่เป็นภาคประชาสังคมหลายหน่วย รวมทั้งตัวแทนเครือข่ายส่งเสริมสิทธิและเข้าถึงความยุติธรรมในพื้นที่ ได้เดินทางร่วมกัน เพื่อร่วมตรวจสอบ

อ่านต่อ...

วันอาทิตย์, พฤษภาคม 30, 2553

5 สาวอัล-จาซีร่า ลาออก หลังถูกวิจารณ์ชุดแต่งกาย

ผู้ประกาศข่าวสาวช่องอัล-จาซีร่า 5 คน พร้อมใจลาออกหลังถูกวิจารณ์เรื่องชุดแต่งกาย ว่า ไม่อนุรักษ์นิยมเพียงพอ สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อ 30 พ.ค.ว่า ผู้ประกาศข่าวหญิง 5 คนของสถานีข่าวโทรทัศน์ช่อง “อัล จาซีรา” ของกาตาร์ ลาออกพร้อมกันหลังไม่พอใจถูกวิจารณ์เรื่องการแต่งกายและปัญหาอื่นๆในการบริหารงานของสถานี

อย่างไรก็ดี ผู้สื่อข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อคนหนึ่ง ระบุว่าการลาออกครั้งนี้ คงไม่ใช่แค่ไม่พอใจถูกวิจารณ์เรื่องแต่งกายเท่านั้น แต่ยังมีปัญหาความขัดแย้งที่ร้าวลึกมากกว่านี้มาก แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดอื่นๆ ขณะที่ นสพ.อัล-ฮายัต รายงานวันเดียวกันนี้ว่า ผู้ประกาศสาวทั้ง 5 คน ลาออกเมื่อ 2-3 วันก่อน หลังร่วมกันเข้ายื่นร้องเรียนเรื่องการบริหารงานกับผู้บริหารของทางสถานี เมื่อเดือนม.ค. หลังถูกเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสถานีอัล-จาซีร่า วิจารณ์ซ้ำว่าพวกเธอแต่งกายด้วยชุดที่ไม่อนุรักษ์นิยมเพียงพอ
ทั้งนี้ อัล-จาซีร่า ก่อตั้งโดยรัฐบาลกาตาร์ เมื่อปี1996 และกลายเป็นสื่อจากโลกอาหรับแห่งแรกที่ก้าวข้ามจากการเป็นแค่สื่อกระบอกเสียงของรัฐ โดยรายงานข่าวกว้างขวางมากขึ้นและกลายเป็นผู้บุกเบิกสำหรับสถานีข่าวอื่นๆในภูมิภาค ดำเนินรอยตาม อย่างไรก็ดี ถูกรัฐบาลสหรัฐฯ กล่าวหาว่าทำตัวเป็นโพเดี้ยม แถลงข่าวของกองกำลังหัวรุนแรงส่วนใหญ่อยู่ในอิรัก

อ่านต่อ...

วันเสาร์, พฤษภาคม 29, 2553

บึ้มชาวสวนยางขาขาดที่ยะลา-ปาเอ็ม67ที่ปัตตานี

ศูนย์วิทยุสถานีตำรวจภูธรธารโตจ.ยะลา แจ้งเกิดเหตุระเบิดในสวนยางพารา มีชาวสวนผู้ได้รับขาขาด 1ราย เผยคนร้ายปาเอ็ม67ใส่สถานีอนามัยปัตตานี

วันนี้(29พ.ค.)เมื่อเวลา 07.20 น. ศูนย์วิทยุสถานีตำรวจภูธรธารโต อ.ธารโต จ.ยะลา ผู้สื่อข่าวรายงานว่าศูนย์วิทยุสถานีตำรวจภูธรธารโต อ.ธารโต จ.ยะลา เกิดเหตุระเบิดในสวนยางพารา ที่หมู่ที่2 ต.ธารโต อ.ธารโต จ.ยะลา เบื้องต้นมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย พ.ต.อ.เฉลิมเกียรติ อมรากระสินธุ์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรธารโต พร้อมด้วย พ.ต.ท.ประเดิมชัย ไพรสนธิ์ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรธารโต ได้นำกำลังเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ
พบว่าเป็นสวนยางพารา อยู่ห่างเข้าไปในหมู่บ้าน มีหลุมที่เกิดจากระเบิดอยู่ที่โคนต้นยางพารา และเศษสะเก็ดระเบิด รวมทั้งวงจรอีเลคทรอนิคส์ เบื้องต้นเชื่อเป็นระเบิดชนิดแสวงเครื่องน้ำหนัก 1 กิโลกรัม จุดระเบิดด้วยระบบเหยียบ ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บ คือนายอานนท์ สกุลทอง อายุ 19 ปี ภูมิลำเนา อ.เมือง จ.ยะลา ซึ่งเป็นลูกจ้างกรีดยาง ถูกแรงระเบิดได้รับบาดเจ็บขาขวาขาด ที่บริเวณข้อเท้า ส่วนหน้าซ้ายถูกแรงระเบิดฉีกขาด

สอบสวนทราบว่า เมื่อเวลา06.30 น. นายอานนท์ ได้เดินทางออกจากบ้านเพื่อไปกรีดยาง ที่สวนยางพารา ขณะกำลังเดินเข้าไปในสวนยางพาราก็ได้เหยียบกับระเบิดที่คนร้ายนำมาฝังไว้ และได้รับบาดเจ็บดังกล่าว เบื้องต้นเชื่อเป็นฝีมือของกลุ่มก่อเหตุรุนแรงที่ต้องการสร้างสถานการณ์ในพื้นที่

คนร้ายปาเอ็ม 67 ใส่สถานีอนามัยที่ปัตตานี

เมือเวลา08.30 น. พล.ต.ต.พิเชษฐ์ ปิติเศรษฐพันธ์ ผบก.ภ.จว.ปัตตานี ได้รับรายงานจาก สภ.แม่ลาน จ.ปัตตานี ว่า เมื่อเวลา 18.00 น.ของวันที่ 28 พ.ค.53 ที่ผ่านมา ได้มีคนร้ายจำนวน 4 คนขี่รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะจำนวน 2 คัน ผ่านบริเวณหน้าสถานีอนามัยตำบลปากล่อ ม.6 ต.ปากล่อ อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี ซึ่งในขณะนั้นทางเจ้าหน้าที่อนามัยได้กลับบ้านพักหมดแล้ว โดย 1 ใน 4 คนร้าย ได้นำระเบิดชนิดขว้าง เอ็ม 67 โยนเข้าไปภายในบริเวณหน้าสถานีอนามัย แต่ระเบิดไม่ทำงาน ทางเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดจึงเข้าตรวจสอบและเก็บกู้เอาไว้ได้ ส่วนสาเหตุเชื่อว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่

อ่านต่อ...

วันศุกร์, พฤษภาคม 28, 2553

โจรใต้วางระเบิดทหารบาเจาะเจ็บ 3 นาย

คนร้ายจุดชนวนระเบิดดักสังหารเจ้าหน้าที่ทหารชุดลาดตระเวน สังกัดกองร้อยปืนเล็กที่ 3 ชุดเฉพาะกิจนราธิวาส 32 ได้รับบาดเจ็บ 3 นาย เหตุเกิดบนถนนหน้าโรงเรียนตาดีกา มาบะฮูอิสลามี บ้านชูโว ม.5 ต.บาเร๊ะใต้ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ตำรวจตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบรถ จยย. 2 คัน ล้มตะแคงอยู่บนถนน และพบหลุมระเบิดห่างออกไปอีกประมาณ 3 เมตร ลึก 2 ฟุต กว้าง 5 ฟุต และมีเศษซากชิ้นส่วนของระเบิดแสวงเครื่องที่คนร้ายประกอบใส่ไว้ในกล่องเหล็ก หนัก 5 ก.ก. จุดชนวนด้วยโทรศัพท์มือถือ ตกกระจายเกลื่อนพื้นถนน ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บเพื่อนทหารได้นำตัวส่งรักษาโรงพยาบาลบาเจาะไปก่อนหน้าแล้ว

28 พค. 2553 20:37 น.
คนร้ายจุดชนวนระเบิดดักสังหารเจ้าหน้าที่ทหารชุดลาดตระเวน สังกัดกองร้อยปืนเล็กที่ 3 ชุดเฉพาะกิจนราธิวาส 32 ได้รับบาดเจ็บ 3 นาย เหตุเกิดบนถนนหน้าโรงเรียนตาดีกา มาบะฮูอิสลามี บ้านชูโว ม.5 ต.บาเร๊ะใต้ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ตำรวจตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบรถ จยย. 2 คัน ล้มตะแคงอยู่บนถนน และพบหลุมระเบิดห่างออกไปอีกประมาณ 3 เมตร ลึก 2 ฟุต กว้าง 5 ฟุต และมีเศษซากชิ้นส่วนของระเบิดแสวงเครื่องที่คนร้ายประกอบใส่ไว้ในกล่องเหล็ก หนัก 5 ก.ก. จุดชนวนด้วยโทรศัพท์มือถือ ตกกระจายเกลื่อนพื้นถนน ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บเพื่อนทหารได้นำตัวส่งรักษาโรงพยาบาลบาเจาะไปก่อนหน้าแล้ว
ต่อมาจึงได้เดินทางไปดูอาการผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาล ซึ่งถูกสะเก็ดระเบิดตามบริเวณลำตัว ขาและแขน อาการไม่สาหัสมากนัก ทราบชื่อ คือ 1. พ.จ.อ.สุรีรักษ์ มณีมัย หัวหน้าชุด 2. พลฯเจริญ ประเสริฐสังข์ และ 3. พลฯรุสลัน อาลีจิ และเมื่อแพทย์ทำการปฐมพยาบาลแล้วเสร็จ ได้อนุญาตให้เดินทางกลับไปรักษาตัวที่ฐานปฏิบัติการณ์ทหาร
จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ พ.จ.อ.สุรีรักษ์ หัวหน้าชุด ได้ระดมกำลัง รวม 8 นาย ขี่รถ จยย. 4 คัน ออกจากฐานซึ่งตั้งอยู่ภายในวัดอุไรวราราม เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยเส้นทาง ให้ชาวบ้านเดินทางไปประกอบพิธีเวียนเทียนตามวัดต่างๆในพื้นที่ อ.บาเจาะ ถึงที่เกิดเหตุได้มีคนร้ายไม่ทราบจำนวนแฝงตัวอยู่ในป่ารกทึบริมทาง ได้ใช้โทรศัพท์มือถือจุดชนวนระเบิด

อ่านต่อ...

วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 27, 2553

นักวิชาการอเมริกันเสนอไทยหยุดหมกมุ่นแค่"ปีศาจทักษิณ" แนะควรแก้ปัญหาอื่นที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งด้วย

นักมานุษยวิทยาอเมริกันแนะไทย อย่าหมกมุ่นกับ "ปีศาจทักษิณ" จนไม่ยอมแก้ปัญหาอื่น ชี้กองกำลังเสื้อแดงเกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก ขณะที่ปัญหา "ชนชั้น" และ "ชาติพันธุ์-ภูมิภาค" ก็ฝังรากลึก
"ชาร์ลส์ คายส์" ศาสตราจารย์เกียรติคุณทางด้านมานุษยวิทยาและนานาชาติศึกษา แห่งมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ทำการศึกษาเรื่องเมืองไทย โดยเฉพาะประเด็นเรื่องชาวบ้านในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาอย่างยาวนาน ได้เขียนบทความชื่อ "ดีลลิ่ง วิธ ′เดอะ เดวิล′, เดอะ เร้ดส์ แอนด์ ลุคกิ้ง วิธอิน" (ความสัมพันธ์กับ "ปีศาจ", คนเสื้อแดง และการมองย้อนกลับเข้ามาภายใน) ลงในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ฉบับวันที่ 26 พฤษภาคม มติชนออนไลน์ เห็นว่าบทความดังกล่าวมีเนื้อหาน่าสนใจเป็นอย่างมาก จึงขออนุญาตสรุปความและนำมาเผยแพร่ดังต่อไปนี้
การก่อร่างสร้างปีศาจ

เหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่กรุงเทพมหานคร จนนำมาสู่การเผาอาคารทางธุรกิจที่มีความสำคัญหลายแห่งโดยผู้ชุมนุม ส่งผลให้ชาวกทม.จำนวนมาก และผู้สนับสนุนนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทั่วประเทศ ต่างชี้นิ้วว่าตัวการที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมที่ผ่านมา ก็คือ คนเพียงคนเดียว ซึ่งเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีนามว่า ทักษิณ ชินวัตร

ในสายตาคนเหล่านั้น ทักษิณกลายเป็นปีศาจที่มีตัวตน ผู้ก่อให้เกิดความโชคร้ายและปัญหาสังคมต่าง ๆ นานา พวกเขาเชื่อว่าหากอดีตผู้นำประเทศรายนี้ถูกเขี่ยพ้นออกไปจากการเมืองไทย สังคมไทยก็จะกลับคืนสู่ความสงบและความสามัคคี

