นักวิชาการอเมริกันเสนอไทยหยุดหมกมุ่นแค่"ปีศาจทักษิณ" แนะควรแก้ปัญหาอื่นที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งด้วย
นักมานุษยวิทยาอเมริกันแนะไทย อย่าหมกมุ่นกับ "ปีศาจทักษิณ" จนไม่ยอมแก้ปัญหาอื่น ชี้กองกำลังเสื้อแดงเกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก ขณะที่ปัญหา "ชนชั้น" และ "ชาติพันธุ์-ภูมิภาค" ก็ฝังรากลึก
"ชาร์ลส์ คายส์" ศาสตราจารย์เกียรติคุณทางด้านมานุษยวิทยาและนานาชาติศึกษา แห่งมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ทำการศึกษาเรื่องเมืองไทย โดยเฉพาะประเด็นเรื่องชาวบ้านในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาอย่างยาวนาน ได้เขียนบทความชื่อ "ดีลลิ่ง วิธ ′เดอะ เดวิล′, เดอะ เร้ดส์ แอนด์ ลุคกิ้ง วิธอิน" (ความสัมพันธ์กับ "ปีศาจ", คนเสื้อแดง และการมองย้อนกลับเข้ามาภายใน) ลงในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ฉบับวันที่ 26 พฤษภาคม มติชนออนไลน์ เห็นว่าบทความดังกล่าวมีเนื้อหาน่าสนใจเป็นอย่างมาก จึงขออนุญาตสรุปความและนำมาเผยแพร่ดังต่อไปนี้
การก่อร่างสร้างปีศาจ
เหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่กรุงเทพมหานคร จนนำมาสู่การเผาอาคารทางธุรกิจที่มีความสำคัญหลายแห่งโดยผู้ชุมนุม ส่งผลให้ชาวกทม.จำนวนมาก และผู้สนับสนุนนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทั่วประเทศ ต่างชี้นิ้วว่าตัวการที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมที่ผ่านมา ก็คือ คนเพียงคนเดียว ซึ่งเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีนามว่า ทักษิณ ชินวัตร
ในสายตาคนเหล่านั้น ทักษิณกลายเป็นปีศาจที่มีตัวตน ผู้ก่อให้เกิดความโชคร้ายและปัญหาสังคมต่าง ๆ นานา พวกเขาเชื่อว่าหากอดีตผู้นำประเทศรายนี้ถูกเขี่ยพ้นออกไปจากการเมืองไทย สังคมไทยก็จะกลับคืนสู่ความสงบและความสามัคคี
แน่นอนว่าทักษิณได้ใช้ความร่ำรวยและอิทธิพลของตนเองในการสนับสนุนการชุมนุมทั้งที่สันติและรุนแรงของกลุ่มคนเสื้อแดง แต่หากรัฐบาลอภิสิทธิ์และคนอื่น ๆ ที่จะมีส่วนร่วมในนโยบายปรองดองแห่งชาติ ยังคงเห็นว่าทักษิณเป็นเพียงตัวการเดียวของปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น พวกเขาก็จะประสบกับความผิดพลาดในเชิงยุทธวิธี และหนทางสู่ความปรองดองก็จะประสบกับทางตัน ขณะที่ความขัดแย้งในสังคมก็จะยังดำเนินต่อไป
สาเหตุอื่น ๆ ของความขัดแย้งในสังคมไทย
วิกฤตเศรษฐกิจโลกส่งผลเสียอย่างหนักต่อภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ของไทย เพราะในปัจจุบัน ครัวเรือนของชาวอีสานต้องพึ่งพิงรายได้ที่ส่งมาจากสมาชิกของครอบครัวซึ่งประกอบอาชีพในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ มีแรงงานชายจากภาคอีสานนับแสนคนออกไปรับจ้างทำงานในต่างประเทศ
วิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2550 จึงส่งผลเสียหายอย่างหนักต่อครอบครัวของชาวบ้านในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งปัจจุบัน สมาชิกจำนวนมากของครอบครัวเหล่านี้ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กหนุ่ม ได้กลายเป็นประชากรที่ตกงาน เด็กหนุ่มกลุ่มใหญ่กลุ่มนี้นี่เอง ที่เป็นทรัพยากรสำคัญของกลุ่มกองกำลังคนเสื้อแดง ซึ่งมีส่วนจุดไฟเผาอาคารสำคัญในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด รวมทั้งยังกล้าเผชิญหน้ากับกองกำลังของรัฐบาล
ดูเหมือนรัฐบาลอภิสิทธิ์จะไม่ได้ตระหนักถึงกลุ่มเด็กหนุ่มเหล่านี้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะพวกเขาคือกลุ่มคนว่างงานในภาคส่วนเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการ ดังนั้น พวกเขาจึงไร้ตัวตนจากการเก็บสถิติของรัฐ แต่หากรัฐบาลไทยไม่แก้ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจให้แก่คนกลุ่มนี้ ความเกลียดชังและความไม่พอใจของพวกเขาก็จะดำเนินต่อไป ไม่ว่าจะได้รับการสนับสนุนจากทักษิณหรือไม่ก็ตาม
สาเหตุสำคัญของความขัดแย้งในสังคมไทยประการต่อก็คือ ความแตกแยกอย่างลึกซึ้งในสังคม อันเกิดจากเส้นแบ่งในเรื่องชนชั้นและชาติพันธุ์-ภูมิภาค กลุ่มคนเสื้อแดงมีอยู่อย่างหนาแน่นในภาคอีสานและภาคเหนือ เพราะคนเหล่านี้ตระหนักว่าตนเองถูกใส่ร้ายป้ายสีตลอดมาจากเหล่าคนชั้นกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพฯ
การใส่ร้ายป้ายสีดังกล่าวมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน คนในภาคอีสานและเหนือมักถูกมองจากคนไทยในส่วนกลางว่าเป็น "ลาว" เมื่อครั้งที่พวกเขาเพิ่งถูกควบรวมเข้ามาใน "รัฐ-ชาติ" ไทย แม้ว่าต่อมานโยบายการศึกษาและสื่อสารมวลชนที่มีฐานอยู่ในกรุงเทพฯ จะบ่งชี้ว่าคนจากภูมิภาคเหล่านี้เป็น "ไทย" ทว่าภาพลักษณ์ด้านลบอันเก่าแก่ที่เห็นว่าคนเหนือและอีสานมี "ความเป็นไทย" น้อยกว่าคนกรุงเทพฯ ก็ยังคงดำรงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
ภาพลักษณ์ด้านลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพด้านลบของคนอีสาน ปรากฏอยู่อย่างสม่ำเสมอในภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ไทย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คนอีสานถูกใส่ร้ายป้ายสีครั้งแล้วครั้งเล่าโดยสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมซึ่งฝักใฝ่การเมืองสีหนึ่ง, หนังสือพิมพ์ในกทม. และเว็บล็อกตลอดจนเฟซบุ๊กจำนวนมาก ว่าพวกเขาโง่เหมือน "ควาย" เป็นต้น ความคิดจำนวนมากที่ถูกนำเสนอในสื่อยังเชื่อว่าชาวบ้านเหล่านี้เข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสาร และไม่ตระหนักว่าตนเองกำลังโดนดูถูกเหยียดหยาม
แต่ความจริงที่เกิดขึ้นก็คือ ชาวบ้านเหล่านี้ตระหนักว่าตนเองกำลังถูกใส่ร้ายป้ายสี และภาวะที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องดังกล่าวได้กลายเป็นปัจจัยหลักสำคัญประการหนึ่งของความขัดแย้งในสังคมไทย
