ปัตตานีเพลส...“เอ็ดดูเคชั่น คอมเพล็กซ์” ที่ชายแดนใต้
สถานการณ์แบบนี้...ใครบอกว่าจะมาลงทุนทำธุรกิจในจังหวัดชายแดนภาคใต้ คนฟังต้องคิดในใจว่า “โม้แน่ๆ”
แต่เรื่องที่ไม่มีใครอยากเชื่อ กำลังจะกลายเป็นความจริงแล้ว เมื่อบริษัท ดี อาร์ เอส ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (DRS DEVELOPMENT CO., LTD) ได้ตัดสินใจระดมทุนร่วม 500 ล้านบาท ทำโครงการ “ปัตตานีเพลส”
โครงการชื่อเก๋ๆ ที่ว่านี้ คือการก่อสร้างศูนย์การค้าและศูนย์กลางการศึกษาขนาดใหญ่ใจกลางเมืองปัตตานี ศูนย์การค้านั้นพอจะนึกภาพออก แต่ศูนย์กลางทางการศึกษาคงต้องอธิบายกันหน่อยว่าไม่ใช่การเปิดมหาวิทยาลัยหรือโรงเรียนในระบบการศึกษาปกติ แต่เป็นการสร้างสถานที่สำหรับเปิดติวและฝึกอบรมเพื่อพัฒนาการศึกษา ทั้งหมดอยู่ในอาคารศูนย์การศึกษานานาชาติซึ่งเป็นหัวใจของโครงการนี้
โครงการดังกล่าว เพิ่งมีการจัดเสวนาและนำเสนอโครงการของผู้เกี่ยวข้องฝ่ายต่างๆ ไปเมื่อปลาย ต.ค.ที่ผ่านมานี้เอง ที่ห้องประชุมเช็คอะหมัด-อัลฟาฏอนียฺ วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (ม.อ.ปัตตานี) โดยมีแผนจะตอกเสาเข็มเริ่มโครงการในต้นปีหน้า และเปิดอย่างอลังการได้ช่วงสิ้นปี
โครงการนี้จะตั้งอยู่บนที่ดินผืนใหญ่ขนาด 10 ไร่ ริมถนนเจริญประดิษฐ์ ต.รูสะมิแล อ.เมือง จ.ปัตตานี ห่างจาก ม.อ.ปัตตานี เพียงแค่ 200 เมตร ในโครงการจะประกอบด้วย IEC หรือ International Education Center เป็นอาคารสูง 5 ชั้นสำหรับบริการด้านการศึกษานานาชาติแห่งใหม่ในภาคใต้ ประกอบด้วย สถาบันทดสอบทางภาษา เช่น TOEFL, IELT และศูนย์ของมหาวิทยาลัยจากต่างประเทศ
นอกจากนั้นยังมีโรงแรมระดับ 4 ดาวชื่อ Pattani Hotel (ปัตตานี โฮเต็ล) ขนาด 60 ห้อง พร้อมห้องสัมมนาขนาดใหญ่ มี Condotel หรือคอนโดมีเนียมจำนวน 4 อาคาร เพื่อบริการที่พักสำหรับนักศึกษาและบุคคลทั่วไป ทั้งยังมีโฮมออฟฟิศอีก 13 ยูนิตสำหรับเป็นสถานที่ให้บริการของสถาบันกวดวิชา ร้านค้าอุปกรณ์ทางการศึกษา (Stationary ) และอื่นๆ พร้อมด้วย Hall Outdoor หรือลานกลางแจ้งสำหรับจัดกิจกรรมทางการศึกษา นิทรรศการ และงานแสดงสินค้าอีกด้วย
โครงการใหญ่บนถนนสาย ม.อ.