แน่นอนว่าทักษิณได้ใช้ความร่ำรวยและอิทธิพลของตนเองในการสนับสนุนการชุมนุมทั้งที่สันติและรุนแรงของกลุ่มคนเสื้อแดง แต่หากรัฐบาลอภิสิทธิ์และคนอื่น ๆ ที่จะมีส่วนร่วมในนโยบายปรองดองแห่งชาติ ยังคงเห็นว่าทักษิณเป็นเพียงตัวการเดียวของปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น พวกเขาก็จะประสบกับความผิดพลาดในเชิงยุทธวิธี และหนทางสู่ความปรองดองก็จะประสบกับทางตัน ขณะที่ความขัดแย้งในสังคมก็จะยังดำเนินต่อไป

สาเหตุอื่น ๆ ของความขัดแย้งในสังคมไทย

วิกฤตเศรษฐกิจโลกส่งผลเสียอย่างหนักต่อภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ของไทย เพราะในปัจจุบัน ครัวเรือนของชาวอีสานต้องพึ่งพิงรายได้ที่ส่งมาจากสมาชิกของครอบครัวซึ่งประกอบอาชีพในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ มีแรงงานชายจากภาคอีสานนับแสนคนออกไปรับจ้างทำงานในต่างประเทศ

วิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2550 จึงส่งผลเสียหายอย่างหนักต่อครอบครัวของชาวบ้านในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งปัจจุบัน สมาชิกจำนวนมากของครอบครัวเหล่านี้ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กหนุ่ม ได้กลายเป็นประชากรที่ตกงาน เด็กหนุ่มกลุ่มใหญ่กลุ่มนี้นี่เอง ที่เป็นทรัพยากรสำคัญของกลุ่มกองกำลังคนเสื้อแดง ซึ่งมีส่วนจุดไฟเผาอาคารสำคัญในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด รวมทั้งยังกล้าเผชิญหน้ากับกองกำลังของรัฐบาล

ดูเหมือนรัฐบาลอภิสิทธิ์จะไม่ได้ตระหนักถึงกลุ่มเด็กหนุ่มเหล่านี้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะพวกเขาคือกลุ่มคนว่างงานในภาคส่วนเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการ ดังนั้น พวกเขาจึงไร้ตัวตนจากการเก็บสถิติของรัฐ แต่หากรัฐบาลไทยไม่แก้ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจให้แก่คนกลุ่มนี้ ความเกลียดชังและความไม่พอใจของพวกเขาก็จะดำเนินต่อไป ไม่ว่าจะได้รับการสนับสนุนจากทักษิณหรือไม่ก็ตาม

สาเหตุสำคัญของความขัดแย้งในสังคมไทยประการต่อก็คือ ความแตกแยกอย่างลึกซึ้งในสังคม อันเกิดจากเส้นแบ่งในเรื่องชนชั้นและชาติพันธุ์-ภูมิภาค กลุ่มคนเสื้อแดงมีอยู่อย่างหนาแน่นในภาคอีสานและภาคเหนือ เพราะคนเหล่านี้ตระหนักว่าตนเองถูกใส่ร้ายป้ายสีตลอดมาจากเหล่าคนชั้นกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพฯ

การใส่ร้ายป้ายสีดังกล่าวมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน คนในภาคอีสานและเหนือมักถูกมองจากคนไทยในส่วนกลางว่าเป็น "ลาว" เมื่อครั้งที่พวกเขาเพิ่งถูกควบรวมเข้ามาใน "รัฐ-ชาติ" ไทย แม้ว่าต่อมานโยบายการศึกษาและสื่อสารมวลชนที่มีฐานอยู่ในกรุงเทพฯ จะบ่งชี้ว่าคนจากภูมิภาคเหล่านี้เป็น "ไทย" ทว่าภาพลักษณ์ด้านลบอันเก่าแก่ที่เห็นว่าคนเหนือและอีสานมี "ความเป็นไทย" น้อยกว่าคนกรุงเทพฯ ก็ยังคงดำรงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน

ภาพลักษณ์ด้านลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพด้านลบของคนอีสาน ปรากฏอยู่อย่างสม่ำเสมอในภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ไทย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คนอีสานถูกใส่ร้ายป้ายสีครั้งแล้วครั้งเล่าโดยสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมซึ่งฝักใฝ่การเมืองสีหนึ่ง, หนังสือพิมพ์ในกทม. และเว็บล็อกตลอดจนเฟซบุ๊กจำนวนมาก ว่าพวกเขาโง่เหมือน "ควาย" เป็นต้น ความคิดจำนวนมากที่ถูกนำเสนอในสื่อยังเชื่อว่าชาวบ้านเหล่านี้เข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสาร และไม่ตระหนักว่าตนเองกำลังโดนดูถูกเหยียดหยาม

แต่ความจริงที่เกิดขึ้นก็คือ ชาวบ้านเหล่านี้ตระหนักว่าตนเองกำลังถูกใส่ร้ายป้ายสี และภาวะที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องดังกล่าวได้กลายเป็นปัจจัยหลักสำคัญประการหนึ่งของความขัดแย้งในสังคมไทย

ขณะที่รัฐบาลอภิสิทธิ์พยายามไล่ปิดสถานีวิทยุชุมชนและเว็บไซต์ที่สนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดง โดยให้เหตุผลว่าสื่อเหล่านั้นยั่วยุให้เกิดความรุนแรงและความเกลียดชัง แต่รัฐบาลกลับไม่เข้าไปควบคุมสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมบางช่อง และสื่ออื่น ๆ ที่เร่ขายความเกลียดชังต่อคนบางกลุ่ม ตั้งแต่ คนเสื้อแดง คนมลายูมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งคนเขมรในภาคอีสานและประเทศกัมพูชา

แม้รัฐบาลจะไม่สามารถและไม่ควรจะพยายามเข้าไปควบคุมเนื้อหาของสื่อ แต่รัฐบาลสามารถดำเนินคดีกับสื่อทั้งสองฝ่ายที่ยั่วยุให้ผู้คนเกลียดชังกันได้ นอกจากนี้รัฐบาลยังสามารถสร้างนโยบายการลงโทษทางสังคมผ่านการส่งเสริมสนับสนุนสื่อคุณภาพที่มีความเป็นอิสระ และคว่ำบาตรสื่อของกลุ่มการเมืองใดก็ตามที่ยังคงมีส่วนทำให้ความแตกแยกระหว่างคนไทยแพร่กระจายออกไปมากขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลยังควรระมัดระวังและหลีกเลี่ยงที่จะใช้ถ้อยคำซึ่งมีส่วนในการยั่วยุอารมณ์เสียเอง เช่น คำว่า "ผู้ก่อการร้าย" เป็นต้น

"หมดเวลา"

คนในภาครัฐบาลและส่วนอื่น ๆ ที่จะมีเข้ามาเกี่ยวข้องกับนโยบายปรองดองแห่งชาติต้องการรับความช่วยเหลือจากทุกฝ่าย เท่าที่พวกเขาจะสามารถรับได้ เพราะเมื่อกระสุนปืนถูกยิงออกไป ประเทศไทยก็ย่อมตกอยู่ในภาวะระอุคุกรุ่นอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้

ชาวกรุงเทพฯจำนวนมากรู้สึกโกรธแค้นเดือดดาลกับบาดแผลที่เกิดขึ้นกับนครหลวงของพวกตนในช่วง 2 เดือนกว่าที่ผ่านมา พวกเขาเรียกร้องให้มีการลงโทษผู้มีส่วนรับผิดชอบโดยตรงต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น รวมทั้งผู้มีส่วนร่วมสนับสนุนการกระทำดังกล่าว ขณะเดียวกัน กลุ่มคนเสื้อแดงก็มีความโกรธเคืองที่ถูกเก็บงำไว้อย่างลึกซึ้ง เกี่ยวกับความตายและการได้รับบาดเจ็บของเพื่อนตลอดจนญาติพี่น้องของพวกเขา จนนำไปสู่การเรียกร้องให้มีการแก้แค้น

ในสภาวะเช่นนี้ หลักธรรมทางพุทธศาสนาที่สอนให้คนรู้จักระงับความโกรธได้สูญหายไปจากสังคมไทย และจะยิ่งอันตรายมากขึ้น ถ้าคนไทยบางส่วนเลือกเดินไปบนเส้นทางเดียวกับกลุ่ม "เขมรแดง" ซึ่งบิดเบือนอุดมคติทางพุทธศาสนาเรื่องการตัดทอนกิเลสตัณหา ให้กลายเป็นการขาดแคลนอารมณ์ความรู้สึกอันน่าหวาดกลัว เมื่ออุดมคติดังกล่าวถูกนำไปพัวพันกับปฏิบัติการแห่งความรุนแรง

จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คนไทยจะต้องกลับไปรื้อฟื้นหลักธรรมทางพุทธศาสนาที่สอนให้เรารู้จักข่มระงับกิเลสตัณหาอันเร่าร้อนของตนเอง

จึง "หมดเวลา" ที่คนไทยจะยังคงแตกแยกกัน กระทั่งเกิดแผลกลัดหนองอยู่ภายในตัวตน

แม้ผู้นำของกลุ่มการเมืองคู่ขัดแย้งในประเทศไทย ซึ่งแสวงหาแต่บทลงโทษและการแก้แค้น อาจจะเห็นต่างกับข้อเสนอนี้ แต่เราสามารถคาดหวังได้ว่าคนไทยส่วนใหญ่จะให้ความสนใจต่อเสียงร่ำไห้ที่ดังออกมาจากหัวใจของผู้คน แล้วหันเหตนเองไปสู้การทำงานอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเต็มไปด้วยความอดทน เพื่อจะแก้ไขสาเหตุต่าง ๆ แห่งความขัดแย้งของประเทศ ซึ่งถูกนำไปใช้หาประโยชน์ใส่ตัวโดยเหล่าผู้นำที่ประพฤติตนผิดศีลธรรมหรือไร้ศีลธรรม

อ่านต่อ...

วันอังคาร, พฤษภาคม 25, 2553

พรรคเพื่อไทยแฉ "หมอพรทิพย์" แหกตาคาร์บอมบ์ ชี้ ตกเป็นเครื่องมือให้รัฐบาล ยัดเยียดการก่อการร้ายให้กลุ่มนปช....

เมื่อเวลา 14.30 น. 25 พ.ค. นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ศอฉ.ชี้แจงสถานการณ์และการจับอาวุธต่างๆ ของกลุ่มคนเสื้อแดง โชว์ให้ตัวแทนของคณะทูต 51 ประเทศ รวมถึงสื่อต่างชาติรับฟังที่ศอฉ. กรมทหารราบ 11 เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า ในการแถลงข่าว นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และพญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ หนึ่งในคณะกรรมการศอฉ. ระบุว่า พบอาวุธสงครามจำนวนมากในที่ชุมนุม โดยเฉพาะระเบิดคาร์บอมบ์ จำนวน 4 จุด โดยอ้างว่ากลุ่มคนร้ายเตรียมถังน้ำยาดับเพลิง พร้อมสารผสมที่สามารถทำระเบิดได้ เพื่อทำร้ายเจ้าหน้าที่ หรือสร้างสถานการณ์ของกลุ่มผู้ชุมนุมนปช.

แต่จากข้อเท็จจริง พรรคเพื่อไทยตรวจสอบพบว่า สารเคมีที่หมอพรทิพย์กล่าวอ้างว่าพบในรถคาร์บอมบ์ แล้วนำมาแถลง เป็นสารโฟมดับเพลิง ซึ่งแท้ที่จริง ทหารและเจ้าหน้าที่เป็นผู้ขนมาเพื่อเตรียมการดับไฟ ซึ่งถัง Light Water ยี่ห้อ 3M มีคุณสมบัติดับไฟได้ทั้งน้ำมันและสารละลายต่างๆ ซึ่งปรากฏอยู่ในภาพถ่ายที่มีทหารและรถถังจอดอยู่ข้างๆ ซึ่งสารดับเพลิงนี้มีใช้สำหรับดับเพลิงที่เกิดจากน้ำมันและสารเคมีทั่วไปในกองทัพอากาศ และท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย

"ดังนั้น พญ.คุณหญิงพรทิพย์ น่าจะมั่วหรืออาจขาดความรู้ความเข้าใจ หรืออาจจะจงใจบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อป้ายสีกลุ่มผู้ชุมนุมให้เป็นไปตามโจทย์ที่รัฐบาลและศอฉ.ตั้งธงไว้ว่า กลุ่มผู้ชุมนุมเป็นผู้ก่อการร้าย มีอาวุธสงครามร้ายแรง และมีระเบิดคาร์บอมบ์ นี่คือการจัดฉากปาหี่ ใส่ร้ายป้ายสีระดับโลก โดยใช้พญ.คุณหญิงพรทิพย์ และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เป็นเครื่องมือทางการเมือง ถ้ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์มีความจริงใจที่จะตรวจสอบให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ควรให้องค์กรอิสระระหว่างประเทศเข้ามาตรวจสอบให้ความเป็นธรรม" โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าว

อ่านต่อ...

