เชื่อกลุ่มกองกำลังติดอาวุท “อาบีดีน ปาตี” ลอบวางบึ้ม ทหารยะลาเจ็บ 5
ยะลา - เจ้าหน้าที่เชื่อฝีมือ “อาบีดีน ปาตี” แกนนำก่อเหตุรุนแรงที่มีหมายจับ พร้อมพวกลงมือลอบวางระเบิดทหาร ร้อย ร.5031 ฉก.11 ในพื้นที่ ต.ลำใหม่ เจ้าหน้าที่ทหารเจ็บ 5 นาย
อ่านต่อ...ยะลา - เจ้าหน้าที่เชื่อฝีมือ “อาบีดีน ปาตี” แกนนำก่อเหตุรุนแรงที่มีหมายจับ พร้อมพวกลงมือลอบวางระเบิดทหาร ร้อย ร.5031 ฉก.11 ในพื้นที่ ต.ลำใหม่ เจ้าหน้าที่ทหารเจ็บ 5 นาย
หลังเกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ทหาร ร้อย ร.5031 ฉก.11 ที่บริเวณ ม.6 ต.ลำใหม่ อ.เมืองยะลา เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา จนทำให้เจ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บ 5 นาย เบื้องต้น เจ้าหน้าที่เชื่อว่า เป็นฝีมือของกลุ่มก่อเหตุรุนแรงของนายอาบีดีน ปาตี ผู้ต้องหาที่มีหมายจับในคดีความมั่นคง พร้อมพวกเป็นผู้ลงมือก่อเหตุ เพื่อตอบโต้การปฎิบัติการของเจ้าหน้าที่ทหาร ที่เข้าปิดล้อมตรวจค้นบ้านเปาะเย๊าะ ต.ลำใหม่ อ.เมือง จ.ยะลา แล้วควบคุมผู้ต้องสงสัยเอาไว้ก่อนหน้านี้ และมีรายงานจากโรงพยาบาลศูนย์ยะลาว่า สำหรับผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ระเบิดในพื้นที่ ต.ลำใหม่ อ.เมือง จ.ยะลา เมื่อเวลา 08.50 น. ที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่ทหารสังกัด ร้อย ร.5031 ฉก.ยะลา 11 บาดเจ็บ 5 นาย ประกอบด้วย จ.ส.อ.สุรศักดิ์ สุขเอียด อาการสาหัส ถูกสะเก็ดระเบิดที่บริเวณลำตัว และศีรษะ แพทย์ต้องนำตัวเข้าห้องฉุกเฉิน, จ.ส.อ.ประวิทย์ ฝันฤกษ์, พลทหารสุธน อิ่มใหญ่, พลทหารเอกพล กฎการกั้น, พลทหารคุณากร ทองหนูเอียด ทั้งหมดบาดเจ็บไม่สาหัส อ่านต่อ...ยะลา - ยะลาเดือดอีก! คนร้ายฝังระเบิดหนัก 20 กก.ใต้ถนนกดบึ้มผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน อ.รามัน รถพังยับ ร่างฉีกขาดเป็นชิ้น ส่วนที่ อ.บันนังสตา ลอบวางระเบิดทหารชุด รปภ. ครูเจ็บอีก 1 นาย วันนี้ (3 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดยะลา เมื่อเวลาประมาณ 12.15 น. พ.ต.ท.แสนชัย เจษรินทร์ พนักงานสอบสวน สภ.โกตาบารู อ.รามัน จ.ยะลา ได้รับแจ้งว่า มีเหตุระเบิดบนถนนภายในหมู่บ้าน สายลือมุ-พงตา บริเวณ ม.5 บ้านลือมุ ต.บือมัง มีผู้เสียชีวิต จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ พร้อมประสานชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด เจ้าหน้าที่ชุดพิสูจน์หลักฐาน 10 ตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครองรุดไปที่เกิดเหตุ ถึงที่เกิดเหตุ พบชาวบ้านกำลังมุงดูเหตุการณ์อยู่เป็นจำนวนมาก จึงได้ปิดกั้นสถานที่เกิดเหตุ พร้อมทั้งกันบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากจุดที่เกิดเหตุ เนื่องจากหวั่นว่าอาจจะเกิดเหตุซ้ำซ้อน โดยในที่เกิดเหตุ พบหลุมระเบิดอยู่กลางถนน ห่างออกไปประมาณ 3-5 เมตร พบซากรถยนต์กระบะยี่ห้อมิตซูบิชิ สตราดา สีแดง-เทา หมายเลขทะเบียน บฉ 8225 ยะลา ถูกแรงระเบิดจนพังยับ ขาดเป็นสองท่อนตกอยู่ข้างถนน ส่วนผู้เสียชีวิตถูกแรงระเบิดจนสภาพศพฉีกขาดเป็นชิ้นๆ ทราบชื่อภายหลังคือ นายมะรอมือลี เจ๊ะกูโน อายุ 49 ปี มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ม.2 ต.บือมัง อ.รามัน จ.ยะลา โดยหลุมระเบิดกว้าง 1 เมตร ลึก 80 เซนติเมตร นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังพบเศษถังดับเพลิง น้ำหนักประมาณ 20 กก. พร้อมสายไฟฟ้าลากเข้าไปในสวนยางยาวประมาณ 80 เมตร และแบตเตอรี่ที่ปลายสายไฟ จึงได้เก็บไว้เป็นหลักฐาน
ศพแหลกเหลว เหลือเพียงเสื้อที่ยังเป็นชิ้นส่วนชัดเจนสอบสวนทราบว่า ขณะที่นายมะรอมือลี เดินทางกลับจากการประชุมประจำเดือนที่ที่ว่าการอำเภอรามัน มาถึงที่เกิดเหตุ คนร้ายที่แอบซุ่มอยู่ได้จุดชนวนระเบิดด้วยแบตเตอรี่ แรงระเบิดถูกรถอย่างจังจนเป็นเหตุให้เสียชีวิตดังกล่าว ส่วนสาเหตุเ จ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นฝีมือกลุ่มแนวร่วมในพื้นที่ที่ต้องการสังหารนายมะรอมมือลี เนื่องจาก นายมะรอมมือลีได้ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่มาโดยตลอด ต่อมา เมื่อเวลา 13.40 น. มีรายงานจาก อ.บันนังสตา จ.ยะลา ว่า ได้เกิดระเบิดขึ้นที่ ม.2 บ้านกือลอง ต.ตลิ่งชัน อ.บันนังสตา จ.ยะลา เบื้องต้น มีเจ้าหน้าที่ทหารสังกัด ร้อย ร.7021 ได้รับบาดเจ็บจำนวน 1 นาย โดยเหตุเกิดขณะกำลังลาดตระเวนรักษาความปลอดภัยครู ขณะนี้นำส่งโรงพยาบาลบันนังสตาแล้ว อ่านต่อ...
"ชูวิทย์" แฉบ่อน "เจ๊เพี้ยะ" กิ่งเพชร เชื่อมโยงเครือญาติในรัฐบาล ได้ไฟเขียวจากคนที่ดูไบเปิดไม่เกรงกลัวกฎหมาย อ้างนำเงินส่งดูแลอาหารการกิน หูฉลาม ชุดสวยหรู ซัดตำรวจบ่มิไก๊ ท้า "เฉลิม" ไหนบอกล้างบ่อนหมดเมือง "คำรณวิทย์" เสียงแข็ง ปัดไม่มีบ่อนแน่นอน มื่อวันอังคาร นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักประเทศไทย เปิดแถลงข่าวในหัวข้อ "สงครามระหว่างบ่อน" หลังเมื่อวันจันทร์ลงพื้นที่นำสื่อมวลชนเข้าไปตรวจสอบบ่อนการพนันภายในซอยเพชรบุรี 5 หรือซอยกิ่งเพชร ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กทม. แต่ถูกปิดล้อมจากกลุ่มชายฉกรรจ์ไม่ให้เข้าไปตรวจสอบ โดยก่อนการแถลงข่าวนายชูวิทย์เปิดคลิปเหตุการณ์ถูกชายฉกรรจ์ปิดล้อม ซึ่งในคลิปบันทึกภาพเหตุการณ์ชายฉกรรจ์ 2 กลุ่มตะโกนไล่และเข้ามาล้อม จากนั้นได้มีตำรวจเข้ามาไกล่เกลี่ย โดยขอให้นายชูวิทย์ออกจากพื้นที่ไปก่อน นายชูวิทย์กล่าวว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าว ปรากฏว่ามีผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวไอเอ็นเอ็นทราบชื่อเล่นว่า ก้อย ได้เข้าไปหาข้อมูลในซอยดังกล่าว และถูกกลุ่มชายฉกรรจ์กว่า 10 คนล็อกตัวและยึดโทรศัพท์ไปลบข้อมูลภาพที่ถ่ายไว้ทั้งหมดก่อนที่จะปล่อยตัว "ถามว่าบ่อนเจ๊เพี้ยะคือใคร เจ๊เพี้ยะคือเจ้าของบ่อนโยงใยถึงใคร น้องชายของเจ๊เพี้ยะได้แต่งงานกับน้องสาวของคนที่อยู่ดูไบที่มีชื่อย่อ "ย." มีสระเอนำหน้า นามสกุลย่อ "ช.ว." ถามว่า ใครที่ไปดูแลทั้งอาหารการกิน เสื้อผ้าสวยหรู ใครสั่งหูฉลามไปเลี้ยง แม้กระทั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ใครที่ดูแลชุดสวยที่ใส่ หูฉลามมื้อละเป็นแสนบาท อย่างนี้กินเงินบ่อนไม่เจริญ ใครที่กินหูฉลามจากบ่อนก็ขอให้ท้องเสีย ฉะนั้นบ่อนนี้ชัดเจนว่า โยงไปถึงคนในรัฐบาล เพราะมีคนรับประกันว่าเปิดได้ สั่งมาให้เปิด บ่อนอื่นปิดหมด แต่บ่อนนี้เปิดได้ เพราะเป็นเครือญาติกับคนในรัฐบาลแน่นอน" นายชูวิทย์กล่าว เขากล่าวว่า ข้อมูลเหล่านี้จะนำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อเปิดประชุมสภาสมัยหน้า เพราะคนอย่างตนถ้าไม่มีหลักฐาน ไม่แน่จริง ไม่พูด หากทำแบบนี้มาเอาเงินชูวิทย์ไปดีกว่า เรื่องนี้จะไม่จบลงแน่ เพราะเครือข่ายดูไบอนุมัติให้ที่เชื่อมโยงทางเครือญาติ ซึ่งเรื่องนี้ทั้งหมดรอให้ถึงเปิดอภิปราย จะชี้ให้เห็นว่าใครสั่งหูฉลามจากร้านไหน ไปให้ใครที่ไหน อิทธิพลบ่อนมันใหญ่และแทรกซึมไปทุกที่ เมื่อถามว่า ชายฉกรรจ์ที่เห็นมีการผลักอกกันเป็นคนของบ่อนตรงข้ามประมาณ 20-30 คน ซึ่งเป็นคนของบ่อนลอยฟ้า ย่านปิ่นเกล้าของจ่ามนัสใช่หรือไม่ นายชูวิทย์กล่าวว่า กลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านี้ไม่ใช่คนของตน แต่บังเอิญไปเจอกันจึงเกิดเหตุการณ์ เพราะตนไปกับคนขับรถเพียง 2 คนเท่านั้น นายชูวิทย์กล่าวว่า ก่อนลงพื้นที่ได้โทรศัพท์หา พล.ต.ท. คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. แล้ว ท่านรับปากว่าจะส่งเจ้าหน้าที่มา ก็รออยู่ปากซอยเกือบ 1 ชั่วโมง ไม่มีตำรวจมาก จึงเดินเข้าไปในซอยกิ่งเพชร พอเกิดเหตุการณ์ก็มี พล.ต.ต.พชร บุญญสิทธิ์ ผบก.น.1 เข้ามายืนดู มาขอให้ตนออกจากพื้นที่ "ท่านบอกว่ามาดูแลผม ถามว่ามาดูทำไม ผมอยู่มาก่อนกว่าชั่วโมง ท่านมาแล้วก็กลับ ไม่เห็นทำอะไร ไม่ทำหน้าที่จะเห็นว่าในคลิปมีคนชื่อนายเปี๊ยก ซึ่งเป็นคนคุมบ่อนดังกล่าวมายกมือไหว้ขอให้ผมออกไปจากพื้นที่ ต้องถามว่าใครคุกคาม ใครบุกรุก ตำรวจทำอะไรมาถึงก็ไปเจรจากับนักเลงบ่อน และที่ข่าวไปลงว่ามีการปาขวดก็ไม่ใช่ เป็นการปาน้ำแข็ ง ปาไล่ผม ผมก็ไม่ไป จนมีคนมาขอร้องและตบมือให้ถึงออกไปที่ปากซอย จากนั้นนายชูวิทย์ได้เปิดคลิปอ้างว่าเป็นคลิปแอบถ่ายภายในบ่อนการพนันดังกล่าว ซึ่งถ่ายเมื่อคืนวันที่ 2 ก.ค. โดยในภาพถ่ายชื่อป้ายซอยและคนถ่ายได้เดินขึ้นไปในอาคารหลังหนึ่งในซอยดังกล่าว เป็นบันไดทางเดินชั้นแรกเป็นโต๊ะบัคคาราจำนวนหลายโต๊ะ นายชูวิทย์กล่าวว่า ตรงนี้เรียกสนามรายเปิดให้ประชาชนทั่วไปเล่น ส่วนข้างในยังมีการซอยเป็นห้อง มีหลายระดับ ทั้ง ห้องวีไอพีให้ขาประจำไว้เล่น นี่เป็นหลักฐานยืนยันว่าบ่อนนี้ยังเปิดอยู่ ถ้า ผบช.น.ไม่กล้าจับ ก็บอกมาให้รู้ไปว่ารัฐบาลนี้สนับสนุนบ่อนกิ่งเพชร รู้เห็นกับการเปิดบ่อน ตนเป็น ส.ส.รับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้านก็ต้องตรวจสอบ และจำเป็นต้องออกมาพูด จึงขอให้ ผบช.น.กล้าๆ ทำหน้าที่ และยืนอยู่ข้างกฎหมายรักษาระบบไม่เช่นนั้นประเทศไทยจะพึ่งใครได้ นักข่าวเองยังโดน เขาระบุว่า ในวันที่ 4 ก.ค. จะนำคลิปนี้ไปมอบให้ตำรวจ ซึ่งวันนี้ระบบตำรวจล่มสลายแล้ว เพราะอิทธิพลบ่อนแทรกซึมไปทุกที่ ทั้งบ่อน ส.