ทวีศักดิ์ มหามะ บอร์ดบริหารโครงการปัตตานีเพลส บอกว่า เขามักมองวิกฤติให้เป็นโอกาส และนั่นคือการตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการลงทุนครั้งใหญ่ที่ปัตตานี
“ผมเป็นนักธุรกิจ วันนี้พี่น้องในพื้นที่สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบและความรุนแรงในมุมมองของสื่อที่ได้เสนอออกไป ทำให้พื้นที่ตรงนี้ดูไม่น่าลงทุน เพราะมันน่ากลัว แต่ผมอยากขอเชิญชวนพี่น้องที่อยู่ในจังหวัดอื่นๆ ของประเทศไทยให้มาเยี่ยมปัตตานี ถ้าถามว่าวันนี้ปัตตานีเป็นอย่างไร คำตอบคือเท่าที่ผมได้มาสัมผัส มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เป็นข่าว”
ทวีศักดิ์ บอกว่า ก่อนจะตัดสินใจลงทุน ได้ทำการศึกษาวิจัยเป็นอย่างดีแล้ว เพราะทราบดีถึงปัญหาในพื้นที่แห่งนี้
“ก่อนจะทำโครงการเรามีการวิเคราะห์และวิจัยโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญทางด้านอสังหาริมทรัพย์ แน่นอนว่าการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สิ่งแรกที่สำคัญที่สุดคือเราต้องดูทำเลที่ตั้ง ซึ่งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นมีศักยภาพ แต่สิ่งที่ทำให้เด็กขาดศักยภาพคือโอกาส ขาดโอกาสที่จะเติมเต็ม เราก็หวังที่จะเพิ่มพูนความรู้ให้กับเด็กๆ ในพื้นที่ เพื่อพัฒนาสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการต่อไป”
“บนถนนเจริญประดิษฐ์ หรือถนนสาย ม.อ.นั้น สามทุ่มยังมีคนพลุกพล่าน ตรงนี้เองที่เรามองว่าดีมานด์สูง (หมายถึงความต้องการซื้อ) แต่ตัวซัพพลาย (ผู้ขายหรือผู้ให้บริการ) กลับยังไม่มี เราไม่ใช่คู่แข่งขององค์กรอื่นๆ ในภาคธุรกิจ แต่เราพยายามเติมเต็มในส่วนที่ขาดมากกว่า”
“ในปัตตานีเพลสจะมี ไออีซี หรือศูนย์การศึกษาในระดับนานาชาติ ซึ่งต่อไปนี้เด็กในพื้นที่สามจังหวัด หากต้องการศึกษาต่อ ก็ไม่ต้องเดินทางไปกรุงเทพฯแล้ว เพราะที่นี่จะเปิดเป็นสถานที่ทดสอบภาษาอังกฤษ และมีติวเตอร์เพื่อต่อยอดเรื่องการศึกษาในต่างประเทศด้วย”
สิ่งที่ ทวีศักดิ์ อธิบายว่าโครงการปัตตานีเพลสเน้นเป็นพิเศษ คือการพัฒนา “ภาษาที่สอง” ให้กับเยาวชนในพื้นที่
“ปัจจุบันเด็กไทยจบปริญญาตรีเยอะ แต่สาเหตุที่ไม่สามารถพัฒนาหรือเพิ่มมูลค่าเมื่อไปประกอบอาชีพได้ นั่นก็คือภาษาที่สอง โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ โลกปัจจุบันนี้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ต้องใช้ติดต่อกันทั่วโลก ฉะนั้นถ้าเราทิ้งตรงนี้ก็เท่ากับขาดโอกาส รัฐบาลเองต้องกล้าที่จะสนับสนุน และกล้าท้าทายกับสภาพที่เป็นอยู่ วันนี้ปัตตานีเพลสเกิดขึ้นมาแล้ว รัฐบาลต้องมาขอบคุณและสนับสนุนพวกเรา ภายใต้ความกลัวนั้นยังมีโอกาสอยู่ ถ้าเราไม่ได้เติมเต็มในสิ่งที่ขาด ทุกอย่างก็จบเลย”
ตอบโจทย์ธุรกิจ-การศึกษา-บันเทิง
อย่างไรก็ดี ยังคงมีคำถามมากมายถึงที่มาของโครงการอันน่าตื่นตาตื่นใจนี้