ศอฉ.เผยยอดปิดเว็บปลุกระดมกระฉูด1,150เว็บ

ศอฉ.เผยยอดปิดเว็บปลุกระดมพุ่ง 1150 เว็บ จากสัปดาห์ที่ผ่านมา770 เว็บ ชี้คนเข้าถึงสื่ออินเทอร์เน็ตได้ง่ายสุด ยืนยันบางเว็บที่ถูกปิด ไม่เอี่ยวศอฉ. จี้ไอเอสพีตรวจสอบ พร้อมขอบคุณประชาชนแจ้งเบาะแส...
แหล่งข่าวจากศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เปิดเผยว่า หลังจากเกิดสถานการณ์ทางการเมืองขึ้น ศอฉ.มีคำสั่งให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ปิดเว็บไซต์ที่เข้าข่ายปลุกระดมและปิดแล้ว 1,150 เว็บไซต์ จากสัปดาห์ที่ผ่านมามีเพียง 770 เว็บไซต์

แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า สาเหตุที่เว็บปลุกระดมเพิ่มจำนวนขึ้น เนื่องจาก ประชาชนสามารถเข้าถึงสื่อทางอินเทอร์เน็ตได้ง่ายกว่าช่องทางอื่น อีกทั้ง ยังมีปัญหาจากการที่ปิด เพราะจะมีพวกที่ยุยงปลุกปั่นให้โจมตีรัฐบาล หรือให้ออกมาสู้กันต่อ ส่วนการยกเลิกพรก.ฉุกเฉิน นั้นรัฐบาลคงต้องพิจารณาอีกครั้ง ยังคงมีระยะเวลา 3 เดือน หลังจากนี้ ต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลประเมินสถานการณ์ก่อนว่าเป็นอย่างไร จึงยังไม่กล้ายกเลิกตรงนี้ต้องดูกันไปก่อน

แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ศอฉ.ยังมีคณะกรรมการดูแล ตวจสอบเว็บอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ก็มีบางเว็บที่เข้าไม่ได้ และมีประกาศพื้นที่สีขาวตัวอักษรสีแดงขึ้นว่าเป็นคำสั่งปิดของศอฉ.นั้น ความจริงไม่ได้เป็นคำสั่งของศอฉ. แต่น่าจะมามากมีผู้ใช้งานจำนวนมากจึงเข้าไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ จึงมีคำสั่งไปยังไอเอสพีว่าอย่าให้ลิงค์มาจุดนี้ เพราะจะเกิดความเข้าใจผิดว่าศอฉ.เป็นผู้สั่งการปิด เช่น เว็บทวิตเตอร์ ถ้ามีคนใช้จำนวนมากก็จะเข้าไม่ได้ แล้วลิงค์มาว่าเป็นคำสั่งปิดของศอฉ. เป็นต้น โดยอยู่ระหว่างการตรวจสอบ และแก้ไข นอกจากนี้ ยังยอมรับว่า ช่วงนี้ศอฉ.ดำเนินการ เพราะคนส่วนใหญ่หันมาใช้อินเทอร์เน็ต ขณะเดียวกัน ก็มีมาตรการรับมือ และได้รับความร่วมมือจากประชาชนแจ้งเบาะแสเข้ามา

อ่านต่อ...

วันเสาร์, พฤษภาคม 22, 2553

ปากคำ "นักข่าวต่างประเทศ" ที่ติดอยู่กลางดงกระสุนรอบวัดปทุมวนาราม

ภายหลังการสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงบริเวณสี่แยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา เหตุการณ์หนึ่งที่ยังมีการพูดถึงจากหลายมุมมองก็คือ เหตุการณ์ภายในเขต "อภัยทาน" ของวัดปทุมวนารามในคืนดังกล่าว นี่คือ บันทึกของนักข่าวต่างประเทศสองราย ที่อาจทำให้เรามีมุมมองต่อเหตุการณ์ในเขตอภัยทานอย่างหลากหลายยิ่งขึ้น "แอนดรูว์ บันคอมบ์" นักข่าว นสพ.ดิ อินดีเพนเด้นท์ ของอังกฤษ ได้ส่งรายงานชื่อ "ประจักษ์พยาน: ภายใต้กระสุนปืนในกรุงเทพฯ" จากพื้นที่การปะทะในกรุงเทพ ไปเผยแพร่ลงใน http://www.independent.co.uk/news/world/asia/eyewitness-under-fire-in-thailand-1977647.html เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมีเนื้อหาดังนี้

พอกระสุนลิ่วเข้ามา พวกเราก็ต้องหาที่ซุกตัวหลบซ่อน ผู้คนแถวนั้นล้มตัวลงกับพื้นด้วยอาการหวาดหวั่น บางคนหลบหลังรถยนต์ พยายามบีบกายให้เล็กพอดีกับขนาดฝาครอบล้อรถ คนอื่นๆ กระโจนหลบกันจ้าละหวั่น เข้าไปอยู่หลังรถยนต์บ้าง รถกระบะบ้าง หลบหลังต้นไม้หรือแม้แต่กระถางต้นไม้ก็ยังมี

ผมกำลังอยู่ตรงทางเข้าวัดแห่งหนึ่ง วัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิมีไว้สำหรับสวดมนต์ จึงควรจะใช้เป็นที่หลบภัยได้ แต่พอได้ยินเสียงลั่นไกปืนประกอบเสียงปังๆ ของลูกปืน ลิ่วเข้ามาแถวร้านขายของที่ระลึกของวัด พวกเราต่างก็ตระหนักว่า แม้แต่วัดแห่งนี้เองก็ไม่ปลอดภัย

ผู้บาดเจ็บถูกหามบ้างลากบ้างเข้าไปในวัด พวกเขาเลือดไหลอาบตัวส่งเสียงกรีดร้อง นอนบนเสื่อบ้าง ผ้าห่มบ้าง อะไรก็ได้ที่วางอยู่แถวนั้น อาสาสมัครเสื้อแดงผู้กล้าหาญพยายามช่วยเหลือผู้บาดเจ็บเท่าที่ทำได้ ใช้ผ้าเช็ดตัว ผ้าพันแผล พลาสเตอร์ ห้ามเลือดจากรอยแผลกระสุนระหว่างที่ผู้บาดเจ็บรอคนนำตัวไปส่งโรงพยาบาล พวกอาสาสมัครช่วยเหลือไม่มีเครื่องมือปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ใช้ไปมากกว่านี้

วัดแห่งนี้ติดป้ายข้างหน้าว่าเป็น "เขตอภัยทาน" หมายความว่าเป็นพื้นที่ปลอดการฆ่าล้าง

ช่วงบ่ายวานนี้ ในขณะที่ตึกใหญ่หลายแห่งในกรุงเทพฯ กำลังลุกเป็นไฟ ทำให้ควันดำปกคลุมไปทั่วท้องถนน รอบข้างวัดเก่าแก่อายุ 150 ปีแห่งนี้ได้กลายสภาพเป็นสมรภูมิรบอันน่าสยดสยองไปด้วย ผู้คนติดอยู่ในวัดออกมาไม่ได้

หลายคนที่เสียชีวิตเมื่อวานนี้นอนตายอยู่นอกรั้ววัดนั่นเอง และยังมีผู้บาดเจ็บอีกนับไม่ถ้วน พวกที่เข้ามาหลบอยู่ในวัดก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ภายในวัดมีศพเจ็ดร่างวางเรียงกันอยู่

เช้าวานนี้ คนเสื้อแดงหลายพันได้หลบหนีจากแยกราชประสงค์ อันเป็นบริเวณที่พวกเขาไปปักหลักประท้วงอยู่นานกว่าสองเดือน หลังจากที่ทหารบุกทะลายแนวรั้วกั้นเข้าไปได้ และหลังจากที่แกนนำประกาศให้ยุติการชุมนุม พวกเขาก็วิ่งหนีเข้าไปหลบในวัดปทุมวนาราม บรรยากาศภายในวัดทั้งตึงเครียด ทั้งหวาดหวั่น แต่ผู้คนในนั้นเชื่อว่า ทหารจะไม่ทำให้ภายในบริเวณวัดกลายเป็น สมรภูมิฆ่าพวกเขาสวดมนต์แสดงความเชื่อความหวังอย่างนั้น

"พอแกนนำบอกให้พวกเรากลับบ้าน ก็เลยมานี่ แกนนำบอกว่า จบแล้ว" หญิงเสื้อแดงคนหนึ่งที่หลบอยู่ในวัดเล่าให้ฟัง ขณะที่หญิงเสื้อแดงอีกคนหนึ่ง ชื่อ "มาลี หงวนสง่า" [Malee NguanSanga] พูดขึ้นมาว่า "ในชีวิตไม่เคยเห็นรัฐบาลชุดไหนชั่วเท่าชุดนี้"

บรรยากาศเปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน พวกเราได้ยินเสียงปืนดังลั่นเข้ามาทางทิศตะวันตก ผู้สื่อข่าวบางคนที่เพิ่งเข้ามาในวัดบอกว่า มีเสื้อแดงกลุ่มเล็กๆ กำลังตอบโต้ด้วยหนังสติ๊ก ปืนพก และระเบิดเพลิง ตากล้องผู้หนึ่งบอกว่า เห็นชายคนหนึ่งโดนยิงขณะวิ่งหนีแนวทหาร โดนกระสุนสองลูกเข้าทางหลัง ดูเหมือนว่าลูกหนึ่งจะทะลุออกทางหน้าอก ภาพถ่ายที่ตากล้องผู้นี้ให้ผมดูนั้นน่ากลัวทีเดียว

จู่ๆ เสียงกระหน่ำยิงก็ดังขึ้น และดูเหมือนจะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เสียงปังๆ ถี่ขึ้น เสียงปืนแก๊ป (ของกลุ่มคนเสื้อแดง) ฟังแล้วไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถเด็ดชีวิตผู้คนได้

ชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในวัด เขาไม่ใส่เสื้อ จึงมองเห็นว่า แผ่นหลังด้านล่างของเขามีรอยแผลเป็นรูใหญ่ ไม่รู้ว่าโดนยิงขณะกำลังวิ่งอยู่ในบริเวณวัด หรือบาดเจ็บมาก่อนหน้านั้นแล้ว บรรยากาศโกลาหลเกินกว่าจะถามเช็คกับใครได้ พอเจ้าหน้าที่ปฐมพยาบาลทีมหนึ่งเห็นรอยแผลของเขาก็วิ่งเข้าไปช่วยเหลือทันที

พวกเขาลากชายผู้นี้เข้าไปอยู่ในมุมที่ดูน่าจะปลอดภัย จับร่างของเขาพลิกหงาย แล้วใช้ผ้าเช็ดตัวกับผ้าพันแผลกดซับเลือด ในทีมปฐมพยาบาลนั้นมีหญิงคนหนึ่งซึ่งทำหน้าที่ราวกับว่าไม่รู้จักความกลัว

หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีผู้หามคนบาดเจ็บอีกคนหนึ่งเข้ามาในวัด ดูเป็นชายมีอายุ ท่าทางไม่ค่อยแข็งแรง เข้าใจว่าโดนยิงตรงหัวไหล่ ทีมอาสาสมัครปฐมพยาบาลรีบเข้าไปช่วยเหลือเขาทันที ชายผู้นี้ส่งเสียงครวญครางแผ่วเบาประสานเสียงปังๆ ของปืน

ตอนนั้นผมเป็นนักข่าวเพียงไม่กี่คนที่หลงเหลืออยู่ภายในวัด และช่วงนั้นเองผมได้รับบาดเจ็บตรงขาด้านนอกตอนแรกนึกว่าโดนสะเก็ดระเบิดสอง สามชิ้น แต่ภายหลังเห็นว่า เป็นชิ้นส่วนกระสุนที่ฝังตัวลงลึกในเนื้อโคนขา ลึกถึงสามนิ้วได้ เดาไม่ออกว่ากระสุนนี้ยิงมาจากทิศไหน ไม่แน่ใจว่า ทหารจงใจยิงนักข่าวแล้วหรืออย่างไร หรือว่าไม่สนใจแล้วว่าใครเป็นใคร

เจ้าหน้าที่ปฐมพยาบาลรีบวิ่งมาช่วยทันที ราดน้ำเย็นใส่แผลซึ่งกำลังไหม้แล้วกดทับด้วยผ้าพันแผล กระสุนเข้าเนื้อเฉยๆ จึงอาการไม่ร้ายแรงนัก แต่ก็ปวดแสบปวดร้อนเอาการ รอบข้างผมนั้นเต็มไปด้วยผู้บาดเจ็บ บรรดาอาสาสมัครที่เปิดคลินิกฉุกเฉินและแจกยากันตรงนั้น ไม่สามารถช่วยเหลือพวกเขาได้มากกว่าที่ทำอยู่

ระบุไม่ได้จริงๆ ว่ากระสุนที่โดนขาผมนั้นยิงมาจากตรงไหน และไม่สามารถตอบได้ว่า ทหารยิงกราดไปทั่วอย่างไร้บันยะบันยังด้วยเหตุผลอันใด ลูกปืนที่กราดเข้ามานั้นยิงจากสไนเปอร์หรือพลทหารธรรมดา? ที่ค่อนข้างแน่ใจทีเดียวก็คือว่า กระสุนมาจากฝั่งทหาร คงไม่สามารถตอบได้ว่าใครเป็นคนสั่งให้ทหารยิงไม่เลือกหน้า ทั้งๆ ที่อยู่ในระยะใกล้ผู้คนจำนวนมาก ผู้คนซึ่งเกือบทั้งหมดไม่พกอาวุธ ไม่ได้ทำตัวเป็นอันตราย และได้ออกจากพื้นที่ชุมนุมตามคำขอของทางการแล้ว หากพวกเขามีโอกาสที่จะออกจากตรงนี้ไปได้อย่างปลอดภัย ก็ทำอย่างนั้นไปแล้ว ทุกคนทราบดีว่า นี่เป็นจุดจบของการต่อสู้ อย่างน้อยก็เป็นจุดจบของขั้นตอนนี้ของการต่อสู้ บรรดาผู้นำระดับสูงสุด ต้องตอบคำถามสำคัญเร่งด่วนหลายประการทีเดียวในกรณีนี้