ขณะที่รัฐบาลอภิสิทธิ์พยายามไล่ปิดสถานีวิทยุชุมชนและเว็บไซต์ที่สนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดง โดยให้เหตุผลว่าสื่อเหล่านั้นยั่วยุให้เกิดความรุนแรงและความเกลียดชัง แต่รัฐบาลกลับไม่เข้าไปควบคุมสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมบางช่อง และสื่ออื่น ๆ ที่เร่ขายความเกลียดชังต่อคนบางกลุ่ม ตั้งแต่ คนเสื้อแดง คนมลายูมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งคนเขมรในภาคอีสานและประเทศกัมพูชา
แม้รัฐบาลจะไม่สามารถและไม่ควรจะพยายามเข้าไปควบคุมเนื้อหาของสื่อ แต่รัฐบาลสามารถดำเนินคดีกับสื่อทั้งสองฝ่ายที่ยั่วยุให้ผู้คนเกลียดชังกันได้ นอกจากนี้รัฐบาลยังสามารถสร้างนโยบายการลงโทษทางสังคมผ่านการส่งเสริมสนับสนุนสื่อคุณภาพที่มีความเป็นอิสระ และคว่ำบาตรสื่อของกลุ่มการเมืองใดก็ตามที่ยังคงมีส่วนทำให้ความแตกแยกระหว่างคนไทยแพร่กระจายออกไปมากขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลยังควรระมัดระวังและหลีกเลี่ยงที่จะใช้ถ้อยคำซึ่งมีส่วนในการยั่วยุอารมณ์เสียเอง เช่น คำว่า "ผู้ก่อการร้าย" เป็นต้น
"หมดเวลา"
คนในภาครัฐบาลและส่วนอื่น ๆ ที่จะมีเข้ามาเกี่ยวข้องกับนโยบายปรองดองแห่งชาติต้องการรับความช่วยเหลือจากทุกฝ่าย เท่าที่พวกเขาจะสามารถรับได้ เพราะเมื่อกระสุนปืนถูกยิงออกไป ประเทศไทยก็ย่อมตกอยู่ในภาวะระอุคุกรุ่นอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
ชาวกรุงเทพฯจำนวนมากรู้สึกโกรธแค้นเดือดดาลกับบาดแผลที่เกิดขึ้นกับนครหลวงของพวกตนในช่วง 2 เดือนกว่าที่ผ่านมา พวกเขาเรียกร้องให้มีการลงโทษผู้มีส่วนรับผิดชอบโดยตรงต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น รวมทั้งผู้มีส่วนร่วมสนับสนุนการกระทำดังกล่าว ขณะเดียวกัน กลุ่มคนเสื้อแดงก็มีความโกรธเคืองที่ถูกเก็บงำไว้อย่างลึกซึ้ง เกี่ยวกับความตายและการได้รับบาดเจ็บของเพื่อนตลอดจนญาติพี่น้องของพวกเขา จนนำไปสู่การเรียกร้องให้มีการแก้แค้น
ในสภาวะเช่นนี้ หลักธรรมทางพุทธศาสนาที่สอนให้คนรู้จักระงับความโกรธได้สูญหายไปจากสังคมไทย และจะยิ่งอันตรายมากขึ้น ถ้าคนไทยบางส่วนเลือกเดินไปบนเส้นทางเดียวกับกลุ่ม "เขมรแดง" ซึ่งบิดเบือนอุดมคติทางพุทธศาสนาเรื่องการตัดทอนกิเลสตัณหา ให้กลายเป็นการขาดแคลนอารมณ์ความรู้สึกอันน่าหวาดกลัว เมื่ออุดมคติดังกล่าวถูกนำไปพัวพันกับปฏิบัติการแห่งความรุนแรง
จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คนไทยจะต้องกลับไปรื้อฟื้นหลักธรรมทางพุทธศาสนาที่สอนให้เรารู้จักข่มระงับกิเลสตัณหาอันเร่าร้อนของตนเอง
จึง "หมดเวลา" ที่คนไทยจะยังคงแตกแยกกัน กระทั่งเกิดแผลกลัดหนองอยู่ภายในตัวตน
แม้ผู้นำของกลุ่มการเมืองคู่ขัดแย้งในประเทศไทย ซึ่งแสวงหาแต่บทลงโทษและการแก้แค้น อาจจะเห็นต่างกับข้อเสนอนี้ แต่เราสามารถคาดหวังได้ว่าคนไทยส่วนใหญ่จะให้ความสนใจต่อเสียงร่ำไห้ที่ดังออกมาจากหัวใจของผู้คน แล้วหันเหตนเองไปสู้การทำงานอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเต็มไปด้วยความอดทน เพื่อจะแก้ไขสาเหตุต่าง ๆ แห่งความขัดแย้งของประเทศ ซึ่งถูกนำไปใช้หาประโยชน์ใส่ตัวโดยเหล่าผู้นำที่ประพฤติตนผิดศีลธรรมหรือไร้ศีลธรรม