ผศ.นิฟาริศ ระเด่นอาหมัด รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนานักศึกษาและวัฒนธรรม ม.อ.ปัตตานี ในฐานะที่ปรึกษาด้านวิชาการของโครงการ เล่าว่า แรกเริ่มได้รับข้อเสนอจากนักธุรกิจกลุ่มหนึ่งซึ่งมีความคิดจะทำธุรกิจเรื่องการศึกษา ส่วนตัวคิดว่าน่าจะช่วยได้ เพราะทราบปัญหาในพื้นที่เป็นอย่างดีว่ามาตรฐานของเด็กในพื้นที่นี่ต่ำกว่าเด็กที่อื่นๆ มาก ทำให้บางส่วนที่ทางบ้านมีฐานะการเงินดี จะส่งไปเรียนเพิ่มเติมที่หาดใหญ่ (จ.สงขลา) และกรุงเทพ ฯ ทำให้เด็กต้องอยู่ไกลบ้าน อาจจะเสียผู้เสียคน ขณะที่เงินที่ต้องส่งเสียก็สูงขึ้น
“ผมเคยทำโครงการติวข้อสอบให้เด็กก่อนเอนทรานซ์ (การสอบเข้ามหาวิทยาลัยในอดีต) มาหลายปี โดยเดินสายติวในพื้นที่สามจังหวัด ยกทีมจาก ม.อ.ร่วม 20 คนไปติว จะเห็นได้ว่าสมัยที่เราติวเด็กกันอย่างเข้มข้น เด็กในพื้นที่ของเราก็สู้ที่อื่นได้ แต่ช่วงหลังพอผมมาเป็นผู้บริหารก็ไม่มีเวลา ทำให้เลิกไป เพราะฉะนั้นความคิดของนักธุรกิจกลุ่มนี้ที่อยากสร้างศูนย์การศึกษาในพื้นที่ก็ตรงกับสิ่งที่ผมคิดเอาไว้นานแล้ว และผมน่าจะมีประสบการณ์ช่วยเหลือได้ จึงเข้ามาร่วมงาน”
“ผมคิดว่าปัตตานีเพลสจะเป็นศูนย์กลางเรื่องพัฒนาการศึกษาของภาคใต้ เราเองก็อยู่ในพื้นที่ที่เกิดเหตุการณ์และอยู่ท่ามกลางปัญหามา 5 ปีแล้ว ยังไม่เคยเจอทางออกที่ดีแบบเลย ฉะนั้นอย่างน้อยถ้าเราบอกว่าเราอยู่ได้และไม่มีอะไรที่น่ากลัว เราสามารถพัฒนาคนได้ ธุรกิจก็เดินหน้า ก็เท่ากับว่าเราได้นับหนึ่งใหม่ โจทย์ในพื้นที่ที่เราต้องแก้ในวันนี้คือโอกาสทางธุรกิจ และโอกาสทางการศึกษา ถ้าเราเริ่มต้นโครงการได้ก็ถือว่าสามารถจุดประกายอะไรได้บางอย่าง และจะเป็นตัวนำไปสู่ความสงบของภาคใต้ได้อีกทางหนึ่ง”
“ในด้านของผู้ปกครองและตัวเด็กนั้น เมื่อไหร่ที่เด็กมีที่พักสะดวกสบาย และผู้ปกครองเด็กก็รู้สึกมั่นใจว่าเด็กไม่เหลวไหล ไม่หนีออกไปหาแสงสียามค่ำคืน ผมคิดว่าตรงนี้คือคำตอบ ผู้ปกครองจะได้ไม่ต้องส่งลูกไปเรียนถึงหาดใหญ่ ผมเองก็ส่งลูกไปเรียนที่หาดใหญ่ เพราะคิดว่าปัจจุบันถ้าเราไม่เติมความรู้เข้าไป เด็กจะเสียเปรียบแล้วไปสอบสู้คนอื่นไม่ได้เลย ขนาดการเปิดติวที่นำนักวิชาการจากส่วนกลางลงมาในพื้นที่ก็ยังไม่มากพอ เพราะเวลาที่ติวให้เด็กยังน้อยเกินไป”
ผศ.นิฟาริศ กล่าวอีกว่า วงการการศึกษาไทยต้องปรับตัวให้ทันกับสภาพสังคม ยกตัวอย่างเช่นยาที่หมอให้เรารับประทานนั้น ส่วนใหญ่จะมีรสขม ฉะนั้นยาบางตัวถึงต้องเคลือบน้ำตาลเพื่อให้รับประทานได้ง่าย ถามว่าน้ำตาลมีประโยชน์ไหม คำตอบคือไม่มีประโยชน์ แต่ก็เคลือบเอาไว้เพื่อให้เราทานได้ เหมือนกับการศึกษากับความสนุกสนานต้องเดินไปด้วยกัน
“ผมยังชอบคำของฝรั่งที่เอาคำว่า education (การศึกษา) กับคำว่า entertainment (บันเทิง) มารวมกัน และได้คำว่า Edutainment เพราะทุกคนต้องการเรียนรู้และบันเทิงไปด้วย แต่ความบันเทิงนั้นต้องอยู่ในกรอบที่เราสามารถคุมได้ ไม่ใช่เตลิดเปิดเปิงถึงขึ้นไร้สาระจนกระทั่งเป็นอันตรายต่อวัฒนธรรมและความเชื่อทางศาสนาที่มีอยู่”