วัดปทุมวนารามสร้างขึ้นช่วงรัชกาลที่ 4 ในยุคที่บริเวณรอบข้างยังคงเป็นคูคลองอยู่ ไม่เหมือนปัจจุบันที่ละแวกนี้เต็มไปด้วยตึกสูงกับห้างสรรพสินค้า บริเวณวัดได้กลายเป็นค่ายอพยพกึ่งโรงพยาบาลไปแล้ว พระกำลังสวดมนต์ ผู้คนปูเสื่อหาที่ซุกหัวนอน บางคนพยายามหาของกิน คนส่วนใหญ่ที่หลบอยู่ในนั้นแทบจะไม่มีอะไรติดตัวมาเลย หลายคนมีเสื้อผ้าชุดเดียวก็ต้องซักตากกันตรงนั้น บรรยากาศเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ไม่มีใครตอบได้ว่า จะต้องอยู่ในนั้นกันอีกนานเท่าไหร่

ที่ตลกร้ายก็คือว่า โรงพยาบาลตำรวจตั้งอยู่ใกล้ประตูทางเข้าวัดเพียงนิดเดียวเท่านั้นเป็นโรงพยาบาลที่ว่ากันว่า เจ้าหน้าที่เตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติการยามเกิดเหตุเช่นนี้มานานเป็นเดือนแล้ว ไม่มีใครกล้าหามผู้บาดเจ็บข้ามถนนไปส่งโรงพยาบาลเพราะถนนได้กลายเป็นสนามยิงปืนไปแล้ว

มันน่าประหลาดใจจริงๆ ที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลได้ คนเสื้อแดงบางคนบอกว่า ยังมีกลุ่มพกอาวุธยิงตอบโต้ทหารอยู่ จึงหวั่นเกรงว่าทหารจะใช้อาวุธหนักยิงสวนเข้ามาอย่างที่ทำมาทั้งวันแล้ว ผู้คนกลัวมากจึงไม่ยอมลุกไปไหน พอผ่านเคอร์ฟิวสองทุ่มไป พวกเราจึงไม่มีทางเลือกอื่นต้องนอนรอกันไป บนเก้าอี้พับบ้าง เปลหามบ้าง หรือบนเสื่อ บางคนนั่งนิ่งๆ บางคนร้องครวญคราง ต่างคนต่างตระหนักดีว่า หมดหนทางที่จะช่วยตัวเองแล้ว

ในที่สุดก็ดูเหมือนว่า แถวนั้นตกลงหยุดยิงกันได้ หลังจากที่สำนักนายกรัฐมนตรีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บุคคลที่ผู้ชุมนุมพยายามขับไล่ให้พ้นตำแหน่งอย่างสุดกำลัง ได้เข้าไปติดต่อประสานงาน ไม่ทราบเหมือนกันว่า หากไม่มีผู้บาดเจ็บเป็นนักข่าวต่างประเทศรวมอยู่ด้วยแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักข่าวคนหนึ่งที่มีเพื่อนร่วมงานชาวแคนาดากับล่ามวิ่งเต้นอย่างเต็มที่ให้นำตัวเขาออกมาให้ได้ หน่วยงานระดับสูงของประเทศจะเข้ามาช่วยเหลืออย่างนี้หรือเปล่า?อาจจะไม่ก็ได้

อย่างไรก็ดีในที่สุดกาชาดก็สามารถส่งขบวนรถพยาบาลเข้ามาในวัด เพื่อนำตัวผู้บาดเจ็บสาหัสส่งโรงพยาบาลไปก่อน แล้วจะกลับมารับหญิงที่บาดเจ็บกับพวกเด็กๆ

พนักงานกู้ภัยนำตัวผู้ที่บาดเจ็บมากที่สุดออกไปก่อน

คนแรกที่หามออกไปคือชายหนุ่มที่โดนยิงตรงหลัง คนที่สองเป็นชายอีกคนหนึ่งถูกยิงตรงขา เขาร้องครวญครางตลอดเวลาที่เจ้าหน้าที่หามเขาลงเปลไปขึ้นรถ และพนมมือราวกับกำลังสวดมนต์ให้ตัวเองและประเทศชาติ

ตัวผมกับชายอีกคนหนึ่งที่โดนยิงตรงน่องออกไปด้วยกันในรถพยาบาลคันสุด ท้าย เขาชื่อ "ณรงค์ศักดิ์ สิงห์แม่" [Narongsak Singmae] เป็นคนอีสานอายุ 49 ปี ขณะนอนรอ เขาพูดกับผมว่า "ไม่อยากจะเชื่อว่าพวกมันยิงคนในวัด"

ขณะที่ "สตีฟ ทิคเนอร์" ช่างภาพชาวออสเตรเลีย ซึ่งได้หลบภัยเข้าไปอยู่ในวัดปทุมวนารามเมื่อดึกวันที่ 19 พฤษภาคม ได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ ดิ ออสเตรเลียน ท่ามกลางเสียงปืนและเสียงระเบิดว่า "คลื่นคนตายและผู้บาดเจ็บ" พยายามหาทางเข้าสู่วัด ที่เขากำลังหลบภัยร่วมกับผู้ประท้วงเสื้อแดง และนักข่าวชาวอังกฤษ

ทิคเนอร์บอกว่า ส่วนมากที่เข้าหลบภัยเป็นผู้หญิง และยังมีนักข่าวที่ไม่ประสงค์ออกนามอีกคนถูกสะเก็ดระเบิดที่บริเวณบั้นท้าย

เขาบอกอีกว่า "เสื้อแดงที่มาที่นี่โดยส่วนมากไม่ใช่สายฮาร์ดคอร์"

ทิคเนอร์เป็นนักข่าวจากเมือง "นิวคาสเซิล" ที่อยู่ทางค่อนไปทางเหนือของรัฐนิวเซาท์เวลส์ ได้เดินทางไปกรุงเทพจากติมอร์ตะวันออกเมื่อวันอาทิตย์เพื่อทำข่าวการชุมนุม

เขาบอกว่าเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา เขาเห็นผู้ชายคนหนึ่งโดนยิงจากทหารแค่ไม่กี่เมตรจากวัด

"ผมเห็นกระสุนพุ่งทะลุร่างชายคนนั้นออกมาจากหน้าอกและเขาก็ล้มลง"

เมื่อเขาและพระพยายามจะเข้าไปช่วย พวกเขาก็ถูกยิงใส่ "พวกนั้นรู้ว่าผมเป็นนักข่าวต่างประเทศ จากกล้องของผม" เขากล่าว

"พวกเราเป็นห่วงว่าคนที่ถูกยิงที่นอนอยู่บนทางเท้าจะตายจากการเสียเลือด เราจะทิ้งเขาไว้เฉยๆ ไม่ได้"

ทิคเนอร์กล่าวต่อไปว่า เขากับพระได้ช่วยผู้ชายคนนั้นเข้าไปในวัด แต่สุดท้ายก็ช่วยชีวิตไว้ไม่ได้

"อย่างน้อยมีคนตายแล้ว 6 คนในวัด" เขากล่าว

"คนถูกยิงเรื่อยๆ และเสียงระเบิดก็ดังไม่หยุด"

ทิคเนอร์ยังกล่าวว่า ความรู้สึกคนในวันนั้นเศร้ามาก ทุกคน "กระวนกระวาย กลัว และประสาทเสีย"

เขาเองก็กลัวว่าจะโดนยิงทันทีถ้าเขาออกไปพ้นบริเวณวัด

"มีทั้งรถถัง และพลซุ่มยิงอยู่ที่นั้น ทุกอย่างสับสนและบ้าคลั่งไปหมด"

กองทัพไทยได้ประกาศเมื่อคืนว่า สถานการณ์สามารถควบคุมไว้ได้แล้ว และปฏิบัติการทางทหารได้ยุติลง

แต่ทิคเนอร์บอกว่า เขาไม่แน่ใจว่าวันนี้จะหยุดยิง

เขาบอกว่า ถ้าสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น ประชาชนหลายกลุ่มจะไม่มี น้ำ และไฟฟ้าใช้ รวมถึงจะไม่มีอาหารกินด้วย

อ่านต่อ...