สมหมาย ซอยลาดพร้าว 101, บ่อนเพชรบุรีซอย 5, บ่อนพัฒนาการ 77, บ่อนตลาด 4 มุมเมือง, บ่อนตลาดน้ำเมืองนนท์ ซึ่งเป็นเจ้าของเดียวกับบ่อนพัฒนาการ 77 "ขอฝากถึง ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เคยบอกว่าเมื่อมารับตำแหน่งจะไม่มีบ่อน ตอนนี้บ่อนขาใหญ่เต็มเมืองแล้วจะทำอย่างไร อย่าบ่ายเบี่ยง และครั้งนี้ก็อย่าพยายามหาประโยชน์หรืออย่ามาโยนบาปให้คนอื่น" นายชูวิทย์กล่าว ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องบ่อนการพนันคู่สังคมไทย จับอย่างไรก็แอบเล่น ถือเป็นหน้าที่ตำรวจ แต่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพล เป็นบ่อนลักลอบเล่น ขณะที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. กล่าวว่า ต้องขอบคุณคุณชูวิทย์ที่แจ้งข้อมูลกับทางตำรวจ ตนเพิ่งจะได้รับโปรดเกล้าฯ ให้รับตำแหน่งเป็นตัวจริงเพียงแค่ 3 วัน หลังจากที่เป็นตัวสำรองมานาน ตำรวจไม่ได้ปล่อยปละละเลย เพียงแต่ช่วงที่มารับตำแหน่งก็พยายามแก้ไขปัญหาอาชญากรรม ปัญหานักเรียนตีกัน และปัญหาอาวุธปืนตลอดเวลา จึงไม่ได้ลงไปดูแลเรื่องอบายมุขมากนัก "ขณะนี้ได้มอบหมายให้ บก.น 1 และ สน.พญาไท ลงพื้นที่ตรวจสอบพร้อมรายงานข้อเท็จจริงแล้ว ผมขอยืนยันว่าไม่มีบ่อนที่เปิดๆ ปิดๆ อย่างแน่นนอน เพราะเป็นสิ่งผิดกฎหมาย หากใครพบเห็นหรือรู้เบาะแส ขอให้แจ้งตำรวจทันที จะดำเนินการจับกุมเด็ดขาดไม่มีข้อยกเว้น" ผบช.น.กล่าว เมื่อถามว่า นายชูวิทย์จะนำหลักฐานบ่อนการพนันมามอบให้ในวันที่ 4 ก.ค. พล.ต.ท.คำรณวิทย์กล่าวว่า ยังไม่ได้มีการประสานมา และตนก็ติดภารกิจรับเสด็จอยู่.
อ่านต่อ...ยะลา - พบศพวัยรุ่นมั่วสุมยาเสพติดกระโดดแม่น้ำปัตตานี หนีตำรวจ ขณะปิดล้อมตรวจค้น พยายามจะว่ายน้ำข้ามฝั่ง แต่น้ำไหลเชี่ยว เป็นเหตุให้จมน้ำเสียชีวิต ศพลอยอืดติดฝั่งแม่น้ำปัตตานี ที่บ้านยีลาปัน อ.บันนังสตา วันนี้ (20 พ.ค.) ร.ต.ต.ซุลกิพลี ระเซาะ พงส.(สบ 1) สภ.บันนังสตา จ.ยะลา รับแจ้งเหตุพบศพลอยน้ำติดฝั่ง แม่น้ำปัตตานี บ้านยีลาปัน หมู่ 11 ต.ตลิ่งชัน จึงพร้อม พ.ต.ท.ยม เวชสิทธิ์ สว.สส. นายเมธี กาญจนพังคะ นายอำเภอบันนังสตา นำกำลังไปสอบสวน พบศพนายซุกร์นัย มามะเตหะ อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 17 หมู่ 2 ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา สภาพศพพองอืดลอยติดขอนไม้ อยู่ริมฝั่งแม่น้ำปัตตานี จึงได้ขอแรงชาวบ้าน หน่วยกู้ภัยเทศบาลตำบลบันนังสตา ช่วยกันนำร่างขึ้นมา จากตรวจสอบแล้วไม่พบบาดแผล หรือร่องรอยการถูกทำร้ายแต่อย่างใด สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า เมื่อตอนบ่ายวันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมา ร.ต.ต.สมโภชน์ มาศเสม รอง สว.สส.สภ.บันนังสตา นำกำลังเข้าปิดล้อมป่าละเมาะหลังบ้านบันนังสตา หมู่ 2 ต.บันนังสตา ตามแผนปราบปรามยาเสพติดของ พ.ต.อ.เจริญ ธรรมขันธ์ ผกก. เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีพวกวัยรุ่นไปมั่วสุมเสพน้ำใบกระท่อมต้มผสมยาแก้ไอกับเครื่องดื่มหรือยาสูตร 4x100 เป็นประจำ ปรากฏว่า เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไปถึงพบวัยรุ่นราว 5 คนกำลังมั่วสุมกันอยู่ เมื่อเห็นตำรวจจึงได้วิ่งหนี ในจำนวนนี้มีนายซุกร์นัย มามะแตฮะ ผู้ตายรวมอยู่ด้วย นายซุกร์นัยได้กระโจนลงไปในแม่น้ำปัตตานีว่ายหนีไปทางฝั่ง ต.บาเจาะ ปรากฏว่าน้ำไหลเชี่ยว ได้พัดพานายซุกร์นัยจมน้ำหายไป เป็นศพลอยไปติดฝั่งที่บ้านยีลาปันดังกล่าว หลังชันสูตรได้มอบศพให้ญาตินำกลับไปจัดการประกอบพิธีตามหลักศาสนาอิสลามต่อไป
อ่านต่อ...เรืองไกรเผยปชป.เสี่ยงถูกยุบพรรคหลังไม่แจ้งเงินบริจาคจากบริษทอัสวอเตอร์ในบัญชี ธาริตระบุพบมีมูลผิดจริง
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา กล่าวว่า กรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ระบุว่าได้ยื่นเรื่องยุบพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) จากกรณีรับเงินบริจาคจาก บริษัท อีสวอเตอร์ ว่า คดีดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการที่ปชป.เปิดบัญชีกับธนาคารกรุงไทยเพื่อขอรับเงินบริจาคเข้าศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เมื่อเดือน พ.ย.2553โดยช่วงแรกเว็บไซต์ของพรรคแจกแจงรายชื่อผู้บริจาค ซึ่งมีชื่อบริษัท อีสวอเตอร์บริจาคให้ 1 ล้านบาท แต่เมื่อตรวจสอบรายงานงบดุลของพรรคในปี2553กลับพบว่าไม่มีการแจ้งเงินบริจาคจำนวนดังกล่าวไว้ในรายการบัญชี ตนจึงยื่นเรื่องให้นายอภิชาติ สุขัคคานนท์ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ตรวจสอบกรณีดังกล่าวแล้ว และทราบว่ามีการตั้งคณะกรรมการไต่สวนขึ้นมาสอบปากคำผู้ร้องแล้ว โดยขอให้เรียกบัญชีธนาคารกรุงไทยมาตรวจสอบว่า พรรคเปิดบัญชีไว้โดยใคร มีเงินเข้าบัญชีกี่รายการ ออกจากบัญชีกี่รายการ และปิดบัญชีเมื่อใด เพราะเคยลองนำเงินไปฝากตามเลขที่บัญชีดังกล่าว ปรากฏว่าพนักงานธนาคารแจ้งว่าบัญชีปิดไปแล้ว "ข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าบัญชีเคยมีอยู่จริง และเนื่องจากรายงานเงินบริจาค เดือนพ.ย.2553 ที่แจ้ง กกต. ไม่พบรายการรับบริจาคจาก อีสวอเตอร์ วนชัยกรุ๊ป และกลุ่มบริษัทกัฟล์ อีกทั้งในงบการเงินของพรรคปี 2553 ก็ไม่มีการรายงานเกี่ยวกับเงินบริจาคดังกล่าว จึงสงสัยว่าจะเป็นการทำบัญชีขึ้นมา 2 ชุดหรือไม่"นายเรืองไกรกล่าว นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่ควรตรวจสอบว่า พรรคลงบัญชีครบถ้วนถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่ แต่ยังไม่ทราบว่าคืบหน้าไปถึงไหน ซึ่งกรณีการกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 65 ,71 ,82 ประกอบมาตรา 42 วรรคสอง ซึ่งมีโทษถึงขั้นยุบพรรค ด้าน นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ดีเอสไอได้รับการร้องทุกข์กล่าวโทษจากนายเรืองไกรไว้แล้ว โดยการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นพบมีมูลความผิด จึงได้มอบหมายให้พ.ต.ท.ศันทนะ แก้วทับทิม รองผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ 1 รับไปสืบสวนข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตาม ผลการตรวจสอบยังไม่แล้วเสร็จ แต่กรณีดังกล่าวมีกฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่าห้ามไม่ให้บริษัทที่รัฐเข้าไปถือหุ้น หรือบริษัทที่อยู่ในกำกับของรัฐบริจาคเงินให้พรรคการเมือง และห้ามพรรคการเมืองรับเงินบริจาคจากบริษัทเหล่านี้ เพื่อป้องกันไม่ให้รัฐที่มีอำนาจบังคับบัญชาใช้อำนาจสั่งการให้หน่วยงานในกำกับบริจาคเงินให้พรรคการเมืองของตัวเอง ซึ่งในกรณีนี้บริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทที่หน่วยงานรัฐเข้าไปถือหุ้นกว่าร้อยละ 50 โดยตนจะทำหนังสือสอบถามข้อเท็จจริงไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป นายธาริต กล่าวอีกว่า กรณีดังกล่าวหากพบมูลความผิดจะเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง โดยดีเอสไอจะต้องเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ(กคพ.) รับเป็นคดีพิเศษ เนื่องจากความผิดไม่อยู่ในบัญชีแนบท้ายความผิดตามพ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าจะเสนอเข้าที่ประชุมาคณะกรรมการคดีพิเศษ ประจำเดือนพ.ค.นี้ทันหรือไม่ อ่านต่อ...เอกสารวิจัยภายในไอเอ็มเอฟ เตือนเศรษฐกิจโลก ระวังอีก 10 ปีราคาน้ำมันพุ่งสูงกว่าราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเวลานี้อีกเท่าตัว
การ์เดียน หนังสือพิมพ์ระดับแนวหน้าของอังกฤษรายงานเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ว่า เอกสารวิจัยภายในของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ใช้แบบจำลองคาดการณ์สถานการณ์น้ำมันในช่วง 10 ปีข้างหน้า เตือนว่าเมื่อถึงปี 2565 ราคาน้ำมันดิบที่ซื้อขายกันอยู่ในตลาดโลกจะเพิ่มขึ้นจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อไม่นานมานี้ที่ 113 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลอีกราวเท่าตัว และระดับราคาดังกล่าวจะคงอยู่ถาวร ไม่ได้พุ่งขึ้นสูงแล้วอ่อนตัวลงเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศของโลกอย่างใหญ่หลวง "เพราะที่ผ่านมาเราไม่เคยมีประสบการณ์ระดับราคาน้ำมันสูงๆ เกินกว่าระยะเวลาเพียง 2-3 เดือน ทำให้ระดับราคาสูงแบบถาวรดังกล่าวกลายเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้การค้าโลกและเศรษฐกิจทั่วโลกตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เคยประสบกันมาก่อน" รายงานชื่อ "อนาคตของน้ำมัน:ธรณีวิทยา ปะทะ เทคโนโลยี" ของทีมวิจัยภายในไอเอ็มเอฟระบุ ทั้งนี้ นอกจากประเด็นเรื่องระดับราคาแล้ว ที่น่าสังเกตอย่างมากก็คือ การศึกษาวิจัยโดยใช้แบบจำลองของไอเอ็มเอฟดังกล่าวนี้ ไม่ได้นำปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่นักวิเคราะห์ทั่วไปนำมาใช้เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงราคาน้ำมันในอนาคตอยู่เสมอนั่นคือ ภาวะ พีค ออยล์ หรือการที่น้ำมันดิบในแหล่งน้ำมันลดน้อยลงจนเหลือเพียงส่วนที่ยากต่อการนำขึ้นมาใช้ และต้องใช้เทคโนโลยีในระดับสูงทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดเพิ่มสูงขึ้น แบบจำลองของไอเอ็มเอฟไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยพีค ออยล์ดังกล่าว เพราะเชื่อว่าระดับราคาน้ำมันที่สามารถขายได้จะเป็นตัวกำหนดอัตราการขุดเจาะน้ำมันออกมาจากแหล่งขุด ทำให้ปัญหาพีค ออยล์ไม่กระทบต่อระดับราคาที่แท้จริงเท่าใดนัก ทั้งนี้ รายงานชิ้นนี้ระบุว่า จะมีการเพิ่มผลผลิตน้ำมันโลกขึ้นเป็นจำนวนน้อย สืบเนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่แท้จริงในตลาดโลกจะปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับเกือบเป็น 2 เท่าตัวของระดับราคาสูงสุดในปัจจุบันในทศวรรษที่จะมาถึง และระดับราคาสูงมากดังกล่าวจะคงอยู่ถาวรเป็นระยะเวลานาน แม้รายงานดังกล่าวจะระบุไม่ให้ยึดถือว่าเป็นทรรศนะของไอเอ็มเอฟก็ตาม แต่ผู้ศึกษาวิจัยและจัดทำแบบทดลองครั้งนี้เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของไอเอ็มเอฟ รวมทั้ง ยาโรเมียร์ บีนส์ อดีตหัวหน้าสำนักงานจัดทำแบบจำลองเศรษฐกิจมหภาค ของธนาคารแห่งชาติเช็ก ที่ปัจจุบันนี้เป็นลูกจ้างในสังกัดของไอเอ็มเอฟ ทั้งนี้ รายงานชิ้นนี้ระบุว่า แบบจำลองที่ใช้แสดงให้เห็นถึงความถูกต้องใกล้เคียงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอย่างยิ่ง และถ้าหากยังคงถูกต้องในระดับดังกล่าวเหมือนเช่นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาต่อไปอีก อนาคตก็จะยุ่งยากลำบากไม่น้อย ทั้งนี้ สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (ไออีเอ) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพิ่งออกแถลงการณ์เตือนประเทศอุตสาหกรรมทั้งหลายว่าระดับราคาน้ำมันในปี 2555 นี้จะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง เพราะความตึงเครียดระหว่างอิหร่านและตะวันตก และการที่ความต้องการน้ำมันซึ่งเคยตกต่ำลงได้สิ้นสุดลงแล้ว จะยิ่งทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ซึ่งเป็นทรรศนะที่สอดคล้องกับทรรศนะของกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันเป็นสินค้าออก (โอเปค) เช่นกัน อ่านต่อ...ภาพแสดงบริเวณก่อสร้างสะพานมิตรภาพกัมพูชา-จีน แห่งที่ 5 หรือสะพานจรอยจังวร (Chroy Changvar 2) ที่รัฐบาลจีนให้การสนับสนุน ในกรุงพนมเปญ โดยจีนเป็นประเทศที่เข้าลงทุนในกัมพูชามากที่สุดเป็นอันดับ 1 และจากรายงานของกระทรวงการจัดการที่ดิน การวางผังเมืองและการก่อสร้าง ระบุว่า ในไตรมาสแรกของปีนี้ มีโครงการลงทุนในภาคส่วนก่อสร้างรวมเป็นมูลค่า 342 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวจากปีก่อนร้อยละ 5. --REUTERS/Samrang Pring.ซินหัว - กระทรวงการจัดการที่ดิน การวางผังเมืองและการก่อสร้างของกัมพูชา เปิดเผยสถิติในวันนี้ (15 พ.ค.) ระบุว่า ภาคการก่อสร้างสามารถดึงดูดการลงทุนได้เป็นมูลค่ารวม 342 ล้านดอลลาร์ ในช่วงระยะเวลา 3 เดือนแรกของปี 2555 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จาก 324 ล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้า รายงานระบุว่า ในระหว่างเดือน ม.ค. ถึงเดือน มี.ค. ของปี 2555 กระทรวงฯ ได้อนุมัติใบอนุญาตโครงการก่อสร้างต่างๆ ทั่วประเทศทั้งหมด 489 โครงการ ผู้อำนวยการกรมการก่อสร้างของกระทรวงฯ กล่าวว่า โครงการที่อนุมัตินั้นประกอบด้วย โครงการก่อสร้างอาคารพาณิชย์ ที่พักอาศัย อพาร์ตเมนต์ โรงแรม โรงงานแปรรูปทางการเกษตร และโรงงานสิ่งทอ โดยนักลงทุนส่วนใหญ่มาจากมาเลเซีย เกาหลีใต้ จีน และเวียดนาม รายงานระบุว่า การเติบโตของภาคก่อสร้างของประเทศเนื่องมาจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ดี ความมีเสถียรภาพทางการเมือง และความมั่นคง อันเป็นปัจจัยหลักในการสร้างความน่าเชื่อต่อผู้ลงทุน ทั้งนี้ ภาคการก่อสร้างเป็นหนึ่งใน 4 เสาหลักเศรษฐกิจของกัมพูชา โดยในปี 2554 ที่ผ่านมา กัมพูชาดึงดูดการลงทุนได้ทั้งหมด 2,129 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 1,700 ล้านดอลลาร์. อ่านต่อ...
เมื่อ 15 พ.ค. มติชนออนไลน์รายงานว่า พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะประธานตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีภาพชายคล้ายทหารรุมโทรมหญิงสาว ระบุว่า จากการเรียกหน่วยต้องสงสัยมาให้ข้อมูลทราบว่า ผู้ที่อยู่ในภาพ 1 คน เป็นพลทหารที่ยังประจำการอยู่ภายในหน่วยทหาร จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งได้สั่งการให้ต้นสังกัด ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ส่วนนายอื่นยังไม่ทราบว่าอยู่ในหน่วยใด สังกัดใด ซึ่งได้สั่งการให้หน่วยต้องสงสัยตรวจสอบที่มาของภาพแล้ว พร้อมทั้งให้เจ้าหน้าที่ทางกฏหมายตรวจสอบว่า นอกจากประเด็นที่ทำให้กองทัพเสื่อมเสียแล้ว จะสามารถดำเนินคดีทางกฎหมายประเด็นอื่นได้หรือไม่ ส่วนผู้ที่ปลดประจำการไปแล้วคงไม่สามารถดำเนินการได้ ต้องให้ผู้เสียหายดำเนินการฟ้องเอง เพราะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหน่วยข้าราชการมีการตรวจสอบถึงที่สุด เพื่อหาผู้กระทำผิดมาลงโทษเพราะทำให้กองทัพเสื่อมเสีย
อ่านต่อ...รัฐบาลพม่าผ่านกฎหมายว่าด้วยการลงทุนภายในประเทศแล้ว เผยยกเว้นภาษีสำหรับบริษัทต่างชาติต่อเนื่อง 5 ปีแรก และอาจขยายให้ได้อีก 3 ปี หากทำได้ตามเงื่อนไขหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทม์ส ของอังกฤษรายงานเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคมว่า ประธานาธิบดี เต็ง เส่ง แห่งพม่าได้ลงนามเพื่อประกาศใช้กฎหมายว่าด้วยการลงทุนฉบับแรกของประเทศเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม กฎหมายดังกล่าวยังไม่สามารถเผยแพร่รายละเอียดฉบับเต็มออกมาได้ และอาจต้องรออีกหลายสัปดาห์กว่าจะมีการตีพิมพ์เผยแพร่อย่างเป็นทางการต่อไป หลังจากที่เคยมีการเลื่อนกำหนดการลงนามมาแล้วครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้เป็นเวลานานหลายเดือน ทั้งนี้ กฎหมายว่าด้วยการลงทุนภายในพม่าดังกล่าวถูกจับตามองและเฝ้ารอคอยกันอย่างมากหลังจากบรรดาบริษัทข้ามชาติจากหลายประเทศเดินทางมาสำรวจความเป็นไปได้ที่จะลงทุนในด้านต่างๆ ในพม่าก่อนหน้านี้ อันเป็นผลมาจากการผ่อนปรนมาตรการแซงก์ชั่น สืบเนื่องจากพัฒนาการทางการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นตามลำดับของพม่าในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้จะเป็นเครื่องกำหนดคุณลักษณะการลงทุนของบริษัทต่างชาติในหลายๆ ด้าน ตั้งแต่การกำหนดระยะเวลาการใช้ประโยชน์จากที่ดิน, โครงสร้างทางกฎหมายที่ครอบคลุมลักษณะการลงทุนในด้านต่างๆ รวมถึงแรงจูงใจที่ทางการพม่ากำหนดขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและโอกาสที่จะก้าวขึ้นไปเป็นหนึ่งในเสือเศรษฐกิจในเอเชียในอนาคต ข้อมูลเบื้องต้นที่ได้รับการบอกเล่าจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลพม่าระบุว่า ในกฎหมายเพื่อการลงทุนใหม่นี้จะมีการยกเว้นการเรียกเก็บภาษีสำหรับบริษัทลงทุนจากต่างประเทศต่อเนื่องกันในระยะ 5 ปีแรก เพื่อเป็นแรงจูงใจดึงดูดให้เข้ามาลงทุน หลังพ้นระยะปลอดภาษีดังกล่าว อาจมีการยืดเวลาไม่ต้องชำระภาษีออกไปได้อีก 3 ปี ถ้าหากกิจการลงทุนดังกล่าวเหล่านั้นสามารถดำเนินการได้ตามข้อกำหนดใดๆ ที่กำหนดไว้ ไฟแนนเชียล ไทม์ส ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ด้วยว่า การผ่านกฎหมายดังกล่าวออกมานั้น มีขึ้นเพียงไม่กี่วันก่อนหน้าที่จะมีการจัดการประชุมว่าด้วยเรื่องพม่าของสถาบันทางการเงินระหว่างประเทศหลายสถาบันร่วมกับประเทศผู้บริจาค เพื่อหารือเรื่องการประสานงานการให้ความช่วยเหลือทางการเงินต่อทางการพม่า ไม่ให้เกิดการทับซ้อนและซ้ำซ้อนกันขึ้น ซึ่งถือเป็นแนวทางใหม่จากสถาบันการเงินระหว่างประเทศเหล่านี้ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความช่วยเหลือตรงตามความต้องการของประเทศผู้รับที่พยายามจะเร่งรัดการปฏิรูปเศรษฐกิจของตนให้ได้โดยเร็วให้มากที่สุด ก่อนหน้านี้ ทางการพม่าเริ่มต้นการบริหารจัดการค่าเงินจ๊าดของตนเองให้สอดคล้องกับแนวทางสากลมากขึ้น ด้วยการปฏิบัติตามคำแนะนำของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คือค่อยๆ ปล่อยค่าเงินจ๊าดเปลี่ยนแปลงไปตามความเป็นจริงทีละเล็กทีละน้อย หรือที่เรียกว่า "แมเนจด์ โฟลท" เพื่อปรับอัตราแลกเปลี่ยนที่มีหลายตลาดให้เป็นอัตราเดียวและให้สะท้อนความเป็นจริงออกมาให้มากที่สุด นอกจากนั้นยังได้เริ่มสร้างตลาดกู้ยืมระหว่างธนาคาร ผ่านนายหน้าธนาคาร 17 แห่ง ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารกลางแห่งพม่า (บีโอเอ็ม) อย่างไรก็ตาม แม้การปฏิรูปทางการเงินดังกล่าวจะเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ไอเอ็มเอฟเชื่อว่าอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเป็นทางการในเวลานี้ซึ่งอยู่ที่ระหว่าง 815-825 จ๊าดต่อดอลลาร์ นั้นยังคงสูงเกินค่าเงินจริงอยู่ราว 40 เปอร์เซ็นต์ และยิ่งก่อปัญหาให้เกิดได้มากขึ้นถ้าหากค่าจ๊าดปรับเพิ่้มขึ้นไปอีกเมื่อเงินทุนจากต่างชาติทะลักเข้ามา เพราะจะทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศของสินค้าจากพม่าลดน้อยลงได้ อ่านต่อ...