"ชาร์ลส์ คายส์" ศาสตราจารย์เกียรติคุณทางด้านมานุษยวิทยาและนานาชาติศึกษา แห่งมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ทำการศึกษาเรื่องเมืองไทย โดยเฉพาะประเด็นเรื่องชาวบ้านในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาอย่างยาวนาน ได้เขียนบทความชื่อ "ดีลลิ่ง วิธ ′เดอะ เดวิล′, เดอะ เร้ดส์ แอนด์ ลุคกิ้ง วิธอิน" (ความสัมพันธ์กับ "ปีศาจ", คนเสื้อแดง และการมองย้อนกลับเข้ามาภายใน) ลงในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ฉบับวันที่ 26 พฤษภาคม มติชนออนไลน์ เห็นว่าบทความดังกล่าวมีเนื้อหาน่าสนใจเป็นอย่างมาก จึงขออนุญาตสรุปความและนำมาเผยแพร่ดังต่อไปนี้
การก่อร่างสร้างปีศาจ
เหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่กรุงเทพมหานคร จนนำมาสู่การเผาอาคารทางธุรกิจที่มีความสำคัญหลายแห่งโดยผู้ชุมนุม ส่งผลให้ชาวกทม.จำนวนมาก และผู้สนับสนุนนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทั่วประเทศ ต่างชี้นิ้วว่าตัวการที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมที่ผ่านมา ก็คือ คนเพียงคนเดียว ซึ่งเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีนามว่า ทักษิณ ชินวัตร
ในสายตาคนเหล่านั้น ทักษิณกลายเป็นปีศาจที่มีตัวตน ผู้ก่อให้เกิดความโชคร้ายและปัญหาสังคมต่าง ๆ นานา พวกเขาเชื่อว่าหากอดีตผู้นำประเทศรายนี้ถูกเขี่ยพ้นออกไปจากการเมืองไทย สังคมไทยก็จะกลับคืนสู่ความสงบและความสามัคคี
แน่นอนว่าทักษิณได้ใช้ความร่ำรวยและอิทธิพลของตนเองในการสนับสนุนการชุมนุมทั้งที่สันติและรุนแรงของกลุ่มคนเสื้อแดง แต่หากรัฐบาลอภิสิทธิ์และคนอื่น ๆ ที่จะมีส่วนร่วมในนโยบายปรองดองแห่งชาติ ยังคงเห็นว่าทักษิณเป็นเพียงตัวการเดียวของปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น พวกเขาก็จะประสบกับความผิดพลาดในเชิงยุทธวิธี และหนทางสู่ความปรองดองก็จะประสบกับทางตัน ขณะที่ความขัดแย้งในสังคมก็จะยังดำเนินต่อไป
สาเหตุอื่น ๆ ของความขัดแย้งในสังคมไทย
วิกฤตเศรษฐกิจโลกส่งผลเสียอย่างหนักต่อภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ของไทย เพราะในปัจจุบัน ครัวเรือนของชาวอีสานต้องพึ่งพิงรายได้ที่ส่งมาจากสมาชิกของครอบครัวซึ่งประกอบอาชีพในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ มีแรงงานชายจากภาคอีสานนับแสนคนออกไปรับจ้างทำงานในต่างประเทศ
วิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2550 จึงส่งผลเสียหายอย่างหนักต่อครอบครัวของชาวบ้านในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งปัจจุบัน สมาชิกจำนวนมากของครอบครัวเหล่านี้ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กหนุ่ม ได้กลายเป็นประชากรที่ตกงาน เด็กหนุ่มกลุ่มใหญ่กลุ่มนี้นี่เอง ที่เป็นทรัพยากรสำคัญของกลุ่มกองกำลังคนเสื้อแดง ซึ่งมีส่วนจุดไฟเผาอาคารสำคัญในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด รวมทั้งยังกล้าเผชิญหน้ากับกองกำลังของรัฐบาล