ไม่ใช่ safe sex แต่ต้อง no sex
นอกจากประโยชน์ทางด้านธุรกิจ การศึกษา และบันเทิง ที่จะต้องผสานกันอย่างลงตัวและเหมาะสมแล้ว ผศ.นิฟาริศ ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาวัฒนธรรมอันดีงามที่จะต้องคงอยู่ในพื้นที่นี้ต่อไป
“เมื่อไม่นานมานี้ผมเพิ่งไปประชุมร่วมกับ สสส. (สำนักงานกองทุนสร้างเสริมสุขภาพ) เขามีโครงการอยู่โครงการหนึ่งที่จะดูแลนักศึกษาในระดับปริญญาตรี ก็มีโจทย์ข้อหนึ่งที่คุยกันในที่ประชุม คือเรื่องของ safe sex (การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย) หลายคนบอกว่าเมืองไทยมาถึงจุดนี้แล้ว ผมก็นั่งฟัง และตัวผมเองก็ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ด้วย ผมก็เสนอความคิดไปว่า ในบริบทของปัตตานีจะใช้คำว่า safe sex ไม่ได้เลย ของเราต้อง no sex (หมายถึงห้ามมีสัมพันธ์เชิงชู้สาวในช่วงที่ยังอยู่ในวัยเรียน) เป็นการถอยลงมาอีกหนึ่งด่าน เพราะอิสลามคิดว่าการมีเพศสัมพันธ์นอกสมรสเป็นเรื่องที่ผิดมากๆ”
“เรื่องนี้ถ้าทำได้ก็นับว่าเป็นผลสำเร็จอย่างแน่นอน ถ้าเราอธิบายให้ผู้ปกครองมั่นใจได้ว่าโครงการที่จะเกิดตรงนี้เป็นอย่างไร (หมายถึงปัตตานีเพลส) เขาก็คงมาร่วมงานกับเรา และถ้าเราทำตรงนี้ให้มีวัคซีนป้องกัน ทุกคนต้องมาหาเราแน่ ฉะนั้นคุณภาพเรื่องการศึกษาต้องดี บวกกับคุณธรรมจริยธรรมของอิสลามเข้าไป ถ้าทำได้จะแก้ปัญหาสังคมในระยะยาว”
ป่วนใต้ไม่ใช่ปัญหา
ด้าน อดุลย์ หวันสกุล หนึ่งในผู้สังเกตการณ์ ซึ่งมาร่วมรับฟังการเสนอโครงการ กล่าวว่า เท่าที่ฟังดูก็เห็นว่าเป็นโครงการที่ดี และโดยพื้นฐานของเด็กในพื้นที่ก็มีศักยภาพอยู่ในตัว ฉะนั้นโครงการปัตตานีเพลสก็น่าจะเป็นโครงการที่ต่อยอดในเรื่องของการศึกษา สันทนาการ ในกรอบของคนในพื้นที่ส่วนใหญ่ที่นับถือศาสนาอิสลาม
“ปัตตานีเพลสจะเป็นแหล่งพบปะ และเป็นแหล่งที่ให้ความรู้กับคนทุกกลุ่ม ปัจจุบันในพื้นที่ชายแดนใต้ เด็กๆ ที่สนใจในเรื่องการศึกษายังขาดแคลนสถานที่กวดวิชา ฉะนั้นปัตตานีเพลสจะเป็นคำตอบ”
ส่วนสถานการณ์ความไม่สงบที่อาจจะส่งผลกระทบต่อโครงการลงทุนขนาดใหญ่นั้น อดุลย์ มองว่า ไม่ใช่เรื่องน่าวิตก เพราะที่ผ่านมาโครงการก่อสร้างห้างค้าปลีกขนาดยักษ์อย่าง “บิ๊กซี” ก็เกิดขึ้นในพื้นที่มาแล้ว เชื่อว่าทางบริษัทที่จะทำโครงการคงทำวิจัยเรื่องการตลาดมาเป็นอย่างดี
“ผมยังเชื่อว่าหากปัตตานีเพลสเกิดขึ้นได้จริง จะเป็นการช่วยแก้ปัญหาความไม่สงบได้อีกทางด้วยซ้ำ” อดุลย์ กล่าว
นับเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่สวนกระแสทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์ในพื้นที่ ทำให้น่าติดตามว่าในท้ายที่สุดแล้วจะเป็นได้แค่โครงการในกระดาษ...หรือเกิดขึ้นได้จริง!