18ปี พฤษภาวิปโยค

‘พฤษภา2535’ความต่างในความเหมือน‘พฤษภา2553"? "...ขอให้ท่านช่วยกันคิด คือหันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่เผชิญหน้ากัน เพราะว่าประเทศของเรา ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคนสองคน เป็นประเทศของทุกคนต้องเข้าหากัน ไม่ใช่เผชิญหน้ากันแก้ปัญหาเพราะว่าอันตรายมีอยู่เวลาคนเราเกิดความบ้าเลือด ปฏิบัติการรุนแรงต่อกันมันลืมตัว ลงท้ายก็ไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร แล้วจะแก้ปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วใครจะชนะ ไม่มีทางชนะ อันตรายทั้งนั้น
มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้ แล้วที่แพ้ที่สุดคือประเทศชาติ ประชาชนทั้งประเทศ แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่จะทะนงตัวว่าชนะเวลาอยู่บนกองสิ่งปรักหักพัง ฉะนั้น จึงขอให้ทั้งสองท่านเข้ามา คือไม่เผชิญหน้า แต่จะต้องหันหน้าเข้าหากัน และสองท่านนี้เท่ากับเป็นผู้แทนของฝ่ายต่าง ๆ ให้ช่วยกันแก้ปัญหา ปัจจุบันนี้คือความรุนแรงที่เกิดขึ้น แล้วเมื่อเยียวยา ปัญหานี้ได้แล้วจะมาพูดกัน ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรสำหรับให้ประเทศได้มีการสร้างพัฒนาขึ้นมาได้ กลับคืนมาโดยดี..." กระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครั้ง พล.อ.สุจินดา คราประยูร และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เข้าเฝ้าฯ ในเหตุการณ์ "พฤษภาทมิฬ 2535" 18 ปี ผ่านไป เหตุการณ์ "พฤษภาวิปโยค" กลับมาสร้างความสูญเสียให้กับประเทศไทยอีกครั้งจากกรณีการชุมชุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่สี่แยกราชประสงค์ ก่อให้เกิดความสูญเสียมากมาย ซึ่งหากเทียบความใกล้เคียงของสองเหตุการณ์ จะพบว่า พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำประชาชนในเหตุการณ์ "พฤษภาทมิฬ 2535" ถูกจับกุมวันที่ 18 พฤษภาคม 2535 ขณะที่แกนนำ นปช.เข้ามอบตัวในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ซึ่งวันที่ถูกควบคุมตัวต่างกันเพียงหนึ่งวันหากไม่นับปี พ.ศ. แต่สองเหตุการณ์หลังจากแกนนำมอบตัวก็เกิดความวุ่นวายด้วยการลอบเผาสถานที่สำคัญ ซึ่ง "พฤษภาทมิฬ 2535" ส่วนใหญ่ลอบวางเพลิงในสถานที่ราชการ ต่างจาก "พฤษภาเลือด 2553" ที่ลอบวางเพลิงสถานที่ของเอกชน เช่น ห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ แสดงออกถึงความมุ่งหมายให้เกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจ จุดเริ่ม 2 เหตุการณ์ "พฤษภาทมิฬ 2535" เป็นเหตุการณ์ที่ประชาชนเคลื่อนไหวประท้วงรัฐบาลที่ พล.อ.สุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี และต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ระหว่างวันที่ 17 - 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นการรัฐประหารรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อเดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 นำไปสู่เหตุการณ์ปราบปรามและปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารกับประชาชนผู้ชุมนุม มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ขณะที่จุดเริ่มของการชุมนุมของ นปช. เกิดจากรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 เป็นการก่อรัฐประหารในประเทศไทย ซึ่งเกิดขึ้นในคืนวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 นำโดย คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งมีพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้าคณะ โดยโค่นล้มรักษาการนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นับเป็นการก่อรัฐประหาร เป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี รัฐประหารครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนต่อมา 18 ปี ของเหตุการณ์ต่างกรรม ต่างวาระ รศ.ทวีศักดิ์ สูทกวาทิน ประธานสภาคณาจารย์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) มองว่า "พฤษภาทมิฬ 2535" จุดเริ่มต้นเกิดจากนายทหารต้อง การสืบทอดอำนาจทางการเมือง ประชาชนที่ออกมาต่อต้านเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ต่างจากการชุมนุมของ นปช. จุดเริ่มต้นเกิด จากความไม่พอใจที่เกิดจากการปฏิวัติ "19 กันยายน 2549" โดยมีการชุมนุมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป้าหมายลึก ๆ ทุกคนในสังคมรู้ดีว่า ต้องการให้ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร กลับคืนสู่อำนาจทางการเมือง แต่สิ่งที่เหมือนกันของทั้งสองเหตุการณ์คือ เป็นการแย่งชิงอำนาจรัฐ" "ด้วยความที่นักการเมืองไม่สามารถแก้ปัญหากันในสภาได้ ทำให้เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้น หลังจากจบเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ 2535 ก็นึกว่า นักเลือกตั้งจะยกระดับตัวเองให้มีคุณภาพ ไม่ใช่วนเวียนกันแค่คนในตระกูลตัวเอง ซึ่งเหตุการณ์ของ นปช. เป็นอีกบริบทหนึ่งที่เกิดจากนักการเมืองไม่มีคุณภาพ หากมองดูให้ดี ส.ส. ในประเทศไทยทั่วประเทศวนเวียนกันไม่กี่ตระกูล" รศ.ทวีศักดิ์ ย้ำถึงการยกระดับนักการเมือง นำสู่การนองเลือด ด้วยบริบทด้านเวลาซึ่งนำสู่การนองเลือดบนแผ่นดินไทยของ 2 เหตุการณ์ ค่อนข้างมีความแตกต่างอย่างชัดเจน โดยใน ยุค "พฤษภาทมิฬ 2535" หลังจาก รสช. ยึดอำนาจเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 ก้าวล่วงมาสู่เดือนพฤษภาคม 2535 ใช้ระยะเวลากว่า 1 ปีในการบ่มเพาะแรงต่อต้าน ขณะที่การชุมนุมของ นปช. เริ่มจากการปฏิวัติ "19 กันยายน 2549" และนำสู่การแตกหักในเดือนพฤษภาคม 2553 รวมเวลาเกือบ 4 ปี รศ.ทวีศักดิ์ อธิบายของห้วงเวลาของ 2 เหตุการณ์ว่า การชุมนุมของ นปช. ใช้เวลานานกว่า แต่ใช้การสื่อสารเป็นตัวบ่มเพาะในหลายรูปแบบทั้งเครือข่ายอินเทอร์เน็ต วิทยุชุมชน และแกนนำในแต่ละพื้นที่ ซึ่งเหมือนถูกออกแบบให้วางจุดจบเหมือน "พฤษภาทมิฬ 2535" สิ่งที่เห็นจากการชุมนุมของ นปช. คือการเจรจาที่เหมือนจะได้ข้อยุติ แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผล ในทางกลับกันจึงเป็นการทำให้ผู้ชุมนุมเกิดความเคียดแค้นผ่านการปราศรัยของแกนนำ ขณะที่พื้นที่ในการปักหลักชุมนุมระยะแรก นปช. มีการชุมนุมแบบดาวกระจาย สร้างความปั่นป่วนให้กับคนในเมืองหลวง แต่สุดท้ายตัดสินใจยึดที่มั่นบริเวณ สี่แยกราชประสงค์ ใจกลางถนนธุรกิจ สิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นได้ว่า แกนนำต้องการให้เศรษฐกิจใน ประเทศสะดุดเพื่อให้รัฐบาลยุบสภา ต่างจาก "พฤษภาทมิฬ 2535" ที่เน้นการชุมนุมบนพื้นที่อันเป็นสัญลักษณ์ทางการเมือง เช่น ถนนราชดำเนิน นี่แสดงให้เห็นถึงอนาคตที่ภาครัฐต้องหันกลับมาหาวิธีแก้ไขไม่ให้ผู้ชุมชุมมาปักหลักในสถานที่ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น สำหรับการชุมนุมของ นปช. ที่เป็นตัวบ่มเพาะให้เกิดความรุนแรงเกิดจากการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงรายวันที่ผ่านมาทั้งเครื่องยิงลูกระเบิด และเหตุการณ์กองกำลังไม่ทราบฝ่าย ซึ่งเหตุการณ์อันนำสู่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดจากการลอบสังหาร พล.ต. ขัตติยะ สวัสดิผล เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 โดยได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกกระสุนเข้าที่ศีรษะด้านขวาทะลุท้ายทอย และกลุ่มคนเสื้อแดงได้นำตัวส่งโรงพยาบาลหัวเฉียว และย้ายไปรับการรักษาต่อที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาลในกลางดึกของวันเดียวกัน โดยทางแพทย์ผู้ให้การรักษาได้ให้เหตุผลว่าทางวชิรพยาบาลมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เพียบพร้อมกว่า ซึ่งอาการอยู่ในสภาพทรงตัวมาตลอดจนกระทั่ง พล.ต.ขัตติยะ เสียชีวิตด้วยภาวะไตวายเฉียบพลันเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 เวลา 09.20 น. ปิดฉาก "ฮาร์ดคอร์แดง" อำนาจรัฐของ 2 กรณี รศ.ทวีศักดิ์ มองว่า อำนาจรัฐในเหตุ การณ์ ยุค "พฤษภาทมิฬ 2535" มีความเป็นเอกภาพมากกว่าเหตุการณ์ปัจจุบัน ซึ่งเห็นได้จากทหารบางหน่วยที่ไม่ได้รับสั่งการให้มาปราบผู้ชุมนุม แต่ก็ขออาสาเข้ามาปราบผู้ชุมนุมเพื่อสร้างผลงาน ต่างจากเหตุการณ์ของ นปช. ที่หน่วยงานรัฐค่อนข้างระมัดระวังจน คนบางกลุ่มเริ่มจะไม่เอาด้วยกับรัฐบาล แต่สุดท้ายก็รวมกันได้จนเป็นเอกภาพของกองทัพ แต่สิ่งที่คล้ายกันของ 2 เหตุการณ์คือ ผู้ชุมนุมกลุ่มสุดท้ายที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจะเป็นคนรากหญ้า ที่เขามาเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมในสิ่งที่ตัวเองเดือดร้อน และต้องการให้ภาครัฐทำการแก้ไขอย่างแท้จริง แม้ในอดีต พฤษภาทมิฬ 2535 จะได้รับฉายาว่า "ม็อบมือถือ" แต่สุดท้ายเมื่อทหารเข้าปราบปรามคนส่วนใหญ่ที่อยู่กลายเป็นคนระดับล่าง ซึ่งยังคงรอความหวังจากนักการเมืองให้แก้ปัญหา ซึ่งกลายเป็นเหยื่อของการแย่งชิงอำนาจของนักการเมือง ดังนั้นภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาความยากจนของผู้คนในประเทศซึ่งจากแผนปรองดอง 5 ข้อ ของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย 1. ที่ผ่านมามีคนจำนวนหนึ่งทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เข้าสู่ความขัดแย้งทางการเมือง การจะทำให้สังคมไทยเป็นปกติสุขได้ ต้องช่วยกันไม่ให้มีการนำสถาบันเข้ามาสู่ความขัดแย้ง โดยทุกฝ่ายต้องมาร่วมกันทำงานเพื่อเชิดชูเทิดทูนสถาบัน 2. ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมีรากฐาน มาจากความไม่เป็นธรรมในสังคมในระบบ เศรษฐกิจ ประชาชนได้สัมผัสถึงความไม่เป็นธรรมเหล่านั้น โดยหลายคนที่มาชุมนุมมีความรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่ได้รับโอกาส ถูกรังแกจากผู้ที่มีอำนาจ ถ้าปล่อยให้เกิดความรู้สึกอย่างนี้ จะทำให้เกิดเงื่อนไขความขัดแย้ง สิ่งที่ต้องทำคือไม่ปล่อยให้การแก้ไขเหมือนกับในอดีตที่แต่ละรัฐบาลต่างก็มีวิธีแก้ไขเองตามยุคตามสมัย วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนทุกคนต้องได้รับการดูแลที่เท่าเทียมกัน ทั้งด้านการศึกษา รายได้ และคุณภาพชีวิตรวมไปถึงคนที่ไม่มีที่ทำกิน มีหนี้สินท่วมตัว จะต้องได้รับการดูแลอย่างเป็นระบบ รวมไปถึงผู้ที่มีความเดือดร้อนเป็นพิเศษต้องได้รับการดูแลอย่างเป็นระบบ กระบวนการปรองดองจะดึงทุกภาคส่วนเข้ามาแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมทั้งระบบ มีเป้าหมายยกระดับรายได้ประชาชน ที่สามารถประเมินผลได้ และเป็นเรื่องที่กำหนดให้ทุกรัฐบาลต่อจากนี้ต้องเข้ามาดำเนินการ 3.การปรองดองต้องมีการใช้สื่ออย่างสร้างสรรค์ โดยสื่อต้องไม่เสนอข้อมูลข่าวสารที่มุ่งความขัดแย้ง สร้างความเกลียดชัง ถ้าหากทำให้การดูแลสื่อสารมวลชนโดยไม่มีการละเมิดสิทธิ มีการใช้สื่ออย่างสร้างสรรค์ก็จะทำให้เกิดความปรองดองสงบสุขอย่างรวดเร็ว 4. ตั้งแต่มีการชุมนุมได้เกิดเหตุการณ์ ที่มีความสูญเสีย นำไปสู่ความคลางแคลงใจที่อาจนำไปสู่ความแตกแยกรุนแรงมากขึ้น และแม้เหตุการณ์ที่ไม่มีการสูญเสีย เช่น ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ก็สร้างความสะเทือนใจให้ประชาชนจำนวนมาก ดังนั้นทุกเหตุการณ์ต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยให้มีคณะกรรมการอิสระเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อให้คำตอบกับสังคม 5. การที่จะมีกติกาทางการเมืองที่เป็นที่ยอมรับกันของทุกฝ่าย โดยต้องมีการนำข้อขัดแย้งต่าง ๆ มาวางเพื่อให้มีการระดมความเห็นจากทุกฝ่ายให้เกิดความเป็นธรรม ครอบคลุมตั้งแต่ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไปถึงความผิดในการชุมนุม ในช่วงที่มีการประกาศใช้กฎหมายความมั่นคง แผนปรองดองทั้ง 5 ข้อนี้ เป็นสิ่งที่รัฐต้องพิสูจน์ถึงความจริงใจในการปฏิรูปสังคมไทย จุดจบบนปลายทาง รศ.ทวีศักดิ์ กล่าวถึงแนวทางแก้ไขว่า รัฐต้องปฏิรูปตัวเองในการคัดสรรนักการเมืองที่มีจริยธรรมมากกว่าการเป็นพวกพ้องของตัวเองหรือแบ่งสรรผลประโยชน์ให้กับนายทุนพรรค ขณะเดียวกันต้องมีความจริงใจในการแก้ไขสังคมให้ประชาชนชั้นล่างไม่ห่างจากประชาชนชั้นบนมากนัก เพื่อสร้างให้พวกเขามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันนักการเมืองควรทำให้พื้นที่ในสภาเป็นแนวทางแก้ไขปัญหา มากกว่าการปลุกระดมให้ชาวบ้านเป็นพวกของตนแล้วไปต่อกรกับอำนาจรัฐ โดยประชาชนควรรวมกลุ่มเพื่อสร้างอำนาจให้อยู่เหนืออำนาจของพรรคการเมืองต่าง ๆ เพราะหากเรามัวแต่ยึดติดกับนักการเมืองประชาชนเองก็จะเป็นเบี้ยล่างของนักการเมือง แม้ 2 เหตุการณ์เกิดต่างกันถึง 18 ปี แต่สังคมไทยกลับก้าวอยู่กับที่ เพราะ 2 เหตุการณ์เปลี่ยนแค่ตัวละคร แต่เลือดคนไทยที่ราดรดแผ่นดินขวานทองไทยทั้งสิ้น ถึงเวลาหรือยังที่นักการเมืองในสภาต้องถามตัวเองว่า วันนี้เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไรให้กับประชาชน...?.

อ่านต่อ...