กองทัพเรือสหรัฐเผยในวันพุธ เตรียมส่งเรือรบตระเวนชายฝั่งรุ่นล่าสุดประจำการในสิงคโปร์ฤดูใบไม้ผลิหน้านาน 10 เดือน ส่อทำจีนฉุนอีกกรณีพิพาทน่านน้ำทะเลจีนใต้ การส่งเรือ "ฟรีดอม" ที่แล่นในน้ำตื้นได้ลำนี้ไปประจำการที่สิงคโปร์ มีจุดประสงค์เพื่อซ้อมผลัดเปลี่ยนลูกเรือนาวี พัฒนาพลาธิการทางทหาร และระบบซ่อมบำรุงเพื่อขยายอานุภาพนาวิกโยธินสหรัฐ พลเรือตรีโทมัส โรว์เดน แถลงต่อนักข่าวผ่านการประชุมทางไกลว่า "นาวีสหรัฐจะส่งเรือฟรีดอมไปประจำการในสิงคโปร์ฤดูใบไม้ผลิปีหน้านานราว 10 เดือน" ในทางยุทธศาสตร์ สิงคโปร์ตั้งอยู่บริเวณช่องแคบมะละกาซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย โดยมีเรือบรรทุกสินค้าทั่วโลกกว่าร้อยละ 40 ล่องผ่านช่องแคบนี้ รัฐบาลสหรัฐได้หารือกับสิงคโปร์แล้วว่าจะส่งเรือรบตระเวนชายฝั่ง (แอลซีเอส) ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน 4 ลำระหว่างช่วงเวลาซ้อมรบที่กินเวลานาน 10 เดือนเมื่อปีที่แล้ว ประธานาธิบดีโอบามาสั่งให้สหรัฐเปลี่ยนทิศทางกระจายกองกำลังไปยังภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก หลังกองทัพเน้นปักหลักอยู่กับสงครามในอิรักและอัฟกานิสถานอย่างเดียวนานกว่า 10 ปี จีนมีกรณีพิพาทน่านน้ำทะเลจีนใต้กับหลายประเทศ อาทิ ฟิลิปปินส์ เวียดนาม บรูไน มาเลเซีย และไต้หวัน เมื่อเดือนที่แล้วจีนก็เพิ่งกล่าวเตือนสหรัฐว่า การซ้อมรบร่วมกันระหว่างอเมริกากับฟิลิปปินส์ ยิ่งมีแนวโน้มจะทำให้ข้อพิพาทน่านน้ำบริเวณแนวหินโสโครกสการ์เบอโรห์ที่มีเรือจีนกับฟิลิปปินส์เผชิญหน้ากันอยู่พัฒนาไปสู่ความขัดแย้งทางอาวุธได้ แอลซีเอส เป็นเรือรบที่ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมดโดยมีความเร็วกว่า 40 นอตต่อชั่วโมง และสามารถทำลายทุ่นระเบิด สกัดกั้นเรือดำน้ำและการโจมตีบนผิวน้ำรูปแบบอื่น พลเรือตรีจิม เมอร์ด็อก ผู้นำการซ้อมรบทางน้ำครั้งนี้ชี้แจงผ่านการประชุมทางไกลว่า เรือ "ฟรีดอม" ที่ใช้ลูกเรือบังคับแค่ 40 คนนี้ใช้ช่างจำนวนไม่มากในการซ่อมบำรุงเรือที่สิงคโปร์ เรือแอลซีเอสได้รับการออกแบบมา 2 ชนิด ชนิดแรกเป็นแบบเรือ "ฟรีดอม" ซึ่งพัฒนาโดยทีมอุตสาหกรรมจากบริษัท ล็อกฮีดมาร์ติน อีกชนิดหนึ่งถูกสร้างโดยทีมจากบริษัท เจเนอรัลไดนามิกส์ นาวีสหรัฐต้องการซื้อเป็นจำนวนมากถึง 55 ลำ ขณะนี้ได้รับทุนสนับสนุนซื้อแล้วชนิดละ 6 ลำ ทั้งนี้ เรือ "ฟรีดอม" ยังไม่พร้อมออกซ้อมรบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะประสบปัญหาเครื่องยนต์ขัดข้องและมีรอยแตกร้าวบนตัวเรือบางแห่ง อย่างไรก็ดี หน่วยนาวิกโยธินสหรัฐประกาศด้วยความมั่นใจว่าเรือจะได้รับการซ่อมแซมทันการซ้อมรบปีหน้า.
อ่านต่อ...หน่วยค้นหาจากกองทัพอากาศของอินโดนีเซียพบซากเครื่องบินของรัสเซียที่ประสบเหตุตกขณะบินสาธิตแล้ว และคาดว่าผู้โดยสารและนักบินรวม 48 คนจะเสียชีวิตทั้งหมด 10 พ.ค.55 ทีมกู้ภัยและอาสาสมัครวมกว่า 600 คนและเฮลิคอปเตอร์ 3 ลำที่เร่งค้นหาเครื่องบินซูคอย ซูเปอร์เจ็ต-100 รอบภูเขาไฟซาลัคในจังหวัดชวา พบซากเครื่องบินแล้วที่ระดับความสูง 1,580 เมตรบนภูเขาไฟเมื่อช่วงเช้าวันนี้ หลังเครื่องบินพร้อมนักบินและผู้โดยสาร 48 คนหายไปจากจอเรดาร์ระหว่างการบินสาธิตในงานแอร์โชว์นานาชาติเมื่อวาน หลังจากบินได้เพียง 21 นาที จากที่กำหนดไว้ 50 นาที ตอนแรกทางการหวังว่าเครื่องบินจะลงจอดฉุกเฉินได้อย่างปลอดภัย แต่หัวหน้าทีมกู้ภัย ยอมรับว่า หากเครื่องบินลงจอดฉุกเฉินจริง ก็ควรจะได้รับแจ้งผ่านวิทยุหรือโทรศัพท์มือถือ ของผู้โดยสารบนเครื่องบินได้บ้าง จึงวิตกว่าเครื่องบินจะตกในป่าบริเวณเนินเขา ใกล้กับ คาวาห์ ราตู ปากปล่องภูเขาไฟทางทิศเหนือของภูเขาไฟซาลัค ชาวบ้านคนหนึ่ง เปิดเผยว่า เห็นเครื่องบินสีขาวขนาดใหญ่ บินส่ายไปมาในระดับต่ำกว่ายอดเขา ก่อนหายลับไป และได้ยินเสียงเหมือนประทัด แต่ไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ทางการส่งเฮลิคอปเตอร์ 2 ลำออกค้นหาในช่วงเย็นวันเดียวกัน แต่ต้องกลับออกมาเพราะกระแสลมแรงและสภาพอากาศเลวร้าย และเพิ่งส่งเฮลิคอปเตอร์กลับไปอีกครั้งเช้านี้ แต่มีเมฆหมอกครึ้มและฝนตกทำให้ต้องเลื่อนเวลาบินเล็กน้อย บรรดาญาติๆของผู้โดยสาร นั่งคอยที่สนามบินในกรุงจาการ์ต้าด้วยความเศร้าสลดขณะรอฟังข่าว บนเครื่องบินมีทั้งนักธุรกิจอินโดนีเซีย เจ้าหน้าที่สถานทูตรัสเซีย ผู้สื่อข่าว และมีชาวอเมริกัน และฝรั่งเศสรวมอยู่ด้วย นายกรัฐมนตรี ดมิทรี เมดเวเดฟ ของรัสเซียสั่งตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อสอบสวนอุบัติเหตุครั้งนี้แล้ว และประธานาธิบดีซูซิโล บัมบัง ยูโดโยโนของอินโดนีเซีย จะเดินทางไปกำกับภารกิจกู้ภัยในวันนี้ ซูคอย ซูเปอร์เจ็ต-100 ให้บริการเที่ยวบินพาณิชย์ครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว และอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอาจเป็นหายนะครั้งแรกของเครื่องบินรุ่นนี้ บริษัทซูคอยของรัสเซียสร้างเครื่องบินรุ่นนี้ เพื่อให้เป็นเครื่องบินโดยสาร และพยายามยกระดับอุตสาหกรรมการบินหลังจากสิ้นสุดยุคโซเวียต
อ่านต่อ...ศาลอาญายกฟ้อง 5 แกนนำป่วนใต้ อดีตผู้นำนักศึกษาม.อ.ปัตตานี คดียิงตำรวจปัตตานี ชี้พยานหลักฐานอ่อน เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2555 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีที่อัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้อง นายมุสตอปา เจ๊ะยะ นายอิลยาส มันหวัง นายอุสมาน ปะชี นายยูไล โสะปนแอ และนายมะอาซี บุญพล สมาชิกขบวนการ "เบอร์ซาตู" ในกลุ่มบีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนต จำเลยที่ 1-5 ตามลำดับ ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และร่วมกันก่อการร้าย ตามฟ้องโจทก์สรุปว่า ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-29 ธันวาคม 2547 ต่อเนื่องกัน จำเลยได้ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายและ ก่อการร้ายรูปแบบต่างๆ ในพื้นที่ จังหวัดปัตตานี เพื่อแบ่งแยกดินแดน ใช้อาวุธปืนฆ่าเจ้าพนักงาน ตำรวจ โดยให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน มุ่งหมายเพื่อบังคับขู่เข็ญให้รัฐบาลยินยอมแบ่งแยกดินแดน จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส และบางส่วนของจังหวัดสงขลา ออกจากราชอาณาจักร เพื่อสถาปนารัฐอิสระ ปกครองตนเอง เรียกว่า รัฐปัตตานี หรือ รัฐปัตตานีดารุสสลาม โดยวันที่ 29 ธันวาคม 2547 จำเลยร่วมกันวางแผนฆ่า ด.ต.โมหามัด เบญญากาจ โดยไตร่ตรองไว้ก่อน เหตุเกิดที่ ตำบลบานา ตำบลสะบารัง ตำบลตะลุโบ๊ะ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี ต่อมาเจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดโทรศัพท์มือถือและซิมการ์ดที่ใช้ติดต่อสื่อสารไว้เป็น ของกลาง ซึ่งจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่า โจทก์มีเพียงพยานที่เป็นพนักงานสอบสวนเบิกความโดยไม่มีพยานหลักฐานอื่น ที่ยืนยันชี้ชัดว่าใครเป็นคนร้ายยิงผู้เสียชีวิต และมีเพียงคำรับสารภาพจำเลยทั้ง 5 ที่เขียนด้วยลายมือ อีกทั้งเจ้าพนักงานไม่สามารถตรวจยึดอาวุธปืน หรือมีประจักษ์พยานเห็น คนร้ายลงมือยิงผู้เสียชีวิต นอกจากนี้ยังเห็นว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่าการโทรศัพท์ ติดต่อกันของจำเลยเป็นการพูดคุยเพื่อก่อการร้าย และเป็นบุคคลที่เข้าร่วมขบวนการ ก่อการร้าย และไม่ปรากฏชื่อจำเลยทั้ง 5 อยู่ในสารบบผู้ก่อการร้าย จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้ง 5 ร่วมกันก่อการร้าย พิพากษายกฟ้อง แต่ให้ขังจำเลยทั้ง 5 ไว้ระหว่างอุทธรณ์
อ่านต่อ...เปิดกำหนดการผู้แทนโอไอซี (OIC) เยือนชายแดนใต้ ชมกิจกรรมของรัฐ พบปะชาวบ้าน เยี่ยมเหยื่อและคนเจ็บจากความไม่สงบ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2555 รายงานข่าวแจ้งว่า คณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของผู้แทนโอไอซี หรือ องค์การการประชุมชาติอิสลาม (Organization of Islamic Cooperation : OIC) นำโดย Sayed Kassem El Masry Sayed Kassem El Masry ที่ปรึกษาและผู้แทนพิเศษของนายเอกเมเลดดิน อิซาโนกลูเลขาธิการโอไอซี ที่จะเดินทางเยือนประเทศไทยระหว่างวันที่ 7-12 พฤษภาคม 2555 นี้ โดยมีกำหนดเดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ระหว่างวันที่ 8 - 10 พฤษภาคม 2555 โดย วันที่ 8 พฤษภาคม เวลา 20.00 น. จุฬาราชมนตรีและเทศบาลนครหาดใหญ่ เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำ จากนั้นเข้าที่พักโรงแรมโนโวเทลเซ็นทารา หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จากนั้นวันที่ 9 พฤษภาคม 2555 ออกเดินทางไปยังศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต) พบหารือกับ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการ ศอ.บต. และประชุมรับฟังการบรรยายสรุปและการซักถาม ณ ห้องประชุมใหญ่ ศอ.