ส่วนที่เหลือ
แต่เรื่องที่ไม่มีใครอยากเชื่อ กำลังจะกลายเป็นความจริงแล้ว เมื่อบริษัท ดี อาร์ เอส ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (DRS DEVELOPMENT CO., LTD) ได้ตัดสินใจระดมทุนร่วม 500 ล้านบาท ทำโครงการ “ปัตตานีเพลส”
โครงการชื่อเก๋ๆ ที่ว่านี้ คือการก่อสร้างศูนย์การค้าและศูนย์กลางการศึกษาขนาดใหญ่ใจกลางเมืองปัตตานี ศูนย์การค้านั้นพอจะนึกภาพออก แต่ศูนย์กลางทางการศึกษาคงต้องอธิบายกันหน่อยว่าไม่ใช่การเปิดมหาวิทยาลัยหรือโรงเรียนในระบบการศึกษาปกติ แต่เป็นการสร้างสถานที่สำหรับเปิดติวและฝึกอบรมเพื่อพัฒนาการศึกษา ทั้งหมดอยู่ในอาคารศูนย์การศึกษานานาชาติซึ่งเป็นหัวใจของโครงการนี้
โครงการดังกล่าว เพิ่งมีการจัดเสวนาและนำเสนอโครงการของผู้เกี่ยวข้องฝ่ายต่างๆ ไปเมื่อปลาย ต.ค.ที่ผ่านมานี้เอง ที่ห้องประชุมเช็คอะหมัด-อัลฟาฏอนียฺ วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (ม.อ.ปัตตานี) โดยมีแผนจะตอกเสาเข็มเริ่มโครงการในต้นปีหน้า และเปิดอย่างอลังการได้ช่วงสิ้นปี
โครงการนี้จะตั้งอยู่บนที่ดินผืนใหญ่ขนาด 10 ไร่ ริมถนนเจริญประดิษฐ์ ต.รูสะมิแล อ.เมือง จ.ปัตตานี ห่างจาก ม.อ.ปัตตานี เพียงแค่ 200 เมตร ในโครงการจะประกอบด้วย IEC หรือ International Education Center เป็นอาคารสูง 5 ชั้นสำหรับบริการด้านการศึกษานานาชาติแห่งใหม่ในภาคใต้ ประกอบด้วย สถาบันทดสอบทางภาษา เช่น TOEFL, IELT และศูนย์ของมหาวิทยาลัยจากต่างประเทศ
นอกจากนั้นยังมีโรงแรมระดับ 4 ดาวชื่อ Pattani Hotel (ปัตตานี โฮเต็ล) ขนาด 60 ห้อง พร้อมห้องสัมมนาขนาดใหญ่ มี Condotel หรือคอนโดมีเนียมจำนวน 4 อาคาร เพื่อบริการที่พักสำหรับนักศึกษาและบุคคลทั่วไป ทั้งยังมีโฮมออฟฟิศอีก 13 ยูนิตสำหรับเป็นสถานที่ให้บริการของสถาบันกวดวิชา ร้านค้าอุปกรณ์ทางการศึกษา (Stationary ) และอื่นๆ พร้อมด้วย Hall Outdoor หรือลานกลางแจ้งสำหรับจัดกิจกรรมทางการศึกษา นิทรรศการ และงานแสดงสินค้าอีกด้วย
โครงการใหญ่บนถนนสาย ม.อ.