วันศุกร์, พฤษภาคม 21, 2553

“พญ.คุณหญิงพรทิพย์” เผย 6 ศพ ในวัดปทุมฯ ถูกยิงจากภายนอกวัด

สำนักข่าวไทย ร.11 รอ. 20 พ.ค.- พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ให้สัมภาษณ์กรณีผู้เสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม ว่า บาดแผลของผู้เสียชีวิตเข้าทางด้านขวา ซึ่งไม่ได้ยิงจากภายในวัด เมื่อพิจารณาจากศพแล้วจะเหมือนยิงจากในวัด แต่ไม่ใช่ จึงให้ผู้ที่ให้ข้อมูลอธิบายว่าแต่ละคนกำลังทำอะไรอยู่ขณะที่ถูกยิง อย่างไรก็ตาม ต้องรอ ผลการชันสูตรศพก่อน เพื่อนำมาจำลองเหตุการณ์ว่าผู้เสียชีวิตอยู่ในท่าใดบ้าง ส่วนชนิดของอาวุธที่ใช้ทำร้ายทั้ง 6 ศพ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ กล่าวว่า เมื่อดูตามบาดแผลแล้วเป็นคนละชนิด เพราะมี 2 ศพ ที่มีขนาดบาดแผล 2 เซนติเมตร ไม่ทะลุ ส่วนที่เหลือกระสุนเข้าแล้วทะลุออกแล้วกลับมาเข้าร่างกายอีก มีบาดแผลขนาดเล็ก คล้ายเอ็ม 16 ไม่ได้ถูกยิงศีรษะ มีคนหนี่งที่ถูกยิงที่แก้ม "ศพหนึ่งมีรอยเขม่าที่ท้อง ถ้าเป็นเขม่าจากกระสุนก็น่าสนใจ เพราะปกติเขม่าจะอยู่ระยะไม่เกิน 45 เซนติเมตร ส่วนอีกคนมีรอยเขม่าที่เท้า อาจมีระเบิดตกลงเท้าหรือเปล่า เป็นการดูในเบื้องต้นเท่านั้น" พญ.คุณหญิงพรทิพย์ กล่าว พญ.คุณหญิงพรทิพย์ กล่าวว่า ระหว่างตรวจที่เกิดเหตุ พบระเบิดลูกใหญ่ 2 ลูก เขาทำกันเองมากขึ้น เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่าพื้นที่วัดไม่ได้ปลอดอาวุธหรือพื้นที่อภัยทาน พญ.คุณหญิงพรทิพย์ กล่าวว่า หากดูตามสิ่งที่เราเจอขณะชันสูตรศพ ซึ่งพระก็เห็น เจ้าหน้าที่อื่น ๆ ก็เห็นว่ามีระเบิดซุกอยู่ มีสายไฟลาก จึงให้ทุกคนหลบไปจนปลอดภัยก่อน ส่วนที่ถนนสารสินเป็นครั้งแรกที่พบว่าใช้เป็นสถานที่ประกอบอาวุธกระสุน เพราะส่วนใหญ่ที่เคยตรวจพบจะเป็นลักษณะที่ประกอบมาจากข้างนอกแล้วนำเข้ามาก่อเหตุ "รูปถ่ายที่พบกับเอกสารที่พบพอจะเชื่อมถึงบุคคลบางคน ซึ่งเราไม่ทราบว่าเป็นใคร จึงได้มอบให้ฝ่ายข่าวทางทหารไปแล้ว" พญ.คุณหญิงพรทิพย์ กล่าว เมื่อถามย้ำว่า เป็นบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญกับการผลิตอาวุธใช่หรือไม่ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่เหมือนกับคนที่ถูกจับ ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า เป็นคนเดียวกับ นายพิเชษฐ์ หรือ ภูมิกิตติ สุขจินดาทอง มือขวา พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ที่ถูกจับกุมใช่หรือไม่ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ กล่าวว่า "หมอส่งรูปถ่ายและเอกสารให้ฝ่ายข่าวทหารไปแล้ว เพราะหมอไม่รู้ว่าคือใคร แต่ทางฝ่ายข่าวบอกว่าเหมือน" พญ.คุณหญิงพรทิพย์ กล่าวว่า สิ่งที่ต้องการสะท้อน คือทุกที่ในโลกต่อต้านการทำระเบิด แต่ขณะนี้เป็นการเผยแพร่ความรู้ ซึ่งเป็นอันตราย เพราะกลายเป็นว่านำระเบิดเพลิงไปขว้างกันให้ทั่วไปหมดและมีอยู่ทุกเต็นท์ที่เข้าไปตรวจค้น อย่างไรก็ตาม จุดที่พบวัตถุของกลางที่นำมาแสดงวันนี้ (20 พ.ค.) นำมาจากบริเวณถนนสารสินแห่งเดียว ส่วนอำนาจการทำลายไม่มาก แต่ทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้.- สำนักข่าวไทย

อ่านต่อ...

วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 20, 2553

นักวิเคราะห์ชี้สังคมไทยมีแนวโน้มขัดแย้งหนักไม่รู้จบ แนะต้องมีเลือกตั้งและประเมิน "คนชนบท" ใหม่

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเมื่อวันที่ 20 พ.ค.ว่า ความรุนแรงทางการเมืองของไทยยังจะยังดำเนินไปอีกไกล โดยนักวิเคราะห์ระบุว่า แม้ที่ผ่านมา ประเทศไทยจะเผชิญความไม่สงบด้านพลเรือน หรือการปฎิวัติรัฐประหาร แต่ความรุนแรงที่เพิ่งผ่านพ้นไปนั้น ทำให้ เมืองไทยเดินหน้าไปสู่เขตแดนที่ไร้กฎหมาย และกฎเกณฑ์ โดยนายฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า สังคมไทยไม่เคยแสดงอาการโกรธหรือเดือดดาลในระดับนี้มาก่อน และอารมณ์ดิบที่ซ่อนในความเชื่อทางการเมืองต่าง ๆ กำลังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเมือง และทำให้มีการแบ่งขั้วข้างเพิ่มมากยิ่งขึ้น


นายปวิน ชัชวาลย์พงษ์พันธุ์ ผู้เชี่ยวชาญแห่งสถาบันศึกษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำสิงคโปร์ กล่าวว่า ขณะนี้ความรุนแรงได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการเมืองไทยซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็น "ดินแดนแห่งรอยยิ้ม" ไปแล้ว โดยเหตุการณ์เผาตึกอาคารที่ไม่เกิดขึ้นเฉพาะในกรุงเทพ แต่ยังเกิดขึ้นในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศ เป็นสัญญาณแสดงถึงความสุดขั้วสุดโต่งของการเมืองไทย และเรียกได้ว่าความขัดแย้งยังไม่ยุติ แต่เป็นเพียงการเริ่มต้นของอีกเส้นทางของสงคราม ซึ่งอาจจะเป็นสงครามกลางเมือง หรือ สงครามกองโจร


ด้านนายวิลเลี่ยม เคส ผู้อำนวยการแห่งศูนย์วิจัยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า ชนชั้นสูงไทยมองกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นเพียงทหารไพร่ของพ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรีไทย แต่ขณะนี้กลุ่มเสื้อแดงกำลังกลายเป็นกลุ่มที่มีความช่ำชองในการประท้วงมากขึ้น เพราะกลุ่มได้รับความรู้เรื่องการจัดตั้ง และมีศักยภาพที่จะตอบโต้ต่อความไม่พอใจทางชนชั้นได้


ขณะที่นายพอล แชมเบอร์ ผู้เชี่ยวชาญแห่งมหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก ประเทศเยอรมนี กล่าวว่า กลุ่มเสื้อแดงได้ถูกกระตุ้นให้เลียนแบบแนวทางประท้วงของกลุ่มเสื้อเหลือง ซึ่งเคยก่อเหตุยึดสนามบินเมื่อปี 2551 และหากเรายังเห็นการใช้การชุมนุมเพื่อกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบรุนแรงเช่นนี้ต่อไปประชาชนคนไทยก็จะคุ้นเคยที่จะเห็นการประท้วง และม็อบต่อต้านรัฐบาลก็จะกลายเป็นเรื่องปกติ และประชาธิปไตยก็จะกลายเป็นเพียงความฝัน โดยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะเป็นแค่สิ่งที่ไม่มีความหมายสำหรับกลุ่มที่ต่อต้าน


นายดันแคน แมคคาร์โก้ ศาสตราจารย์ด้านการเมืองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แห่งมหาวิทยาลัยลีดส์ ประเทศอังกฤษ ได้เขียนบทความชื่อ "การประท้วงในไทย: การปราบปรามของทหารจะยิ่งเพิ่มความแตกแยก" ลงในเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ "เดอะ การ์เดี้ยน" ซึ่งมีเนื้อหาระบุว่าการใช้กำลังทหารปราบปรามกลุ่มคนเสื้อแดงที่ใจกลางกรุงเทพมหานคร จะไม่ทำให้ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนและต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จางหายไป


แมคคาร์โก้เห็นว่าความขัดแย้งดังกล่าวสืบเนื่องมาจากความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนเสื้อเหลืองกับกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งเป็นรูปแบบความขัดแย้งที่ข้ามผ่านประเด็นเรื่องชนชั้นทางสังคมและพื้นเพภูมิลำเนาของผู้คน ทว่ากลับฝังรากลงลึกไปในครอบครัวจำนวนมากทั่วประเทศ และความขัดแย้งเช่นนี้จะจบลงเมื่อเกิดการตกลงกันได้อย่างแท้จริงของทั้งสองฝ่าย ซึ่งอาจเกิดขึ้นในรูปข้อตกลงทางการเมือง การจัดสรรแบ่งปันอำนาจ การกระจายอำนาจในบางรูปแบบ และแน่นอนว่าการเลือกตั้งจะถือเป็นส่วนสำคัญอันจำเป็นต่อกระบวนการดังกล่าว


"รัฐบาลไทยจะต้องกระทำการใด ๆ ที่สามารถก่อให้เกิดประโยชน์ได้จริง และต้องรับฟังเสียงสะท้อนที่มีเหตุผล" ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยลีดส์ ระบุ


ขณะที่นายแอนดรูว์ วอล์คเกอร์ นักวิชาการประจำมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ได้เขียนบทความชื่อ "ชาวนาไทยได้ลุกขึ้นหยัดยืนแล้ว" ในเว็บไซต์ "เดอะ วอลล์ สตรีท เจอร์นัล" โดยมีเนื้อหาระบุว่า แม้อาวุธยุทโธปกรณ์อันทรงพลานุภาพของกองทัพจะทำให้รัฐบาลไทยชนะศึกในการขับไล่คนเสื้อแดงออกนอกกรุงเทพฯ ทว่ารัฐบาลกลับต้องพ่ายแพ้ในสงครามที่พยายามจะยื้อยุดให้ประวัติศาสตร์ไทยหมุนย้อนกลับไปสู่จุดเดิมอีกครั้งหนึ่ง


วอล์คเกอร์เสนอว่า เราจะเข้าใจความขัดแย้งในประเทศไทยยุคปัจจุบันได้ก็ต่อเมื่อเราทำความเข้าใจกับผู้คนในชนบท ซึ่ง ณ ตอนนี้ พวกเขาส่วนใหญ่มีสถานะเป็น "ชาวนาผู้มีรายได้ระดับปานกลาง" ที่ดำรงชีวิตด้วยการเพาะปลูกเพื่อยังชีพ, การขายสินค้าทางการเกษตร และการรับจ้างนอกภาคเกษตรกรรม ไม่ใช่ชาวชนบทผู้ยากจนข้นแค้นเช่นแต่ก่อน


อย่างไรก็ตาม ความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจระหว่างเมืองกับชนบทที่ยังคงดำรงอยู่ และวัฒนธรรมการดูถูกดูแคลนคนชนบท เช่น เห็นเป็นพวกขายเสียง ได้นำไปสู่ปัญหาทางการเมืองของประเทศไทย และรัฐบาลไทยรักไทยก็ใช้นโยบายประชานิยมเข้ามาแก้ปัญหาตรงจุดนี้ โดยเปิดโอกาสให้ผู้คนในชนบทมีบทบาทในการกำหนดวิถีการทำมาหากินของตนเอง และให้ความเคารพต่อพวกเขา จนก่อให้เกิดหนทางใหม่ในการคิดถึงเรื่องอำนาจและการมีส่วนร่วมในสังคมการเมืองไทย

รูปแบบนโยบายของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขัดแย้งกับแนวทางเดิมของบรรดาชนชั้นนำไทย ที่จะแสดงความเมตตากรุณาต่อชาวนาชนบทผู้ยอมเคารพนบนอบ ผ่านระบบความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ และรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็รับแนวทางการทำงานของชนชั้นนำเหล่านั้นมา ซึ่งวอล์คเกอร์อธิบายว่า เป็นนโยบายที่ด้อยประสิทธิภาพในโลกชนบทไทยยุคใหม่ ซึ่งประกอบไปด้วย ระบบผลิตแบบฟาร์มประกันราคา (คอนแทร็คต์ ฟาร์มมิ่ง), การทำงานรับจ้างนอกภาคเกษตรกรรม และการเข้าถึงโทรศัพท์มือถือ

อ่านต่อ...