บต. ช่วงบ่ายเดินทางไปเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ระเบิด และเยี่ยมชมศูนย์มัรกัส อำเภอเมือง จังหวัดยะลา จากนั้นไปเยี่ยมชมศูนย์อำนวยความเป็นธรรมภาคประชาชนระดับตำบลตาลีอายร์ อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี และเยี่ยมชมโครงการส่งเสริมอาชีพสตรีที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงในอำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี และเข้าพักที่ โรงแรมซีเอส ปัตตานี วันที่ 10 พฤษภาคม 2555 ออกเดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์จากค่ายอิงคยุทธบริหาร อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ไปยังค่ายสิริธร อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี เยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง โดยมีพล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 (ผอ.กอ.รมน ภาค 4) ให้การต้อนรับ จากนั้นออกเดินทางไปยังอำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส เยี่ยมชมโครงการรอตันบาตู (หมู่บ้านแม่หม้าย) เยี่ยมชมโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 10 จากนั้นออกเดินทางไปยังค่ายเสนาณรงค์อำเภอหาดใหญ่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และเดินทางต่อไปยังที่ร้านซามี คิทเซ่น เพื่อรับประทานอาหารเที่ยง โดยแม่ทัพภาคที่ 4 เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหาร หลังจากนั้น เยี่ยมชมสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา เพื่อรับฟังบรรยายสรุป พบปะเยาวชนภาคที่เข้าค่ายฤดูร้อนและเยี่ยมชมมัสยิดกลางจังหวัดสงขลา จากนั้นไปเยี่ยมชมมัสยิดบ้านเหนือ ตำบลคูเต่า อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เข้าพักที่โรงแรมบีพี สมิหลาบีช รีสอร์ต อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา โดยนายกฤษฎา บุญราช ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำ
อ่านต่อ...กรรมการสิทธิแถลง คลอดแนวทางชันสูตรศพมุสลิม ใช้เวลาศึกษา 6 ปี หวังเป็นอีกช่องสร้างความยุติธรรมชายแดนใต้ ผู้นำศาสนาโอเค บาบอแอ สะปาแย ชี้ จะทำตามหรือไม่ก็ได้ เป็นสิทธิของผู้ดูแลศพ หมอยะลาแนะต้องเพิ่มแพทย์นิติเวชมุสลิม สร้างการยอมรับกระบวนการยุติธรรมไทย เผยสาระสำคัญ 2ทัศนะทางศาสนา “ทำได้ – ไม่ได้”
ชันสูตรศพมุสลิม - ศ.อมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (ที่ 3 จากซ้าย) แถลงข่าวเปิดตัวหนังสือ“แนวทางการตรวจชันสูตรพลิกศพ ตามกระบวนการทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ตามหลักด้านศาสนาอิสลาม” ณ สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2555เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 8 พฤษภาคม 2555 ที่ห้องประชุม 1 สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ร่วมกับ สำนักจุฬาราชมนตรี และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เปิดแถลงข่าวเปิดตัวหนังสือ “แนวทางการตรวจชันสูตรพลิกศพ ตามกระบวนการทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ตามหลักด้านศาสนาอิสลาม” จากนั้นมีการสัมมนาสร้างความรู้ความเข้าใจและเผยแพร่แนวทางการตรวจชันสูตรพลิกศพ ตามกระบวนการทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ตามหลักด้านศาสนาอิสลาม โดยมีผู้เข้าร่วมประมาณ 150 คน ประกอบด้วยผู้นำศาสนาอิสลามในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นักกฎหมายในพื้นที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ศ.อมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในฐานะประธานอนุกรรมการปฏิบัติการยุทธศาสตร์ด้านสิทธิมนุษยชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แถลงว่า การศึกษาแนวทางการตรวจชันสูตรพลิกศพตามกระบวนการทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ตามหลักด้านศาสนาอิสลาม เริ่มตั้งแต่ปี 2549 โดยนายวสันต์ พานิช อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพราะเห็นว่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการอำนวยความยุติธรรมให้กับผู้ตายและญาติที่เป็นชาวมุสลิมโดยเฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ศ.อมรา แถลงต่อไปว่า ต่อมาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติชุดใหม่ ได้ดำเนินการต่อ โดยมีการหารือกับสำนักจุฬาราชมนตรี และสำนักจุฬาราชมนตรีได้ออกคำวินิจฉัยทางศาสนา (ฟัตวา) ที่ 04/ 2549 เรื่องการชันสูตรพลิกศพ สามารถกระทำได้ต่อเมื่อมีความจำเป็นจริงๆ เท่านั้น ศ.อมรา แถลงอีกว่า นอกจากนี้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เดินทางไปศึกษาหลักการและแนวทางเรื่องนี้ที่ประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซีย มีการแต่งตั้งคณะทำงาน ประกอบด้วยประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้นำศาสนา นักวิชาการ และ นักกฎหมาย มีการประชุม 5 ครั้ง ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2551 จนปี 2555 มีการประชุมรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะนักวิชาการศาสนาและนักกฎหมาย นายอับดุลสุโก ดินอะ คณะทำงานร่างแนวทางการตรวจชันสูตรศพตามกระบวนการทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ตามหลักศาสนาอิสลาม ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า สาระสำคัญของหนังสือแนวทางการตรวจชันสูตรดังกล่าว อยู่ในหน้า 25 ข้อ 2.2 การชุนสูตรศพ โดยเฉพาะการขุดและการผ่าศพขัดต่อหลักการศาสนาอิสลามหรือไม่ สาระสำคัญในหน้าดังกล่าวระบุว่า จากการศึกษาไม่พบหลักฐานใดๆ ที่ระบุชัดเจนถึงการห้าหรืออนุมัติทั้งจากคัมภีร์อัลกุรอานและวจนะศาสดา ทำให้นักวิชาการปัจจุบันมีทรรศนะที่แตกต่างกัน 2 ทัศนะ “ทัศนะแรก ไม่อนุญาตให้ขุดศพและตรวจชันสูตรศพ ด้วยเหตุผลที่ว่า ศาสนาตั้งอยู่บนพื้นฐานการให้เกียรติและคุ้มครองคุณค่าอันสูงส่งของความเป็นมนุษย์ ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่ในช่วงแห่งการมีชีวิตอยู่เท่านั้น ในสภาวะไร้วิญญาณ ศาสนาอิสลามก็ยังคงถือว่าเกียรติยศและความประเสริฐในการเป็นมนุษย์ยังมีอย่างสมบูรณ์” สาระสำคัญในหน้าดังกล่าว ระบุ “ทัศนะที่สอง อนุญาตให้ขุดศพและชันสูตรศพ เป็นทัศนะส่วนใหญ่ของนักวิชาการโลกมุสลิมร่วมสมัยว่า การขุดศพเพื่อชันสูตรที่ได้ฝังไปแล้ว หรือการชันสูตรศพที่เพิ่งเสียชีวิต แม้เป็นสิ่งต้องห้ามตามมติของปวงปราชญ์ แต่หากสถานการณ์มีความจำเป็น ก็สามารถทำได้โดยอนุโลม” สาระสำคัญในหน้าดังกล่าว ระบุ นายอับดุลสุโก เปิดเผยว่า สำหรับหนังสือเล่มนี้ในเบื้องต้นบรรดาอุลามาอ์ (นักปราชญ์ทางศาสนาอิสลาม)ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนใหญ่เห็นด้วยในหลักการ แต่มีข้อกังวลคือ เมื่อมีการชันสูตรพลิกศพมุสลิมแล้ว จะสามารถอำนวยความยุธรรมให้เกิดขึ้นได้หรือไม่ และจะทำให้สามารถนำผิดมาลงโทษได้หรือไม่ นายอับดุลสุโก กล่าวว่า การนำแนวทางดังกล่าวมาใช้ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะสามารถนำความยุติธรรมมาให้ประชาชนได้ และกระบวนการต่างๆตามแนวทางดังกล่าว จะมีแพทย์มุสลิมที่มีความน่าเชื่อถือเข้ามีส่วนร่วมในกระบวนการชันสูตรด้วย นายแพทย์ฟาฏิน อะหะหมัด สาและอารง นายแพทย์ปฏิบัติการโรงพยาบาลศูนย์ยะลา กล่าวว่า แนวทางการตรวจชันสูตรพลิกศพดังกล่าว มีการเน้นว่า การชันสูตรพลิกศพมุสลิมสามารถทำได้หรือไม่ได้เท่านั้น ทั้งที่ ยังมีมิติอื่นที่ต้องขับเคลื่อนไปด้วยกัน คือ การสนับสนุนการผลิตแพทย์นิติเวชที่เป็นมุสลิม และการสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบความยุติธรรมของไทย นายอิสมาแอล สะปันยัง หรือ บาบอแอ สะปาแย โต๊ะครูปอเนาะดูซงปันยัง อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี กล่าวในการสัมมนาว่า การที่มีทัศนะเรื่องการชัดสูตรศพของอูลามาอ์ เป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งเป็นเรื่องปลีกย่อย เพราะไม่มีตัวอย่างในสมัยศาสดา “กรณีนี้ คนที่เห็นด้วยก็มีหลักฐาน ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วยก็มีหลักฐาน แต่เมื่อสำนักจุฬาราชมนตรีออกคำวินิจฉัยเรื่องนี้แล้ว ใครจะทำตามหรือไม่ทำตามก็ได้ ไม่ได้บังคับ เพราะขึ้นอยู่กับผู้ดูแลศพหรือญาติที่จะอนุญาตหรือไม่” บาบอแอ สะปาแย กล่าว บาบอแอ สะปาแย กล่าวอีกว่า อยากรู้ว่าเรียกอูลามาอ์มาร่วมงานครั้งนี้ด้วยทำไม หากต้องการให้อุลามาอ์มาให้คำตอบว่า ได้หรือไม่ได้ก็คงต้องเป้นเวทีเฉพาะของอูลามาอ์ แต่ถ้ามีคำวินิจฉัยแล้วก็ไม่จำเป็น ดร.