ทวีศักดิ์ มหามะ บอร์ดบริหารโครงการปัตตานีเพลส บอกว่า เขามักมองวิกฤติให้เป็นโอกาส และนั่นคือการตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการลงทุนครั้งใหญ่ที่ปัตตานี
“ผมเป็นนักธุรกิจ วันนี้พี่น้องในพื้นที่สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบและความรุนแรงในมุมมองของสื่อที่ได้เสนอออกไป ทำให้พื้นที่ตรงนี้ดูไม่น่าลงทุน เพราะมันน่ากลัว แต่ผมอยากขอเชิญชวนพี่น้องที่อยู่ในจังหวัดอื่นๆ ของประเทศไทยให้มาเยี่ยมปัตตานี ถ้าถามว่าวันนี้ปัตตานีเป็นอย่างไร คำตอบคือเท่าที่ผมได้มาสัมผัส มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เป็นข่าว”
ทวีศักดิ์ บอกว่า ก่อนจะตัดสินใจลงทุน ได้ทำการศึกษาวิจัยเป็นอย่างดีแล้ว เพราะทราบดีถึงปัญหาในพื้นที่แห่งนี้
“ก่อนจะทำโครงการเรามีการวิเคราะห์และวิจัยโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญทางด้านอสังหาริมทรัพย์ แน่นอนว่าการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สิ่งแรกที่สำคัญที่สุดคือเราต้องดูทำเลที่ตั้ง ซึ่งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นมีศักยภาพ แต่สิ่งที่ทำให้เด็กขาดศักยภาพคือโอกาส ขาดโอกาสที่จะเติมเต็ม เราก็หวังที่จะเพิ่มพูนความรู้ให้กับเด็กๆ ในพื้นที่ เพื่อพัฒนาสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการต่อไป”
“บนถนนเจริญประดิษฐ์ หรือถนนสาย ม.อ.นั้น สามทุ่มยังมีคนพลุกพล่าน ตรงนี้เองที่เรามองว่าดีมานด์สูง (หมายถึงความต้องการซื้อ) แต่ตัวซัพพลาย (ผู้ขายหรือผู้ให้บริการ) กลับยังไม่มี เราไม่ใช่คู่แข่งขององค์กรอื่นๆ ในภาคธุรกิจ แต่เราพยายามเติมเต็มในส่วนที่ขาดมากกว่า”
“ในปัตตานีเพลสจะมี ไออีซี หรือศูนย์การศึกษาในระดับนานาชาติ ซึ่งต่อไปนี้เด็กในพื้นที่สามจังหวัด หากต้องการศึกษาต่อ ก็ไม่ต้องเดินทางไปกรุงเทพฯแล้ว เพราะที่นี่จะเปิดเป็นสถานที่ทดสอบภาษาอังกฤษ และมีติวเตอร์เพื่อต่อยอดเรื่องการศึกษาในต่างประเทศด้วย”
สิ่งที่ ทวีศักดิ์ อธิบายว่าโครงการปัตตานีเพลสเน้นเป็นพิเศษ คือการพัฒนา “ภาษาที่สอง” ให้กับเยาวชนในพื้นที่
“ปัจจุบันเด็กไทยจบปริญญาตรีเยอะ แต่สาเหตุที่ไม่สามารถพัฒนาหรือเพิ่มมูลค่าเมื่อไปประกอบอาชีพได้ นั่นก็คือภาษาที่สอง โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ โลกปัจจุบันนี้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ต้องใช้ติดต่อกันทั่วโลก ฉะนั้นถ้าเราทิ้งตรงนี้ก็เท่ากับขาดโอกาส รัฐบาลเองต้องกล้าที่จะสนับสนุน และกล้าท้าทายกับสภาพที่เป็นอยู่ วันนี้ปัตตานีเพลสเกิดขึ้นมาแล้ว รัฐบาลต้องมาขอบคุณและสนับสนุนพวกเรา ภายใต้ความกลัวนั้นยังมีโอกาสอยู่ ถ้าเราไม่ได้เติมเต็มในสิ่งที่ขาด ทุกอย่างก็จบเลย”
ตอบโจทย์ธุรกิจ-การศึกษา-บันเทิง
อย่างไรก็ดี ยังคงมีคำถามมากมายถึงที่มาของโครงการอันน่าตื่นตาตื่นใจนี้