ปชป.ย้อนส.ว.หักหลังนายกฯ สงสัยทำไมไม่เผารร.เอราวัณ

นายสาธิต ปิตุเตชะ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณี นายนิคม ไวรัชพานิช รองประธานวุฒิสภา แถลงการณ์ประณามรัฐบาลว่า การที่ ส.ว.กลุ่มหนึ่งออกมาพูดในลักษณะว่านายกรัฐมนตรีหักหลังส.ว.กลุ่มนี้ โดยอ้างเรื่องการเจรจาวันสุดท้ายที่ทหารเข้าไปกระชับพื้นที่นั้น ขอเรียนว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้หักหลัง แต่ส.ว.กลุ่มนี้มีพฤติกรรมหักหลังนายกรัฐมนตรีมากกว่า เพราะช่วงแรกนายกรัฐมนตรีตั้งใจเจรจากับ นปช. ทิศทางน่าจะดีขึ้น แต่มีการโทรศัพท์ต่างประเทศให้ยุติการเจรจา จากนั้นนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ก็ไปเจรจากับนายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช. ซึ่งข้อตกลงนำไปสู่แผนปรองดองแห่งชาติ เป็นทางลงให้ทุกฝ่าย แต่ถูกปฎิเสธจากพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สำหรับการเจรจารอบ 3 ที่กลุ่มส.ว.อ้างว่าจะประสานกับแกนนำ นปช.นั้นไม่ได้รับการยอมรับ กลุ่ม นปช.ไม่ยุติการชุมนุม ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก มีผู้เสียชีวิตซึ่งเกิดจากกลุ่มผู้ชุมนุมไปสกัดกั้นการทำหน้าที่ของทหาร นายสาธิต กล่าวต่อไปว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้หักหลัง แต่การเข้ามาเป็นตัวกลางของ สว.กลุ่มนี้ต้องการถ่วงเวลาให้มากที่สุด เพื่อให้การชุมนุมยืดเยื้อ ซึ่งเป็นการหักหน้านายกรัฐมนตรีมากกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ไม่ได้เกิดจากกความโกรธแค้นทางการเมือง แต่เป็นเป้าหมายหรือแผนที่จัดกันไว้แล้ว มีตัวชี้วัดที่สำคัญคือเป้าหมายที่ถูกกระทำเช่นธนาคารกรุงเทพถูกเผามากที่สุด และทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่สยามแสควร์ แต่ไม่สงสัยบ้างหรือว่าทำไมโรงแรมเอราวัณจึงไม่ถูกเผา มีการวางแผนและมีความคิดที่จะให้เกิดสงครามกลางเมือง ดังนั้นอยากเรียกร้องให้ ส.ว.กลุ่มนี้มีสำนึก และอย่าซ้ำเติมประเทศไทย ขอให้แยกแยะให้ดีว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรคือการปฎิบัติหน้าที่ และอะไรคือความจำเป็นที่ต้องทำ ถ้ามองให้ลึกจะรู้ว่า ส.ว.กลุ่มนี้เป็นทักษิณคอนเนคชั่น มีที่มาที่ไปโยงใยกับพ.ต.ท.ทักษิณมาตลอด ตั้งแต่ได้รับการเลือกตั้งแล้ว ถ้ามีสำนึกให้หันกลับมาร่วมกันฟื้นฟูประเทศไทยจะดีกว่า เหมือนกับส.ส.พรรคเพื่อไทยจ.สมุทรปราการที่ทำป้ายผ้าข้อความ “ นายกฯอภิสิทธิ์ ทรราชฆ่าประชาชน ” แล้วนำไปติดไว้สถานที่ต่างๆนั้น ขอวิงวอนให้ยุติการกระทำดังกล่าว อย่าซ้ำเติมประเทศไทยไปมากกว่านี้เลย
นายสาธิต กล่าวด้วยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นศาลยังไม่อนุมัติให้จับพ.ต.ท.ทักษิณในข้อหาก่อการร้าย แต่ความเกี่ยวโยงนั้นมีการชี้นำจากเว็บไซต์ทวิตเตอร์ ทุกครั้งที่กลุ่มคนเสื้อแดงเพลี่ยงพล้ำ วันนี้ตัวชี้วัดและสิ่งที่เกิดขึ้นถือว่าบรรลุเป้าหมายของพ.ต.ท.ทักษิณแล้ว ดังนั้นน่าจะมีฉายาได้ว่าเป็น “ บินลาเดนแห่งเอเชีย ” แต่บินลาเดนยังมีความรักชาติ แต่พ.ต.ท.ทักษิณพร้อมที่จะเห็นความล่มสลายของชาติ ทั้งนี้พ.ต.ท.ทักษิณเคยพูดว่า ถ้าเขาอยู่ประเทศนี้ไม่ได้คนอื่นก็อย่าหวังว่าจะอยู่อย่างสงบด้วย

อ่านต่อ...

วันอังคาร, พฤษภาคม 18, 2553

จม.ลึกลับโปรยจากทางด่วนมาให้ผู้ชุมนุม

เวลา 09.30 น.ทางเจ้าหน้าที่กาชาด ได้นำข้าวกล่องและอาหารแห้งกว่า 500 ชุด มาแจกให้ชาวชุมชนบ่อนไก่ ส่วนบรรยากาศบริเวณใต้ทางด่วนพระราม 4 ถนนพระราม เหตุการณ์ยังคงเป็นไปด้วยความปกติ ไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรง เพียงแต่ยังมีเสียงปืนเสียงประทัดดังขึ้นเป็นระยะ สำหรับแนวกั้นยางรถยนต์ที่กลุ่มผู้ชุมนุมนำมากั้นปิดถนนพระราม 4 อยู่ห่างกลุ่มผุ้ชุมนุมบริเวณใต้ทางด่วนเลยเข้ามาทางบ่อนไก่ ประมาณ 200 เมตร โดยจะมีกลุ่มพวกฮาร์ดคอ คอยเผายางรถยนต์อยู่เป็นระยะแต่ยังไม่มีเหตุการณ์รุแรงอย่างไร ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบริเวณทางเข้าชุมชน บ่อนไก่ ปรากฏว่าชาวชุมชนที่ไม่ย้ายออกไปที่อื่นยังคงเดินเข้าออกและมีรถยนต์วิ่ง เข้าออกเป็นปกติ แต่ทุกคนต่างต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ ขณะเดียวกันในกลุ่มผู้ชุมนุม ได้มีการประกาศเตือนกันเองไม่ให้ผุ้ชุมนุมเดินเข้าไปใกล้แนวกั้นยางเพราะอาจ จะถูกทหารยิงได้
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ส่วนบริเวณบนทางด่วน ได้มีประชาชนที่ขับรถยนต์ผ่านมาบริเวณถนนพระราม 4 ได้มีการเขียนจดหมายด้วยปากกาโยนลงมาบริเวณกลุ่มผุ้ชุมนุมเป็นระยะหลายฉบับ โดยข้อความจะมีลักษณะคล้ายกัน ที่ระบุว่าใครที่รับจดหมายนี้ช่วยให้แจ้งกับนักข่าวต่างประเทศด้วย ว่า พวกตนเป็นกลุ่มไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และเห็นทั้งหมดว่าทหารเป็นคนยิงผู้ชุมนุม เพราะมีบ้านพักอยู่ในย่านนี้ แต่ทาง ศอฉ . ยังแถลงการณ์บิดเบือนปัดความรับผิดชอบ ซึ่งหากพวกเราทนไม่ได้จะออกมารวมตัวกันเพื่อจัดการรัฐบาลที่แถลงข่าวไม่ตรง ข้อเท็จจริง

อ่านต่อ...

"เหวง"ยังแถประณามศอฉ.เอารูปพ่อเสื้อแดงเอาลูกน้อยยืนบนกองยาง

นพ. เหวง โตจิราการ นำหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับที่ลงรูปพ่อนำลูกน้อยมายืนดูเหตุการณ์จราจลตรงกองยางที่ทำเป็นบังเกอร์ ของกลุ่ม นปช มาให้สื่อมวลชนดู และกล่าวประณามการกระทำดังกล่าว นอกจากนี้ยังประณาม ศอฉ ที่พยายามใช้รูปนี้สร้างภาพเห็นว่ากลุ่ม นปช ใช้เด็กเป็นโล่ห์มนุษย์ เมื่อ 18 พ.ค.

อ่านต่อ...

โจรใต้ยิงอาสาสมัครทหารพรานนราฯดับ ญาติแย่งนำศพประกอบพิธี

รายงาน ข่าวจากจังหวัดสงขลา เมื่อเวลา 07.30 น.วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ต.ท.เฉลิม ทองสลับล้วน พนักงานสอบสวน สภ.ควนเนียง ได้รับแจ้งเหตุยิงกันตายที่บ้านเลขที่ 58/4 บ้านปากบาง ม.3 ต.รัตภูมิ อ.ควนเนียง จึงรุดตรวจสอบพบที่เกิดเหตุศพนายสม อนันตพงศ์ วัย 34 ปี อาสาสมัครทหารพรานจังหวัดนราธิวาส ซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน ถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซอง 1 นัด กระสุนกระจาย บริเวณลำตัวหลายแผล ทั้งนี้จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่านายสม เพิ่งกลับจากการปฏิบัติหน้าที่ใน จ.นราธิวาสได้ 2 วัน ก่อนเกิดเหตุนั่งดื่มกาแฟหน้าบ้าน ระหว่างนั้นมีคนร้าย 2 คนขับขี่รถกระบะไม่ทราบหมายเลขทะเบียนเข้ามาเทียบจากนั้นหนึ่งในคนร้ายได้ ใช้อาวุธปืนยิงใส่ จนนายสมล้มลงแน่นิ่ง จึงหลบหนีไปอย่างรวดเร็วส่วนสาเหตุนั้นคาดว่าน่าจะมาจากปัญหาความขัดแย้ง ส่วนตัว ซึ่งจะได้ทำการสอบสวนสืบสวนอย่างละเอียดอีกครั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากนายสมเสียชีวิตแล้ว ญาติยังได้แย่งศพกันนำกลับไปบำเพ็ญกุศล เนื่องจากก่อนหน้าที่จะแต่งงานนั้นนายสมนับถือศาสนาพุทธ ในขณะที่ภายหลังได้แต่งงานกับชาวมุสลิม และนับถือศาสนาอิสลาม ทำให้มีการถกเถียงกันโดยนางหนูอินทร์ อนันตพงศ์ มารดาของนายสม อายุ 64 ปีอยู่บ้านเลขที่ 62 ม.9 ต.ควนโส อ.ควนเนียง จ.สงขลา ต้องการที่จะนำศพบุตรชายกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาพุทธ ในขณะที่นางหวา อนันตพงศ์ อายุ 32 ปี ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม ต้องการนำศพสามีไปประกอบพิธีฝัง ทำให้มีการถกเถียงกัน ก่อนที่ตำรวจจะช่วยไกล่เกลี่ยจนตกลงที่จะนำไปฝังตามหลักศาสนาอิสลาม
ไฟเขียว 76 ล้าน ตั้งหน่วยทหารพรานหญิงดับไฟใต้
ครม.อนุมัติให้กองทัพภาค 4 จัดตั้งหน่วยทหารพรานหญิง 2 หมวด 188 อัตรา งบประมาณ 76 ล้าน ดับไฟใต้
นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลั้งการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครม.มีมติอนุมัติ จัดตั้งหน่วยทหารพรานเพิ่มเติมให้กองทัพภาคที่ 4 จำนวน 2 หมวด ทหารพรานหญิง ได้แก่ หมวดทหารพรานหญิง 6 และ หมวดทหารพรานหญิง 7 กำลังพลรวมทั้งสิ้น 188 อัตรา
ทั้งนี้เป็นไปตามที่กระทรวงกลาโหมรายงานว่า กองทัพบกจัดตั้งหทารพรานมาตั้งแต่ปี 2527 เป็นกำลังหลักปฏิบัติงานร่วมกับทหารพรานในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้เหตุการณ์ความรุนแรงจะลดลง แต่สถานการณ์ไม่สงบจึงมีความจำเป็นต้องจัดตั้งหน่วยทหารพราน สำนักงบประมาณ พิจารณาแล้ว ให้จัดสรรงบประมาณให้กองทัพบกใช้จ่ายงบรายจ่ายประจำปี 2553 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 28.44 ล้านบาท ส่วนงบประมาณที่ขาดอยู่อีก 47.72 ล้านบาท ให้กองทัพบบกเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 ตามขั้นตอนต่อไป

อ่านต่อ...

วันจันทร์, พฤษภาคม 17, 2553

กลุ่มคนเสื้อแดงหวังเปิดเวทีย่อยปราศรัยหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง

กลุ่มคนเสื้อแดงหวังเปิดเวทีย่อยปราศรัยหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง เจอชาวบ้าน-นักศึกษา รุมตะโกนด่า พร้อมไล่ตะเพิดออกนอกพื้นที่ ขณะผู้ใช้อินเตอร์เน็ตร้องจุฬาฯเปิดพื้นที่ปลอดภัย.....
เมื่อวันที่ 17 พ.ค.เวลา 21.00 น.กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ( นปช.) ได้นำรถบรรทุกที่ดัดแปลงเป็นเวทีปราศรัยย่อย ไปจอดที่หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง หัวหมาก เพื่อเตรียมเปิดเวทีปราศรัยโจมตีรัฐบาล และจัดชุมนุมคนเสื้อแดงขึ้นที่บริเวณดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงรวมทั้งนักศึกษาที่ทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้ขอร้องไม่ให้มาเปิดเวทีในบริเวณดังกล่าว ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าเจรจาก่อนที่กลุ่ม นปช.ยอมที่จะย้ายรถออกไป

ด้านกลุ่มนิสิต นักศึกษา และประชาชน ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตที่ห่วงใยความปลอดภัยของประชาชน ทำจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดพื้นที่ให้เป็นเขตปลอดภัยสำหรับประชาชน โดยระบุว่า ภาวะเหตุการณ์บ้านเมืองที่กำลังดำเนินอยู่และเป็นไปอย่างรุนแรง ได้สร้างผลเสียหายทั้งร่างกาย ทรัพย์สิน ตลอดจนจิตใจของประชาชน ทั้งที่เป็นผู้เข้าร่วมชุมนุม และที่อาศัยอยู่โดยรอบ เนื่องจากการใช้กำลังและอาวุธสงคราม

ทั้งนี้ เห็นว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด ที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยควรเปิดพื้นที่หลบภัยให้แก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยขอให้เป็นพื้นที่ปลอดอาวุธจากทั้งทางฝ่ายรัฐบาล และประชาชนผู้ชุมนุม เนื่องจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้นเป็นสถาบันทางวิชาการ ที่ควรมีความเป็นกลางทางการเมือง ในการธำรงไว้ซึ่งหลักมนุษยธรรม ประกอบกับที่มีพื้นที่กว้าง อยู่ใกล้กับจุดอันตราย ฉะนั้น จึงมีความหวังที่จะเรียกร้องให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโปรดแสดงตัวตน และจุดยืนของสถาบันวิชาการเพื่อประชาชน โดยเปิดพื้นที่ให้เข้าไปหลบภัยได้ โดยปราศจากอาวุธทั้งปวง.

อ่านต่อ...