อับดุลเลาะ อาบูบากา ผู้อำนวยการโรงเรียนสมบูรณ์ศาสตร์ อำเภอยะหา จังหวัดยะลา กล่าวว่า การชันสูตรพลิกมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องมีหลักประกันว่า จะไม่มีการแทรกแซงการทำงานของทีมแพทย์นิติเวชที่ทำการชันสูตรพลิกศพ และที่สำคัญสุด ต้องสนับสนุนให้มีแพทย์นิติเวชที่เป็นมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย ล้อมกรอบ เปิดสาระสำคัญ 2ทัศนะ “ทำได้ – ไม่ได้” นายอับดุลสุโก ดินอะ คณะทำงานร่างแนวทางการตรวจชันสูตรศพตามกระบวนการทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ตามหลักศาสนาอิสลาม ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ระบุสาระสำคัญของหนังสือแนวทางการตรวจชันสูตรดังกล่าว ดังนี้ สาระสำคัญของเรื่องนี้ อยู่ในหน้า 25 ข้อ 2.2 การชุนสูตรศพ โดยเฉพาะการขุดและการผ่าศพขัดต่อหลักการศาสนาอิสลามหรือไม่ ซึ่งจากการศึกษาไม่พบหลักฐานใดๆ ที่ระบุชัดเจนถึงการห้าหรืออนุมัติทั้งจากคัมภีร์อัลกุรอานและวจนะศาสดา ทำให้นักวิชาการปัจจุบันมีทรรศนะที่แตกต่างกัน 2 ทัศนะ ทัศนะแรกไม่อนุญาต ทัศนะแรก ไม่อนุญาตให้ขุดศพและตรวจชันสูตรศพ ด้วยเหตุผลที่ว่า ศาสนาตั้งอยู่บนพื้นฐานการให้เกียรติและคุ้มครองคุณค่าอันสูงส่งของความเป็นมนุษย์ ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่ในช่วงแห่งการมีชีวิตอยู่เท่านั้น ในสภาวะไร้วิญญาณ ศาสนาอิสลามก็ยังคงถือว่าเกียรติยศและความประเสริฐในการเป็นมนุษย์ยังมีอย่างสมบูรณ์ กฎเกณฑ์ต่างๆ ในการปฏิบัติต่อผู้ตายจะต้องคอยระมัดระวังมิให้กระทบกระเทือนหรือเกิดอันตรายต่อศพ ท่านศาสดามูฮัมมัดได้กล่าวย้ำไว้ว่า ท่านจงอย่าทำร้ายศพ ดังนั้นการขุดศพและการตรวจชันสูตรจึงเป็นการทำร้ายศพและไม่ให้เกียรติศพ โดยเฉพาะการตรวจชันสูตรศพนำไปสู่การล้าช้าในการจัดการศพที่ต้องเร่งรีบไปรับผลบุญที่ศพจะได้รับในโลกหน้าเป็นการค้านกันวจนะศาสดาที่กล่าวไว้ว่า “เมื่อมีบุคคลหนึ่งเสียชีวิตเจ้าจงอย่ากักขังศพ ทว่าจงรีบนำศพสู่หลุมฝังโดยเร่งด่วน” (บันทึกโดยอีหม่ามอัฏฏอบรอนีย์) ทรรศนะดังกล่าว เป้นทรรศนะของนักวิชาการร่วมสมัยบางท่าน เช่น ชัยค มูฮัมมัด ซะกะริยา อัลกันดาฮารีย์, ชัยมูฮัมมัดบูรฮานุดดีน อัสสันบาฮารีย์, ชัยคมูฮัมมัด บะเคียต, ชัยคอัลอารอบีย์ อบูอิยาต อัฏฏอบาคีย์ และ ชัยคมูฮัมมัดอับดุลวะฮฮาบ ทัศนะที่สอง อนุญาต ทัศนะที่สอง อนุญาตให้ขุดศพและชันสูตรศพ เป็นทัศนะส่วนใหญ่ของนักวิชาการโลกมุสลิมร่วมสมัยส่วนใหญ่ เช่น ชัยคฺ ยูซุฟ อัลดะญาวีย์, ชัยคฺฮุซัยน์ มัคลูฟ, ชัยคฺอิบรอฮีม อัลยะกูบีย์, ชัยคฺดร.มุฮัมมัด ซะอีด รอมาฏอน อัลบูฏีย์, ชัยค ดร.มะห์มูด นาซิม นุซัยมีย์ และ ชัยค ดร.มะห์มูด อาลี อัซซัรฏอวีย์ ที่อนุโลมการตรวจชันสูตรศพโดยให้เหตุผลในภาพรวมว่า ในภาวะปกติ ความเป็นจริงศาสนาให้เกียรติและคุ้มครองคุณค่าอันสูงส่งของความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะมีชีวิตหรือเสียชีวิต ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้มีชีวิตในชุมชนหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบรวมร่วมกันในการจัดการศพตามขั้นตอนที่ได้ระบุไว้ตามหลักนิติศาสตร์อิสลามทุกประการ ตามหลักฐานที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ไม่ว่าจากคัมภีร์อัลกุรอานและวัจนะศาสดา ดังนั้น การขุดศพเพื่อชันสูตรที่ได้ฝังไปแล้ว หรือการชันสูตรศพที่เพิ่งเสียชีวิต แม้เป็นสิ่งต้องห้ามตามมติของปวงปราชญ์ แต่หากสถานการณ์มีความจำเป็น ก็สามารถทำได้โดยอนุโลม ทัศนะที่ 2 นี้ มีคำวินิจฉัย (ฟัตวา) ที่สำคัญของสถาบันและนักวิชาการในโลกมุสลิมสนับสนุนมากมาย เช่น 1. สถาบันปราชญ์อาวุโสของประเทศซาอุดิอาระเบีย (ฮัยอะกิบารอุละมาอ) ในมติการประชุมครั้งที่ 9 หมายเลข 98 ลงวันที่ 14 เดือนซะอบาน ปีฮิจเราะห์ศักราช 1396 2. ศูนย์นิติศาสตร์อิสลามของสันนิบาตชาติมุสลิม ในมติการประชุมครั้งที่ 10 ประจำเดือนเศาะฟัร ปีฮิชเราะห์ 1408 3. สำนักงานสภาการวินิจฉัยของอัลฮัซฮัร ประเทศอิยิปต์ และวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1971 4. สำนักงานวินิจฉัยประเทศอียิปต์ วินิจฉัยโดยมุฟตีอียิปต์สมัยต่างๆ คือ ชัยค อับดุลมาญีด ซาลีม หมายเลขข้อวินิจฉัย 639 ลงวันที่ 26 ซะอบาน ฮ.ศ.1356 และชัยค หุซัยน มัคลูฟ วินิจฉัยเมื่อปี ค.ศ.1951 5. คณะกรรมการถาวรการวิจัยและวินิจฉัยประเทศซาอุดิอาระเบีย ในมติการประชุม วันที่ 21 กรกฎาคม ค.ศ.1935 6. คณะกรรมการสภาวิจัยประเทศจอร์แดน ลงวันที่ 20 เดือนญะดิ้ลอาคิร ฮ.ศ.1937 ? 7. อายาตุลลอฮ ซัยยิด อัซซัยตานีย์ ผู้นำชีอะห์ในอิรัก และ ศ.ดร.มุสตอฟา อัลอัรญาวีย์ นักวิชาการาวอิรัก (เพราะประเทศอิรักมีการขุดศพมุสลิมมากมาย) 8. ดร.อะห์หมัด อับดุลการีม นาญีบ 9. อ.มุฮัมมัด มัศริ นักวิชาการมาเลเซีย 10. คำวินิจฉัยทางศาสนาของสำนักจุฬาราชมนตรี ที่ 04/2549 อ่านต่อ...
ตัวแทนโอไอซีรับฟังข้อมูลจาก ศอ.บต.และผู้นำศาสนา ระบุไฟใต้ไม่ได้เป็นปัญหาทางศาสนา แต่เป็นความแตกต่างของเผ่าพันธุ์ ยันไม่สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน ประณามการก่อเหตุเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ แนะรัฐบาลยึดสันติวิธี ขณะที่โจรใต้บึ้ม! ชุด รปภ.ครู อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส เจ็บ 3 นาย ที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) อ.เมืองฯ จ.ยะลา วันที่ 9 พ.ค. นายซาเยด คาสเซม เอลมาสรี ที่ปรึกษาเลขาธิการองค์การความร่วมมืออิสลาม (โอไอซี) พร้อมคณะ เดินทางมาประชุมรับฟังการบรรยายสรุปนโยบายการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการ ศอ.บต. สมาชิกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้แทนจุฬาราชมนตรี ประธานคณะกรรมการอิสลามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้ว่าราชการทั้ง 5 จังหวัด ให้การต้อนรับเข้าร่วมให้ข้อมูล นายซาเยดกล่าวว่า ในอดีตเมื่อ 9 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องประสบปัญหาความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จากนั้นโอไอซีได้ให้ความสนใจเข้ามาศึกษาหาลู่ทางในการสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับโอไอซี กระทั่งเมื่อปี พ.ศ.2550 เลขาธิการโอไอซีได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมกับประเทศไทยในการร่วมมือแก้ไขปัญหา บนพื้นฐานของการให้เกียรติซึ่งกันและกัน และไม่ได้เข้าแทรกแซงต่อรัฐบาลไทย มาวันนี้มีความยินดีมากที่สถานการณ์เหตุการณ์ได้ลดลง “ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ได้เป็นปัญหาทางศาสนา ปัญหาความรุนแรงภาคใต้อิสลามไม่ได้มีส่วน แต่เป็นความแตกต่างของเผ่าพันธุ์ ประเพณีและศาสนา ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของประเทศที่มีชนกลุ่มน้อยอยู่ เพราะฉะนั้นการใช้กำลังไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหา แต่การใช้แนวทางที่เป็นสันติ ความเข้าใจซึ่งกันและกัน การยอมรับซึ่งกันและกัน ก็จะเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่ดีกว่า" ตัวแทนโอไอซีระบุว่า รู้สึกดีใจที่เห็นว่ารัฐบาลไทยเริ่มเห็นความสำคัญของเรื่องการศึกษา โดยเฉพาะภาษามลายูท้องถิ่นให้มีการเรียนการสอนควบคู่กันไปกับภาษาไทยในสถาบันการศึกษาของรัฐ ส่วนเรื่องการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตนและคณะดีใจที่ได้รับทราบว่าจะมีการยกเลิกในอนาคต และจะนำกฎหมายปกติมาใช้ "ท่าทีที่ชัดเจนของโอไอซีก็คือการขอประณามเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ไม่ว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นจากกลุ่มใดหรือฝ่ายใด ซึ่งขอประณามการเข่นฆ่าชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์โดยไม่เลือกว่าเป็นไทยพุทธหรือมุสลิม ซึ่งคัมภีร์อัลกุรอานบอกไว้ว่า “ผู้ใดฆ่าชีวิตหนึ่งชีวิต เหมือนกับการฆ่าคนทั้งโลก” ไม่ว่าจะเป็นคนนับถือศาสนาใด โอไอซีสนับสนุนให้รัฐบาลใช้วิธีแนวทางการแก้ปัญหาโดยสันติวิธี และโอไอซีไม่สนับสนุนให้มีการแบ่งแยกดินแดนส่วนนี้ออกจากประเทศไทย" ผู้แทนโอไอซีกล่าว นายอาซิส เบ็ญหาวัน ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาศอ.บต. กล่าวว่า การที่คณะของโอไอซีเข้ามาในพื้นที่เป็นผลดีกับเราอย่างมาก จะได้มารับรู้สภาพข้อเท็จจริง วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ตลอดจนสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น และสิ่งที่รัฐบาลกำหนดนโยบายต่างๆ ให้กับพี่น้องชาวไทยมุสลิมมีเป็นจำนวนมาก ได้ทุ่มเทให้ทุกอย่างเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ ทั้งสิทธิเสรีภาพ การนับถือศาสนา การประกอบอาชีพ การศึกษา แต่สิ่งเหล่านี้อาจจะไม่ได้ถูกนำเสนอให้ทางโอไอซีได้รับทราบ ถ้าทางโอไอซีได้รับทราบก็คงพึงพอใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลา 14.30 น. ได้มีเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ทหารหน่วย ฉก.นราธิวาสที่ 32 ชุด รปภ.โรงเรียนบ้านบือเระ หมู่ 7 ต.บาเระใต้ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส เมื่อเจ้าหน้าที่เก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด พร้อมเจ้าหน้าที่ทหารจำนวนหนึ่งเข้าตรวจสอบในที่เกิดเหตุ พบว่าที่บริเวณใกล้กับป้ายโรงเรียนบ้านบือเระ ซึ่งเป็นป้ายขนาดใหญ่ทำด้วยปูนซีเมนต์ ถูกแรงระเบิดอัดจนได้รับความเสียหาย มีหลุมระเบิดกว้าง 100 ซม. ลึก 80 ซม. มีเศษสะเก็ดระเบิดและเศษชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือตกกระจายเกลื่อนพื้นที่ สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ขณะเกิดเหตุได้มีกำลังเจ้าหน้าที่ทหารหน่วย ฉก.นราธิวาสที่ 32 นำกำลังทั้งหมด 8 นาย มี พ.จ.อ.ปกรณ์ ปุ้งข้อ เป็นหัวหน้าชุด ดูแลรักษาความปลอดภัยภายในโรงเรียน และขณะที่มีทหาร 6 นายกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนใต้ต้นพิกุลซึ่งอยู่ด้านหลังของป้ายชื่อโรงเรียน คนร้ายได้น้ำระเบิดแอบมาฝังไว้แล้วจุดชนวนระเบิดด้วยโทรศัพท์มือถือ จนทหารได้รับบาดเจ็บทันที 3 นาย โรงเรียนบ้านบือเระแห่งนี้ คนร้ายเคยลอบเผาอาคารเรียนมาแล้ว 1 ครั้ง และลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ทหาร 3 ครั้ง.