ดูเหมือนรัฐบาลอภิสิทธิ์จะไม่ได้ตระหนักถึงกลุ่มเด็กหนุ่มเหล่านี้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะพวกเขาคือกลุ่มคนว่างงานในภาคส่วนเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการ ดังนั้น พวกเขาจึงไร้ตัวตนจากการเก็บสถิติของรัฐ แต่หากรัฐบาลไทยไม่แก้ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจให้แก่คนกลุ่มนี้ ความเกลียดชังและความไม่พอใจของพวกเขาก็จะดำเนินต่อไป ไม่ว่าจะได้รับการสนับสนุนจากทักษิณหรือไม่ก็ตาม
สาเหตุสำคัญของความขัดแย้งในสังคมไทยประการต่อก็คือ ความแตกแยกอย่างลึกซึ้งในสังคม อันเกิดจากเส้นแบ่งในเรื่องชนชั้นและชาติพันธุ์-ภูมิภาค กลุ่มคนเสื้อแดงมีอยู่อย่างหนาแน่นในภาคอีสานและภาคเหนือ เพราะคนเหล่านี้ตระหนักว่าตนเองถูกใส่ร้ายป้ายสีตลอดมาจากเหล่าคนชั้นกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพฯ
การใส่ร้ายป้ายสีดังกล่าวมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน คนในภาคอีสานและเหนือมักถูกมองจากคนไทยในส่วนกลางว่าเป็น "ลาว" เมื่อครั้งที่พวกเขาเพิ่งถูกควบรวมเข้ามาใน "รัฐ-ชาติ" ไทย แม้ว่าต่อมานโยบายการศึกษาและสื่อสารมวลชนที่มีฐานอยู่ในกรุงเทพฯ จะบ่งชี้ว่าคนจากภูมิภาคเหล่านี้เป็น "ไทย" ทว่าภาพลักษณ์ด้านลบอันเก่าแก่ที่เห็นว่าคนเหนือและอีสานมี "ความเป็นไทย" น้อยกว่าคนกรุงเทพฯ ก็ยังคงดำรงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
ภาพลักษณ์ด้านลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพด้านลบของคนอีสาน ปรากฏอยู่อย่างสม่ำเสมอในภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ไทย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คนอีสานถูกใส่ร้ายป้ายสีครั้งแล้วครั้งเล่าโดยสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมซึ่งฝักใฝ่การเมืองสีหนึ่ง, หนังสือพิมพ์ในกทม. และเว็บล็อกตลอดจนเฟซบุ๊กจำนวนมาก ว่าพวกเขาโง่เหมือน "ควาย" เป็นต้น ความคิดจำนวนมากที่ถูกนำเสนอในสื่อยังเชื่อว่าชาวบ้านเหล่านี้เข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสาร และไม่ตระหนักว่าตนเองกำลังโดนดูถูกเหยียดหยาม
แต่ความจริงที่เกิดขึ้นก็คือ ชาวบ้านเหล่านี้ตระหนักว่าตนเองกำลังถูกใส่ร้ายป้ายสี และภาวะที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องดังกล่าวได้กลายเป็นปัจจัยหลักสำคัญประการหนึ่งของความขัดแย้งในสังคมไทย
ขณะที่รัฐบาลอภิสิทธิ์พยายามไล่ปิดสถานีวิทยุชุมชนและเว็บไซต์ที่สนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดง โดยให้เหตุผลว่าสื่อเหล่านั้นยั่วยุให้เกิดความรุนแรงและความเกลียดชัง แต่รัฐบาลกลับไม่เข้าไปควบคุมสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมบางช่อง และสื่ออื่น ๆ ที่เร่ขายความเกลียดชังต่อคนบางกลุ่ม ตั้งแต่ คนเสื้อแดง คนมลายูมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งคนเขมรในภาคอีสานและประเทศกัมพูชา