ผศ.นิฟาริศ ระเด่นอาหมัด รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนานักศึกษาและวัฒนธรรม ม.อ.ปัตตานี ในฐานะที่ปรึกษาด้านวิชาการของโครงการ เล่าว่า แรกเริ่มได้รับข้อเสนอจากนักธุรกิจกลุ่มหนึ่งซึ่งมีความคิดจะทำธุรกิจเรื่องการศึกษา ส่วนตัวคิดว่าน่าจะช่วยได้ เพราะทราบปัญหาในพื้นที่เป็นอย่างดีว่ามาตรฐานของเด็กในพื้นที่นี่ต่ำกว่าเด็กที่อื่นๆ มาก ทำให้บางส่วนที่ทางบ้านมีฐานะการเงินดี จะส่งไปเรียนเพิ่มเติมที่หาดใหญ่ (จ.สงขลา) และกรุงเทพ ฯ ทำให้เด็กต้องอยู่ไกลบ้าน อาจจะเสียผู้เสียคน ขณะที่เงินที่ต้องส่งเสียก็สูงขึ้น
“ผมเคยทำโครงการติวข้อสอบให้เด็กก่อนเอนทรานซ์ (การสอบเข้ามหาวิทยาลัยในอดีต) มาหลายปี โดยเดินสายติวในพื้นที่สามจังหวัด ยกทีมจาก ม.อ.ร่วม 20 คนไปติว จะเห็นได้ว่าสมัยที่เราติวเด็กกันอย่างเข้มข้น เด็กในพื้นที่ของเราก็สู้ที่อื่นได้ แต่ช่วงหลังพอผมมาเป็นผู้บริหารก็ไม่มีเวลา ทำให้เลิกไป เพราะฉะนั้นความคิดของนักธุรกิจกลุ่มนี้ที่อยากสร้างศูนย์การศึกษาในพื้นที่ก็ตรงกับสิ่งที่ผมคิดเอาไว้นานแล้ว และผมน่าจะมีประสบการณ์ช่วยเหลือได้ จึงเข้ามาร่วมงาน”
“ผมคิดว่าปัตตานีเพลสจะเป็นศูนย์กลางเรื่องพัฒนาการศึกษาของภาคใต้ เราเองก็อยู่ในพื้นที่ที่เกิดเหตุการณ์และอยู่ท่ามกลางปัญหามา 5 ปีแล้ว ยังไม่เคยเจอทางออกที่ดีแบบเลย ฉะนั้นอย่างน้อยถ้าเราบอกว่าเราอยู่ได้และไม่มีอะไรที่น่ากลัว เราสามารถพัฒนาคนได้ ธุรกิจก็เดินหน้า ก็เท่ากับว่าเราได้นับหนึ่งใหม่ โจทย์ในพื้นที่ที่เราต้องแก้ในวันนี้คือโอกาสทางธุรกิจ และโอกาสทางการศึกษา ถ้าเราเริ่มต้นโครงการได้ก็ถือว่าสามารถจุดประกายอะไรได้บางอย่าง และจะเป็นตัวนำไปสู่ความสงบของภาคใต้ได้อีกทางหนึ่ง”
“ในด้านของผู้ปกครองและตัวเด็กนั้น เมื่อไหร่ที่เด็กมีที่พักสะดวกสบาย และผู้ปกครองเด็กก็รู้สึกมั่นใจว่าเด็กไม่เหลวไหล ไม่หนีออกไปหาแสงสียามค่ำคืน ผมคิดว่าตรงนี้คือคำตอบ ผู้ปกครองจะได้ไม่ต้องส่งลูกไปเรียนถึงหาดใหญ่ ผมเองก็ส่งลูกไปเรียนที่หาดใหญ่ เพราะคิดว่าปัจจุบันถ้าเราไม่เติมความรู้เข้าไป เด็กจะเสียเปรียบแล้วไปสอบสู้คนอื่นไม่ได้เลย ขนาดการเปิดติวที่นำนักวิชาการจากส่วนกลางลงมาในพื้นที่ก็ยังไม่มากพอ เพราะเวลาที่ติวให้เด็กยังน้อยเกินไป”
ผศ.นิฟาริศ กล่าวอีกว่า วงการการศึกษาไทยต้องปรับตัวให้ทันกับสภาพสังคม ยกตัวอย่างเช่นยาที่หมอให้เรารับประทานนั้น ส่วนใหญ่จะมีรสขม ฉะนั้นยาบางตัวถึงต้องเคลือบน้ำตาลเพื่อให้รับประทานได้ง่าย ถามว่าน้ำตาลมีประโยชน์ไหม คำตอบคือไม่มีประโยชน์ แต่ก็เคลือบเอาไว้เพื่อให้เราทานได้ เหมือนกับการศึกษากับความสนุกสนานต้องเดินไปด้วยกัน
“ผมยังชอบคำของฝรั่งที่เอาคำว่า education (การศึกษา) กับคำว่า entertainment (บันเทิง) มารวมกัน และได้คำว่า Edutainment เพราะทุกคนต้องการเรียนรู้และบันเทิงไปด้วย แต่ความบันเทิงนั้นต้องอยู่ในกรอบที่เราสามารถคุมได้ ไม่ใช่เตลิดเปิดเปิงถึงขึ้นไร้สาระจนกระทั่งเป็นอันตรายต่อวัฒนธรรมและความเชื่อทางศาสนาที่มีอยู่”