อ่านต่อ...ชุดสอบสวนคดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐว่าด้วยการล่วงละเมิดสถาบันยันไม่ฟ้องคดีล้มเจ้า หลังหาพยานยืนยัน39คนไม่ได้ จากกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ระบุว่าดีเอสไอสั่งไม่ฟ้องคดีล้มเจ้า รวมถึงคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจากการปราศรัยเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 53 นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่า สำหรับคดีล้มเจ้าตามแผนผังของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) นั้น ตนได้มอบให้พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน และมอบหมายให้พ.ต.อ.ประเวศน์เป็นผู้ให้ข่าวแต่เพียงผู้เดียว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสับสน ทั้งนี้เท่าที่ได้รับรายงานคดีผังศอฉ.มีการเรียกประชุมคณะพนักงานสอบสวนร่วมกับพนักงานเพื่อพิจารณาสั่งคดีหลายครั้ง แต่ยังไม่ได้รับคำยืนยันว่ามีการสั่งสำนวนอย่างไร ดังนั้นในวันที่ 10 พ.ค.นี้ ตนจะเรียกพ.ต.อ.ประเวศน์มาพบเพื่อรายงานความคืบหน้าในการสั่งคดีทั้งคดีล้มเจ้าตามผังศอฉ.และคดีหมิ่นพระบรมเดชนุภาพเป็นรายบุคคล จากนั้นจะแถลงข่าวอีกครั้ง แหล่งข่าวจากชุดสอบสวนคดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐว่าด้วยการล่วงละเมิดสถาบัน(ล้มเจ้า) เปิดเผยว่า พนักงานสอบสวนดีเอสไอนำโดยพ.ต.อ.ประเวศน์ ได้ประชุมร่วมกับพนักงานอัยการคดีพิเศษสรุปสำนวนคดีดังกล่าวโดยลงความเห็นสั่งไม่ฟ้องและส่งสำนวนคดีดังกล่าวต่ออัยการไปแล้ว เนื่องจากไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่ชัดเจนตามข้อกล่าวหา อีกทั้งที่ผ่านมาได้เรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องในศอฉ. หลายคนเข้าให้ปากคำในฐานะพยาน ทั้งพ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก นายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) รวมถึงคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตผอ.ศอฉ. แต่ไม่มีบุคคลใดสามารถระบุถึงที่มาที่ไปและกลุ่มบุคคลที่เป็นผู้จัดทำรายชื่อตามแผนผังทั้ง 39 คนได้ ดังนั้น เมื่อพยานหลักฐานไม่เพียงพอดีเอสไอจึงมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องพร้อมส่งสำนวนให้อัยการฝ่ายคดีพิเศษพิจารณาต่อไป อย่างไรก็ตาม ในส่วนของอัยการอาจมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องตามดีเอสไอหรืออาจเห็นต่างก็ได้ รวมทั้งสามารถกำหนดประเด็นให้ดีเอสไอนำสำนวนกลับไปสอบสวนเพิ่มเติมได้ แต่เบื้องต้นขณะนี้ในส่วนดีเอสไอถือว่าดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว
อ่านต่อ..."เสื้อแดง" เตรียมแห่ "ศพอากง" ไปทำเนียบฯ-สภา 10 พ.ค.นี้ "มาร์ค" เตือนอย่านำมาเป็นประโยชน์การเมือง ชี้คดีต้องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ขณะที่ "เมีย-ลูก" รับศพ "อากง" รดน้ำศพหน้าศาลอาญา แพทย์ยัน "มะเร็งตับ" คร่าชีวิต เมื่อวันที่ 9 พ.ค. นางสุดา รังกุพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิชาการเคลื่อนไหวให้แก้กฎหมายอาญามาตรา 112 กล่าวว่า ช่วงเช้าวันที่ 10 พ.ค. จะมีการเคลื่อนขบวนแห่ศพของนายอำพล ตั้งนพกุล หรือ อากง จากบริเวณด้านหน้าศาลอาญา ไปยังทำเนียบรัฐบาล ต่อด้วยรัฐสภา เพื่อประจานความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น และไปจบลงที่วัดด่านสำโรง จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นการสวดอภิธรรมคืนแรก โดยมีกลุ่ม นปช.เป็นเจ้าภาพ นางสุดา กล่าวด้วยว่า การคุมขังอากงในข้อหาผิดมาตรา112 เกิดจากการตัดสินคดีอย่างไม่เป็นธรรม อีกทั้งโทษของคดีรุนแรงเกินไป เนื่องจากอากงไม่ได้เป็นผู้กระทำผิดแต่ถูกกล่าวหาว่าส่งข้อความสั้น(เอสเอ็มเอส) ทั้งที่ความจริงอากงส่งไม่เป็น แต่ไม่สามารถหาหลักฐานมาแย้งข้อกล่าวหาของศาลได้ อย่างไรก็ตาม หวังว่าประชาชนจะตื่นตัวกับเหตุการณ์ที่มีการกล่าวหาชายชราคนนี้ด้วย "มาร์ค"ชี้"คดีอากง"ต้องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม โดยทางการต้องพิสูจน์ให้ชัดเพราะเป็นการเสียชีวิต ภายใต้การดูแลของเจ้าพนักงาน อย่าให้คนหยิบเรื่องนี้มาเป็นประโยชน์ทางการเมือง ส่วนที่นายสุรชัย แซ่ด่าน เสนอให้นำศพมาแห่เรียกร้องถือเป็นหนึ่งตัวอย่างที่พยายามเอาเรื่องนายอำพลมาเป็นเรื่องการเมืองตลอด จี้"รบ."เร่งทำความเข้าใจ"นิติราษฏร์"ปัดฝุ่น ม.112 นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่มีคนบางกลุ่มจะปลุกระดมให้มีการล้มม.112 อีกรอบว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องชี้แจงว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาล ซึ่งตนเน้นย้ำมาโดยตลอดในเรื่องนี้ เพราะรัฐบาลเป็นผู้รักษากฎหมายๆเขียนอย่างไร รัฐบาลต้องอธิบายและดูแลบังคับใช้ให้เกิดความเป็นธรรม ซึ่งการที่กลุ่มนิติราษฎร์ ยังมีการเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ก็เป็นสิทธิที่จะเคลื่อนไหวแต่รัฐบาลต้องชี้ข้อเท็จจริง "เมีย-ลูก"รับศพรดน้ำศพหน้าศาลอาญา นางรสมาลิน ตั้งนพคุณ หรือ ป้าอุ๊ พร้อมด้วยลูกและญาติ รวมถึงคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งเดินทางมารับศพ นายอำพล ตั้งนพคุณ หรือ"องกง" อายุ 61 ปีผู้ต้องขังคดีหมิ่นเบื้องสูง ซึ่งถูกศาลอาญาฯ พิพากษาจำคุก 20 ปี จากการส่งข้อความสั้น ผิดมาตรา 112 หรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งเสียชีวิต เมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมาด้วยอาการปวดท้องอย่างรุนแรงและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ นางรสมาลิน กล่าวว่า เดินทางมารับศพสามีเพื่อนำไปบำเพ็ญกุศลที่วัดด่านสำโรง จ.สมุทรปราการ เนื่องจากสามีได้สั่งเสียไว้ก่อนเสียชีวิตว่าให้นำศพมาบำเพ็ญกุศลที่วัดนี้ เนื่องจากเป็นห่วงลูกหลาน และยังไม่ได้กำหนดวันฌาปนกิจศพ ส่วนถามว่าโกรธแค้นอะไรหรือไม่ โกรธที่โชคชะตาทำให้เป็นแบบนี้ แต่โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่าเป็นอุทาหรณ์ที่ดีที่จะนำศพไปรดน้ำศพที่ศาลอาญา เพื่อให้เห็นความสำคัญของการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่าสมควรปล่อยนักโทษที่เจ็บป่วยหนักให้ออกมารักษาตัวนอกเรือนจำ “หลังจากนี้ เมื่อทราบผลชันสูตรเสร็จเรียบร้อยจะนำศพออกจากสถาบันนิติเวชพร้อมกับกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งนำโดย รศ.ดร.สุดา รังกุพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะวิชาอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิชาการเคลื่อนไหวให้แก้กฎหมายอาญามาตรา 112 เพื่อแห่ศพจากสถาบันนิติเวชตำรวจ เพื่อไปทำพิธีรดน้ำศพที่หน้าศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษกต่อไป” นางรสมาลิน กล่าว สำหรับการชันสูตรศพนายอำพล พ.ต.อ.พรชัย สุธีรคุณ รรท.ผบก.นต. ได้มีคำสั่งการตั้งคณะกรรมการชันสูตรพลิกศพประกอบด้วย พล.ต.ต.นพ.ณรงศักดิ์ เสาวคนธ์ รองนายแพทย์ใหญ่(สบ 7) เป็นที่ปรึกษา พ.ต.อ.ภวัต ประทีปวิศรุต นายแพทย์(สบ 5) พ.ต.อ.สุพิไชย ลิ่มศิวะวงศ์ นายแพทย์(สบ 4)และพ.ต.ต.เอกสิทธิ์ หงส์แก้ว นายแพทย์(สบ 2) เป็นกรรมการและผู้ผ่าชันสูตร โดยมี นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย นพ.พงษ์ศักดิ์ ภูสิทธิ์สกุล และนพ.กิติภูมิ จุฑาสมิต ผู้ร่วมสังเกตการณ์การชันสูตรศพ ทั้งนี้ พ.ต.อ.สุพล จงพาณิชย์กุลธร นพ.(สบ5) ในฐานะโฆษก รพ.ตำรวจ เปิดเผยผลการชันสูตรศพว่า ผู้เสียชีวิตเป็นมะเร็งที่ตับ และกระจายไปทั่วร่างกาย ทำให้มีภาวะการหายใจที่ล้มเหลว อย่างไรก็ตาม หลังการผ่าชันสูตรศพ ต้องรอผลการตรวจชิ้นเนื้อประกอบด้วย นพ.เชิดชัย กล่าวภายหลังการชันสูตรศพ ว่า จากการตรวจสอบตามร่างกายไม่พบบาดแผลหรือร่องรอยการถูกทำร้าย ขณะที่การผ่าชันสูตรศพภายในช่องท้องพบเนื้องอกบริเวณตับ ซึ่งได้ลุกลามยังลำไส้และปอดด้านขวา มีน้ำในช่องท้องจำนวนมาก มีอาการสมองตายเล็กน้อย ซึ่งอาจพอสรุปสาเหตุการเสียชีวิตของนายอำพลได้ว่าน่าจะมาจากมะเร็งระยะสุดท้าย แต่จะเป็นสาเหคุให้เสียชีวิตในทันทีคงไม่สมารถบอกได้ อย่างไรก็ตามการสรุปสาเหตุการเสียชีวิตอย่างเป็นทางการต้องรอแพทย์นิติเวชเป็นผู้สรุป ทั้งนี้ ได้มีการส่งตัวอย่างชิ้นเนื้อ เลือด อาหารในกระเพาะอาหาร น้ำในช่องท้อง และปัสสาวะ ไปตรวจทางพิษวิทยาว่ามีสารพิษซึ่งคาดว่าจะรู้ผลภายใน 1 สัปดาห์ นพ.เชิดชัย กล่าวต่อไปว่า ตนตั้งข้อสังเกตว่าอาการป่วยของนายอำพลน่าจะเป็นมาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน แพทย์ของรพ.ราชทัณฑ์ น่าจะมีการตรวจรักษา ไม่น่าจะปล่อยให้เป็นเรื้อรังจนลุกลาม ซึ่งเป็นเรื่องของมนุษยธรรม เพราะนักโทษก็เป็นมนุษย์ควรได้รับการดูแลที่ดีกว่านี้ กรณีของนายอำพล เป็นตนมองว่าเป็นความบกพร่องในระบบการทำงาน ซึ่งแพทย์ต้องรักษาตามหลักวิชาการ หากเห็นว่ารักษาไม่ได้ หรือต้องใช้เครื่องมือตรวจพิเศษต้องส่งตัวผู้ป่วยไปรักษาภายนอก ส่วนประเด็นที่ว่ากลัวผู้ต้องขังจะหลบหนีเรื่องนี้สามารถควบคุมได้ ซึ่งเรื่องนี้ตนจะยื่นกระทู้ถาม รมว.กระทรวงยุติธรรม เพื่อให้มีการปรับปรุงต่อไป “เราต้องแยกกันให้ออกระหว่างมนุษยธรรมกับเรื่องคดี หากผู้ต้องขังถูกตรวจพบว่าป่วยเป็นมะเร็งก็ควรได้รับการประกันตัวเพื่อมารักษาภายนอก นอกจากนี้กรณีของนายอำพลเท่าที่ดูไม่พบร่องรอยการดำเนินการใดๆ ของแพทย์ที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการกู้ชีพ หรือช่วยเหลือ เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นปัญหาในหลายๆอย่าง โดยเฉพาะการดูแลผู้ต้องขังที่จะต้องปรับปรุง” ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 13.00 น.ได้มีการเคลื่อนศพนายอำพล ออกจากสถาบันนิติเวชวิทยา เพื่อไปทำพิธีรดน้ำศพ และสวดพระอภิธรรมศพที่หน้าศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เป็นเวลา 1 คืน จากนั้นจะเคลื่อนศพไปตั้งบำเพ็ญกุศลต่อที่วัดด่านสำโรง อ.สำโรงเหนือ จ.