บีบีซีตีข่าวรบ.ไทยปัดข้อเสนอ"เสื้อแดง"ดึงยูเอ็นร่วมเจรจา

บีบีซีระบุทางการไทยปฏิเสธข้อเสนอกลุ่มนปช. ที่เสนอให้มีการดึงยูเอ็นมาเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยความขัดแย้งทางการเมืองในไทยชี้ไม่ควรปล่อยให้องค์กรภายนอกมาแทรกแซง... สำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษรายงานว่ารัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะตัดสินใจปฏิเสธข้อเสนอของแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่ม " เสื้อแดง" ที่เสนอให้มีการดึงองค์การสหประชาชาติเข้ามาเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งทางการเมืองในไทยที่ลุกลามบานปลายจนมีผู้เสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย31รายนับตั้งแต่เหตุจลาจลกลางกรุงเทพฯ เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดี (13)ที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้เมื่อวันอาทิตย์(16) ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หนึ่งในแกนนำนปช . แถลงว่า กลุ่มผู้ประท้วงยินดี
เข้าร่วมกระบวนการปรองดองแห่งชาติ ภายใต้เงื่อนไขที่ต้องมีองค์การสหประชาชาติเข้ามาทำหน้าที่เป็นคนกลาง

อย่างไรก็ตาม บีบีซีระบุว่า ปณิธาน วัฒนายากร โฆษกรัฐบาลได้ออกมาปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว
โดยยืนยันความขัดแย้งทางการเมืองในไทยไม่จำเป็นต้องมีองค์กรภายนอกประเทศเข้ามาแทรกแซง

ขณะที่ เรเชล ฮาร์วีย์ ผู้สื่อข่าวของบีบีซีประจำกรุงเทพรายงานว่า บรรยากาศล่าสุดในกรุงเทพฯ ไม่
ต่างไปจากสภาพบ้านเมืองที่มีสงครามกลางเมือง โดยสามารถพบเห็นร่องรอยความเสียหายจากการปะทะ เปลวเพลิง และกลุ่มควันสีดำลอยฟุ้งอยู่ทั่วไปในย่านใจกลางเมือง จนทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความมีเสถียรภาพของไทย ซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นชาติที่มีเศรษฐกิจใหญ่ลำดับที่สองของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ขณะเดียวกัน บีบีซีรายงานโดยอ้างคำพูดของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกมองว่าเป็นต้น
เหตุของความขัดแย้งทางการเมืองในไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมาและต้องลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ ที่ออกมาเรียกร้องเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาให้รัฐบาลสั่งยุติปฏิบัติการทางทหาร และเริ่มต้นกระบวนการเจรจา

อ่านต่อ...

วันอาทิตย์, พฤษภาคม 16, 2553

อาศิส พิทักษ์คุมพล” นั้งเก้าอี้จุฬาราชมนตรีคนใหม่

นายอาซิส พิทักษ์คุมพล ประธานกรรมการอิสลาม ประจำจังหวัดสงขลา ได้รับเลือกเป็นจุฬาราชมนตรีคนที่ 18 ต่อจากนายสวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ ที่ถึงแก่อนิจกรรม ด้วยคะแนน 423 คะแนน ทิ้งห่างผู้ได้รับการเสนอชื่ออีก 2 คน คือนายสมาน มาลีพันธ์ และนายทวี นภากร ซึ่งได้คะแนน 122 และ 148 คะแนน เตรียมนำรายชื่อเสนอนายกรัฐมนตรี นำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นจุฬาราชมนตรี

อ่านต่อ...

ฮิวแมนไรท์ วอช"ประกาศ"เขตใช้กระสุนจริง""ละเมิดสิทธิมนุษยชน"จี้รบ.เลิก ระบุ นปช.ใช้อาวุธขัดคำ"สันติ"

สำนัก ข่าวเอเอฟพีรายงานเมื่อวันที่ 16 พ.ค.ว่า แบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการแห่งหน่วยงาน"ฮิวแมน ไรท์ วอช"ประจำกรุงนิวยอร์ก ชี้ว่า การประกาศใช้เขตใช้กระสุนจริงของรัฐบาลไทย เพื่อใช้ต่อสู้กับกลุ่มผู้ประท้วงคนเสื้อแดง เป็นสิ่งที่ล่อแหลมอันตราย โดยการ ประกาศเขตดังกล่าว ทำ ให้รัฐบาลไทยเสี่ยงที่จะเขยิบเข้าสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนของพลเรือน ซึ่งจะทำให้ทหารคิดอย่างตื้น ๆ ว่า เขตใช้อาวุธจริงก็คือเขตยิงกระสุนได้อย่างอิสระ โดยเฉพาะเมื่อความรุนแรงขยายตัว ทั้งที่พื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตชุมชนชาวบ้าน และรัฐบาลไทยจะต้องตระหนักว่า มีประชาชนคนธรรมดาอาศัยอยู่ที่นี่ด้วย ไม่ใช่แต่เฉพาะผู้ประท้วงเท่านั้น

นายแบรด ยังได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทย ยกเลิก"เขตใช้กระสุนจริง"ที่เสี่ยงต่อการถูกพิจารณาว่าเป็นการใช้กำลังที่ อันตรายและผิดกฎหมายด้วย โดยภายใต้กฎของสหประชาชาติ การใช้กำลังอย่างผิดกฎหมายจะต้องใช้ในกรณีที่มีบุคคลเป็นภัยต่อชีวิตของผู้ คนอื่น ๆ เท่านั้น

เมื่อวันเสาร์ ผู้เห็นเหตุการณ์ชาวต่างชาติเปิดเผยว่า ได้เห็นทหารยิงกลุ่มคนเสื้อแดงที่เดินถือธงชาติไทยเข้ามา และมีร่างไร้ชีวิตของผู้คน 3 รายนอนอยู่ในบริเวณเขตใช้กระสุนจริง

ขณะที่เอเอฟพีรายงานว่า นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ประกาศว่ามีกลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ประท้วงเสื้อแดง

อย่างไรก็ตาม ฮิวแมน ไรท์ วอช ยังได้แสดงความวิตกต่อกรณีกลุ่มคนเสื้อแดงกำลังใช้อาวุธทำเองและอาวุธอื่น ๆ ซึ่งเป็นขัดกับคำอ้างของกลุ่มว่าประท้วงอย่างสันติ

อ่านต่อ...

ในมุมกลับกันสิน่ากลัว วิเคราะห์การเมือง ไทยรัฐ

อย่างน้อยๆก็ต้องได้ไปกับคะแนนของความรับผิดชอบ แกนนำม็อบ นปช. ไม่เอาชีวิตของผู้บริสุทธิ์มาเป็นเหยื่อสังเวยปลายกระบอกปืนทหาร ที่แน่ๆถ้าดันทุรังสู้ แล้วคนตายเป็นเบือด้วยข้อหา “สารเลว” พาคนไปตาย ที่ฝ่ายถืออำนาจและสื่อในสังกัดพร้อมกระพือ กระแสเสื้อแดงที่เร้ากันไว้ครึ่งค่อนประเทศ มีหวังดับวูบ ไม่มีทางจุดติดอีกต่อไป และก็เป็นอะไรที่ไม่ได้กลับบ้านมือเปล่าซะทีเดียว กับรายการที่เกิดขึ้นกับนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ถูกล็อกกุญแจมือไพล่หลัง หิ้วขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปสอบสวนที่ค่ายนเรศวร เพชรบุรี ตั้งข้อหาร้ายแรง โทษฐานบุกโรงแรมล้มโต๊ะงานประชุมอาเซียน ทำให้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เสียหน้า

ขณะที่นายวีระ มุสิกพงศ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำม็อบ นปช. ยอมสลายม็อบ เดินเข้ามอบตัวกับตำรวจโดยดี แต่โดนล็อกตัวแยกขังเดี่ยวตามค่ายทหาร และ ตชด.

เทียบกับขาใหญ่ม็อบพันธมิตรฯ ที่โดนข้อหาก่อการร้ายสากล บุกยึดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ปิดสนามบินดอนเมือง ยึดทำเนียบรัฐบาลเป็นเดือนๆ ตำรวจต้องโค้งคำนับตอนรับมอบตัว ต้อนรับประดุจบุคคลสำคัญ และจนถึงวันนี้ผ่านมา 3-4 เดือนแล้ว คดียังคาราคาซัง ไม่คืบหน้าไปถึงไหน

เช่นเดียวกัน เมื่อตอนม็อบเสื้อเหลือง ทหารแค่ถือโล่คุมเชิงม็อบพอเป็นพิธี แต่ถึงคิวของม็อบเสื้อแดง ทหารถือปืนเอ็ม 16 ขับรถหุ้มเกราะ ระดมอาวุธหนักครบมือ ตั้งแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่ง ลั่นกระสุนปืน เดินหน้าตาถมึงทึงเข้าหาผู้ชุมนุม โดยมาตรฐานความเท่าเทียมทางกฎหมาย ภายใต้การบริหารจัดการของรัฐบาล “อภิสิทธิ์ชน” ทำให้คนเสื้อแดงสะกดคำว่า “สองมาตรฐาน” เป็น

แต่ทั้งหมดทั้งปวง โดยยุทธศาสตร์การจัดการที่ยังห่างชั้นกับม็อบเสื้อเหลืองที่มีระบบการควบคุม ม็อบอย่างเป็นระบบ สั่งซ้ายหัน ขวาหัน ได้แบบหุ่นยนต์

ในขณะที่คนเสื้อแดงแตกเป็นดาวกระจาย มาจากหลายสาย ไม่มีระบบการควบคุมกันเอง ไร้ทิศทางการเคลื่อนไหว ยุทธศาสตร์เป้าหมายไม่เคลียร์ นั่นก็นำมาซึ่งจุดเปลี่ยนเกม เมื่อม็อบแท็กซี่ในเครือข่ายวิทยุชุมชนที่ไม่พอใจแกนนำ นปช.เดินเกมไม่ดุดันทันใจ ตัดสินใจนำทีมฮาร์ดคอร์ปิดถนนรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ทำให้การจราจรในเมืองกรุงเป็นอัมพาต ชาวบ้านเดือดร้อนรุมก่นด่า กระแสตีกลับ

ที่สำคัญโดยการเคลื่อนไหวที่ไร้ยุทธศาสตร์ ยิ่งง่ายต่อเกมแทรกของพวก “แดงปลอม” ในเครือข่ายพ่อมดเขมร ส่งทีมมาช่วยป่วนสถานการณ์ ล่อบาทาให้คนเสื้อแดง

ยังไม่นับความอ่อนหัดของคนระดับแกนนำเองแท้ๆ ที่คุมอารมณ์ ได้ไม่นิ่งพอ พลาดทะเลาะกับสื่อ เพราะไม่พอใจเสนอแต่ข่าวด้านลบ ขู่ไม่รับรองความปลอดภัย เล่นเอานักข่าวกระเจิง ไม่กล้าอยู่ในวงผู้ชุมนุม ทำให้พื้นที่ข่าวม็อบแดงหายไปโดยปริยาย หลงเกมควักตาสื่อ ก่อนโดนรัฐบาลปิดประตูตีแมว

โดยเกมโรมรันพันตู ต้องสู้กับแนวร่วมสหบาทา อำมาตย์ พรรคประชาธิปัตย์ ทหาร ม็อบพันธมิตรฯเสื้อเหลือง ก๊วนเพื่อนเนวิน แม้ม็อบคนเสื้อแดงมีแนวร่วมแน่น มากด้วยปริมาณ แต่ขาดการจัดการ คุมม็อบหลายสายไม่ได้ จำเป็นต้องกลับมาปรับยุทธศาสตร์กันใหม่

และโดยหัวเชื้อไวไฟ รัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.สถานการณ์ ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง เสียงปังจากปลายกระบอกปืนของทหาร ตั้งแถวปราบประชาชนมือเปล่า มวลชนเสื้อแดงรอแค่ปรับทัพ

ในเมื่อยังมีตัวเล่นทีมเอ ไล่ยี่ห้อตั้งแต่ “จาตุรนต์ ฉายแสง-สุธรรม แสงประทุม-ภูมิธรรม เวชชยชัย-พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ฯลฯ” ระดับ “มืออาชีพ” งานมวลชนตัวจริงเสียงจริง พร้อมจัดเกมรบให้เป็นระบบ บนดินก็เร้าใจ แต่มุดลงใต้ดินยิ่งเร้าใจกว่า.

ทีมข่าวการเมือง รายงาน

อ่านต่อ...

วันศุกร์, พฤษภาคม 14, 2553

จุฬาราชมนตรี

การสรรหาจุฬาราชมนตรีคนใหม่แทน คุณสวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ ที่ถึงแก่อนิจกรรมไปแล้วจะมีขึ้นในวันที่ 16 พฤษภาคมนี้ ซึ่งถือเป็นจุฬาราชมนตรีคนที่ 18 ทางกระทรวงมหาดไทยจะเป็นผู้จัดการการสรรหาเป็นครั้งแรกตามกฎกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2542 พ.ร.บ.การบริหารองค์กรอิสลาม 2540

อ่านต่อ...

About This Blog

รายการบล็อกของฉัน

รายการบล็อก

Our Blogger Templates Web Design

  © Blogger templates The Professional Template by Ourblogtemplates.com 2008

Back to TOP