ไม่ใช่ safe sex แต่ต้อง no sex
นอกจากประโยชน์ทางด้านธุรกิจ การศึกษา และบันเทิง ที่จะต้องผสานกันอย่างลงตัวและเหมาะสมแล้ว ผศ.นิฟาริศ ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาวัฒนธรรมอันดีงามที่จะต้องคงอยู่ในพื้นที่นี้ต่อไป
“เมื่อไม่นานมานี้ผมเพิ่งไปประชุมร่วมกับ สสส. (สำนักงานกองทุนสร้างเสริมสุขภาพ) เขามีโครงการอยู่โครงการหนึ่งที่จะดูแลนักศึกษาในระดับปริญญาตรี ก็มีโจทย์ข้อหนึ่งที่คุยกันในที่ประชุม คือเรื่องของ safe sex (การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย) หลายคนบอกว่าเมืองไทยมาถึงจุดนี้แล้ว ผมก็นั่งฟัง และตัวผมเองก็ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ด้วย ผมก็เสนอความคิดไปว่า ในบริบทของปัตตานีจะใช้คำว่า safe sex ไม่ได้เลย ของเราต้อง no sex (หมายถึงห้ามมีสัมพันธ์เชิงชู้สาวในช่วงที่ยังอยู่ในวัยเรียน) เป็นการถอยลงมาอีกหนึ่งด่าน เพราะอิสลามคิดว่าการมีเพศสัมพันธ์นอกสมรสเป็นเรื่องที่ผิดมากๆ”
“เรื่องนี้ถ้าทำได้ก็นับว่าเป็นผลสำเร็จอย่างแน่นอน ถ้าเราอธิบายให้ผู้ปกครองมั่นใจได้ว่าโครงการที่จะเกิดตรงนี้เป็นอย่างไร (หมายถึงปัตตานีเพลส) เขาก็คงมาร่วมงานกับเรา และถ้าเราทำตรงนี้ให้มีวัคซีนป้องกัน ทุกคนต้องมาหาเราแน่ ฉะนั้นคุณภาพเรื่องการศึกษาต้องดี บวกกับคุณธรรมจริยธรรมของอิสลามเข้าไป ถ้าทำได้จะแก้ปัญหาสังคมในระยะยาว”
ป่วนใต้ไม่ใช่ปัญหา
ด้าน อดุลย์ หวันสกุล หนึ่งในผู้สังเกตการณ์ ซึ่งมาร่วมรับฟังการเสนอโครงการ กล่าวว่า เท่าที่ฟังดูก็เห็นว่าเป็นโครงการที่ดี และโดยพื้นฐานของเด็กในพื้นที่ก็มีศักยภาพอยู่ในตัว ฉะนั้นโครงการปัตตานีเพลสก็น่าจะเป็นโครงการที่ต่อยอดในเรื่องของการศึกษา สันทนาการ ในกรอบของคนในพื้นที่ส่วนใหญ่ที่นับถือศาสนาอิสลาม
“ปัตตานีเพลสจะเป็นแหล่งพบปะ และเป็นแหล่งที่ให้ความรู้กับคนทุกกลุ่ม ปัจจุบันในพื้นที่ชายแดนใต้ เด็กๆ ที่สนใจในเรื่องการศึกษายังขาดแคลนสถานที่กวดวิชา ฉะนั้นปัตตานีเพลสจะเป็นคำตอบ”
ส่วนสถานการณ์ความไม่สงบที่อาจจะส่งผลกระทบต่อโครงการลงทุนขนาดใหญ่นั้น อดุลย์ มองว่า ไม่ใช่เรื่องน่าวิตก เพราะที่ผ่านมาโครงการก่อสร้างห้างค้าปลีกขนาดยักษ์อย่าง “บิ๊กซี” ก็เกิดขึ้นในพื้นที่มาแล้ว เชื่อว่าทางบริษัทที่จะทำโครงการคงทำวิจัยเรื่องการตลาดมาเป็นอย่างดี
“ผมยังเชื่อว่าหากปัตตานีเพลสเกิดขึ้นได้จริง จะเป็นการช่วยแก้ปัญหาความไม่สงบได้อีกทางด้วยซ้ำ” อดุลย์ กล่าว
นับเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่สวนกระแสทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์ในพื้นที่ ทำให้น่าติดตามว่าในท้ายที่สุดแล้วจะเป็นได้แค่โครงการในกระดาษ...หรือเกิดขึ้นได้จริง!
ส่วนที่เหลือ
1 ความคิดเห็น:
เห็นด้วยครับ ...
แสดงความคิดเห็น