แม้รัฐบาลจะไม่สามารถและไม่ควรจะพยายามเข้าไปควบคุมเนื้อหาของสื่อ แต่รัฐบาลสามารถดำเนินคดีกับสื่อทั้งสองฝ่ายที่ยั่วยุให้ผู้คนเกลียดชังกันได้ นอกจากนี้รัฐบาลยังสามารถสร้างนโยบายการลงโทษทางสังคมผ่านการส่งเสริมสนับสนุนสื่อคุณภาพที่มีความเป็นอิสระ และคว่ำบาตรสื่อของกลุ่มการเมืองใดก็ตามที่ยังคงมีส่วนทำให้ความแตกแยกระหว่างคนไทยแพร่กระจายออกไปมากขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลยังควรระมัดระวังและหลีกเลี่ยงที่จะใช้ถ้อยคำซึ่งมีส่วนในการยั่วยุอารมณ์เสียเอง เช่น คำว่า "ผู้ก่อการร้าย" เป็นต้น
"หมดเวลา"
คนในภาครัฐบาลและส่วนอื่น ๆ ที่จะมีเข้ามาเกี่ยวข้องกับนโยบายปรองดองแห่งชาติต้องการรับความช่วยเหลือจากทุกฝ่าย เท่าที่พวกเขาจะสามารถรับได้ เพราะเมื่อกระสุนปืนถูกยิงออกไป ประเทศไทยก็ย่อมตกอยู่ในภาวะระอุคุกรุ่นอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
ชาวกรุงเทพฯจำนวนมากรู้สึกโกรธแค้นเดือดดาลกับบาดแผลที่เกิดขึ้นกับนครหลวงของพวกตนในช่วง 2 เดือนกว่าที่ผ่านมา พวกเขาเรียกร้องให้มีการลงโทษผู้มีส่วนรับผิดชอบโดยตรงต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น รวมทั้งผู้มีส่วนร่วมสนับสนุนการกระทำดังกล่าว ขณะเดียวกัน กลุ่มคนเสื้อแดงก็มีความโกรธเคืองที่ถูกเก็บงำไว้อย่างลึกซึ้ง เกี่ยวกับความตายและการได้รับบาดเจ็บของเพื่อนตลอดจนญาติพี่น้องของพวกเขา จนนำไปสู่การเรียกร้องให้มีการแก้แค้น
ในสภาวะเช่นนี้ หลักธรรมทางพุทธศาสนาที่สอนให้คนรู้จักระงับความโกรธได้สูญหายไปจากสังคมไทย และจะยิ่งอันตรายมากขึ้น ถ้าคนไทยบางส่วนเลือกเดินไปบนเส้นทางเดียวกับกลุ่ม "เขมรแดง" ซึ่งบิดเบือนอุดมคติทางพุทธศาสนาเรื่องการตัดทอนกิเลสตัณหา ให้กลายเป็นการขาดแคลนอารมณ์ความรู้สึกอันน่าหวาดกลัว เมื่ออุดมคติดังกล่าวถูกนำไปพัวพันกับปฏิบัติการแห่งความรุนแรง
จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คนไทยจะต้องกลับไปรื้อฟื้นหลักธรรมทางพุทธศาสนาที่สอนให้เรารู้จักข่มระงับกิเลสตัณหาอันเร่าร้อนของตนเอง
จึง "หมดเวลา" ที่คนไทยจะยังคงแตกแยกกัน กระทั่งเกิดแผลกลัดหนองอยู่ภายในตัวตน
แม้ผู้นำของกลุ่มการเมืองคู่ขัดแย้งในประเทศไทย ซึ่งแสวงหาแต่บทลงโทษและการแก้แค้น อาจจะเห็นต่างกับข้อเสนอนี้ แต่เราสามารถคาดหวังได้ว่าคนไทยส่วนใหญ่จะให้ความสนใจต่อเสียงร่ำไห้ที่ดังออกมาจากหัวใจของผู้คน แล้วหันเหตนเองไปสู้การทำงานอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเต็มไปด้วยความอดทน เพื่อจะแก้ไขสาเหตุต่าง ๆ แห่งความขัดแย้งของประเทศ ซึ่งถูกนำไปใช้หาประโยชน์ใส่ตัวโดยเหล่าผู้นำที่ประพฤติตนผิดศีลธรรมหรือไร้ศีลธรรม
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น