สมุทรปราการ "อธิบดีศาลอาญา"เตือนกลุ่มชุมนุมอากงอยู่ในความสงบ วันเดียวกัน นายทวี ประจวบลาภ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา กล่าวชี้แจงคดีหมิ่นเบื้องสูงที่ขณะนี้ ญาติของนายอำพล ตั้งนพคุณ หรืออากง จำเลยที่ถูกศาลพิพากษาจำคุก 20 ปีเสียชีวิตในเรือนจำได้มารวมตัวเคลื่อนไหวที่หน้าศาลอาญาตั้งแต่เมื่อวานที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ว่า คดีนี้ศาลอาญา มีคำพิพากษาไปแล้ว และจำเลยได้ยื่นประกันตัวชั้นศาลอุทธรณ์ ศาลอาญาส่งคำร้องขอประกันตัวให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาสั่ง แต่ระหว่างการพิจารณาชั้นอุทธรณ์ดังกล่าว จำเลยยื่นขอประกันตัวต่อศาลฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัววันที่ 15 มี.ค.55 ซึ่งจำเลยคงคิดว่าไม่มีโอกาสได้ประกันตัวอีกแล้ว จำเลยจึงได้ขอถอนอุทธรณ์คดีไปเมื่อวันที่ 3 เม.ย.55 เพื่อจะใช้สิทธิ์ยื่นถวายฎีกาเพราะการถวายฎีกาจะยื่นได้ต่อเมื่อคดีต้องถึงที่สุด ซึ่งศาลอาญาได้ออกหมายคดีถึงที่สุดให้เมื่อวันที่ 4 เม.ย.55 และเมื่อคดีถึงที่สุดก็ไม่อาจยื่นประกันตัวอีกได้เนื่องจากคดีไม่ได้ค้างพิจารณาอยู่ในศาลยุติธรรม ดังนั้นตัวนายอำพลจึงถือว่าอยู่ในการควบคุมของราชทัณฑ์ ซึ่งมีการรักษาพยาบาลของเขาอยู่แล้ว หากจะนำตัวมารักษาข้างนอกก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้ควบคุม แต่เมื่อนายอำพลเสียชีวิตไม่ว่าด้วยสาเหตุใด ก็ถือว่าตายในระหว่างการควบคุมของเจ้าพนักงาน ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา150-156 กำหนดให้อัยการยื่นคำร้องไต่สวนชันสูตรพลิกศพได้ เพื่อหาสาเหตุการตาย ซึ่งหากมีการยื่นคำร้องก็ต้องเข้าสู่กระบวนการไต่สวนต่อไป นายทวี กล่าวถึงการรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณศาลด้วยว่า ได้ประสานงานกับกองบัญชาการตำรวจนครบาลแล้ว โดยตำรวจแจ้งว่าไม่สามารถห้ามการชุมนุมหน้าศาลได้ แต่จะจัดกำลังมารักษาความปลอดภัยให้ ซึ่งตนขอให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย เพราะศาลเป็นสถานที่ราชการ และขออย่าให้นำศพมาในศาล ซึ่งวันพรุ่งนี้ศาลก็จะเปิดทำการปกติหากจะมีอะไรยืดเยื้อก็อาจเกิดความไม่สงบหรืออาจทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปได้ โดยขณะนี้ตนพยายามให้ผู้เกี่ยวข้องประสานถึงนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานนปช.เพื่อช่วยประสานงานในเรื่องนี้แล้วแต่ยังไม่อาจติดต่อได้ อย่างไรก็ดีขอให้ระวังอย่าให้เกิดความไม่เรียบร้อยไม่งดงามบริเวณศาล ซึ่งการกระทำอาจส่งผลกระทบในวงกว้างต่อรัฐบาลด้วย
อ่านต่อ...เอเอฟพี/เอเจนซี - น้ำป่าไหลหลากเข้าถล่มงานแต่งและหมู่บ้านอีก 3 แห่งทางเหนือของอัฟกานิสถาน คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 26 ศพและสูญหายอีกนับร้อย เจ้าหน้าที่เผยเมื่อวันจันทร์(7) ขณะที่เนปาล ก็เจออุทกภัยเล่นงานเช่นกันและมีผู้เสียชีวิตอย่างต่ำ 20 ราย ฟัซลุลเลาะห์ ซาดัต ประธานศูนย์รับมือภัยพิบัติของจังหวัดซารีโปล เผยว่าผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก หลังจากน้ำป่าที่เกิดจากภาวะฝนตกหนักหลากเข้าถล่มพื้นที่ต่างๆของเขตเดห์ มาร์ดาน "เราพบร่างผู้เสียชีวิต 26 ศพ ส่วนใหญ่เป็นสตรีและเด็ก และอีกกว่า 100 คนยังสูญหาย" พิธีวิวาห์ในชนบทอัฟกานิสถาน มักจัดกันอย่างใหญ่โตและถือเป็นวาระโอกาสที่น่าปิติยินดี ทว่ามีงานแต่งหนึ่งถูกอุทกภัยเข้าเล่นงานและในจำนวนผู้เสียชีวิตข้างต้นนั้น มีถึง 21 รายที่เป็นแขกของงานสมรสนี้ "มันเป็นโศกนาฏกรรม เราต้องสูญเสียชีวิตผู้คนได้มากมาย" ซาดัตกล่าว ซาดัตเผยต่อว่าทีมช่วยเหลือถูกส่งเข้าไปยังพื้นที่เพื่อค้นหาผู้สูญหาย ขณะที่น้ำป่ายังไหลหลากซัดเหล่าปศุสัตว์ลอยไปตามกระแสน้ำและทำให้พื้นที่เกษตรกรรมจมอยู่ใต้บาดาล เขาเล่าต่อว่ากระทรวงกลาโหมส่งเฮลิคอปเตอร์ 2 ลำบินไปยังพื้นที่ และทีมจัดการหายะภัยในความอนุเคราะห์ขององค์การอาหารโลกแห่งสหประชาชาติ เดินทางไปถึงจุดเกิดเหตุแล้วและกำลังดำเนินการแจกจ่ายอาหาร ผ่าห่มและเตนท์ ในปีนี้ อัฟกานิสถานต้องเจอฤดูหนาวอันหนาวอันหนาวเหน็บที่สุดในรอบ 15 ปี จนทำให้เกิดหิมะตกหนักผิดปกติ และผู้เชี่ยวชาญสันนิษฐานว่าหิมะละลายน่าจะเป็นต้นตอของภาวะอุทกภัยในแถบเชิงเขาทางเหนือของประเทศ ยามเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ อีกด้านหนึ่งในวันจันทร์(7) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่าเกิดเหตุน้ำท่วมฉับพลันในเนปาล คร่าชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 20 ศพและอีกหลายสิบคนยังสูญหาย รายงานข่าวระบุว่าน้ำไหลเชี่ยวซัดบ้านหลายหลัง รถยนต์หลายคันและสะพานแห่งหนึ่งใกล้เมืองโภขะรา ห่างจากเมืองกาฐมาณฑุ ไปทางตะวันตกราว 215 กิโลเมตร ลอยไปตามกระแสน้ำ ทั้งนี้ตำรวจเผยด้วยว่ามีนักท่องเที่ยว 44 คน ในนั้นมีชาวยูเครน 3 คน ยังคงสูญหาย หลังจากเกิดอุทกภัยในพื้นที่แถบนี้ตั้งแต่วันเสาร์(5)
อ่านต่อ...ยิ่งลักษณ์ล้อมคอกโรงงานเคมี สั่ง รมต.อุตสาหกรรมลงพื้นที่ประเมินความเสี่ยงนิคมมาบตาพุด หลังพบสารเคมีอันตรายถูกนำมาใช้มาก กำชับตรวจสอบทุกไตรมาส ขู่หากหละหลวมอาจทบทวนต่อใบอนุญาต "มาร์ค” แนะกำหนดแผนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวเมื่อวันจันทร์ถึงกรณีตรวจสอบพบว่ามีสารคลอรีนรั่ว ไหลอีกหนึ่งโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ว่าต้องมีการระมัดระวัง ได้มีการสั่งการไปที่กระทรวงอุตสาหกรรม และวันนี้ได้มีการลงพื้นที่ เพราะสิ่งแรกที่ต้องทำคือการประเมินความเสี่ยง เพราะมีสารเคมีหลายตัวถูกนำไปในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งต้องดูว่ามีกี่ประเภทที่เป็นสารวัตถุไวไฟ ทำให้เกิดอากาศเป็นพิษ และต้องนำมาทบทวนใหม่ทุกโรงงาน "อยากให้มีการตรวจวัดในทุกๆ ไตรมาส เพราะจะมีผลต่อการต่อใบอนุญาตด้วย ส่วนมาตรการต่างๆ ได้สั่งให้กระทรวงอุตสาหกรรมเข้าไปดูในส่วนของนิคมอุตสาหกรรมมากขึ้น และที่สำคัญ การมีส่วนร่วมกับประชาชนในท้องถิ่นถือเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อรับฟังข้อคิดเห็นและข้อมูลต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ จากเหตุการณ์ได้สั่งให้กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงมหาดไทยในการบูรณการและเข้าช่วยเหลือประชาชน” ผู้สื่อข่าวถามว่า มาตรการรักษาความปลอดภัยถือว่าอยู่ในระดับสากลหรือไม่ นายกฯ ตอบว่าส่วนใหญ่อยู่ในระดับสากล แต่ก็ต้องมีการทบทวนให้เข้มงวดขึ้นในบางส่วน มาตรการที่มีอยู่เพียงพอหรือไม่ และบางส่วนก็เป็นเรื่องของบุคคล ที่เราต้องเข้าไปดูว่าครบตามขั้นตอนหรือไม่ ซึ่งจะต้องมีการอบรมเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องเข้าไปซ่อมบำรุงต้องได้มาตรฐานตามที่กำหนด การดูแลโรงงานอุตสาหกรรมเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ ซึ่งอยากให้มีการตรวจสอบและซ้อมรับมือในทุกไตรมาส โดยสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูข้อมูลและรายละเอียดให้แน่นอนก่อน นายวิจารย์ สิมาฉายา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า ทางกรมควบคุมมลพิษจะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบภายในบริเวณโรงงานกรุงเทพ ซินธิติกส์ (BST) ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้ระหว่างการขนถ่ายสารโทลูอีน รวมถึงบริเวณโดยรอบดังกล่าว เพื่อให้แน่ใจและสร้างความเชื่อมั่นกับประชาชน ว่าไม่มีสารเคมีปนเปื้อนในดินและน้ำบริเวณชุมชนโดยรอบ ทั้งนี้ ล่าสุดพบสารโทลูอีนตกค้างอยู่ในสิ่งแวดล้อมเพียง 0.1-0.4 พีพีเอ็ม ถือว่าไม่เป็นอันตรายหรือส่งผลกระทบต่อระบบหายใจ ซึ่งปริมาณที่จะสร้างความระคายเคืองคือ 50 พีพีเอ็มขึ้นไป ขณะที่กรณีก๊าซคลอรีนรั่วไหลจากโรงงานบริษัท อดิตยา เบอร์ล่า เคมีคัลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเหมราชตะวันออก หรือมาบตาพุด ห่างจากโรงงานบีเอสทีที่เกิดเหตุระเบิดนั้น นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรม (กนอ.) กล่าวว่า ขณะนี้เหตุการณ์ได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว สามารถควบคุมในส่วนของพื้นที่ได้ 100% ขั้นตอนต่อไปคือ เตรียมเข้าไปตรวจสอบพิสูจน์หลักฐานทางคดีความของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อหาสาเหตุ และวันนี้จะมีทีมพิสูจน์หลักฐานจากกรุงเทพฯ ลงพื้นที่ช่วยตรวจสอบร่วมกับจังหวัดระยอง ด้านนางสาวเพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวว่า มาบตาพุดเป็นพื้นที่ที่มีการใช้ ผลิต และเก็บสารเคมีอันตรายมากที่สุดในประเทศไทย หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดอุบัติภัยสารเคมี จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ระบบการแจ้งเตือนภัย การอพยพ และการจัดการกับอุบัติภัยจะต้องทำงานได้ สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ หากอุบัติเหตุไม่ได้เกิดขึ้นที่ถังเก็บสารโทลูอีน แต่เป็นสารเคมีชนิดอื่น จะร้ายแรงกว่านี้ เพราะโรงงานปิโตรเคมีทุกโรงในมาบตาพุด มีการใช้และผลิตสารเคมีอันตรายอีกจำนวนมากที่มีอันตรายร้ายแรงกว่าสารโทลูอีน และหากไม่ได้เกิดในระหว่างที่โรงงานดังกล่าวปิดทำการในวันหยุด โศกนาฏกรรมครั้งนี้ก็อาจรุนแรงและส่งผลเสียหายยิ่งกว่านี้ การป้องกันและเตรียมรับมือจึงมีความจำเป็น น.ส.เพ็ญโฉมกล่าวว่า ในแง่การเยียวยาผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ส่วนใหญ่เป็นคนงานทั้งของบริษัท BST และบริษัทรับเหมาเฉพาะทาง และเนื่องจากสารที่ได้รับสัมผัสจำนวนมากซึ่งยังระบุไม่ได้ อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว จำเป็นต้องมีมาตรการติดตามเฝ้าระวังสุขภาพระยะยาวของคนงานผู้ได้รับผลกระทบด้วย ซึ่งทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชนจะต้องเร่งสร้างมาตรการเหล่านี้ ที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังรับฟังรายงานและตรวจเยี่ยมผู้ได้รับความเสียหายว่า จากการรับฟังรายงาน เหตุการณ์ยังไม่ได้ข้อยุติชัดเจนในเรื่องสาเหตุ แต่สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการคือ แผนการที่ต้องเตรียมพร้อม โดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพราะต้องยอมรับว่าขณะนี้มีการลงทุนในตัวระบบหลายเรื่อง แต่ในแง่การสื่อสารข้อมูลสำหรับการปฏิบัติจริงไม่สามารถทำได้อย่างที่ตั้งใจไว้ ดังนั้นต้องมีการต่อยอดให้สมบูรณ์ รวมถึงมีการซักซ้อมและวางระบบสำรองกับเจ้าของโรงงาน และภาคเอกชนในกรณีหากเกิดปัญหา เมื่อถามว่า เป็นไปได้อย่างไรที่การนิคมฯ ไม่มีข้อมูลเป็นของตัวเองเลย ต้องรอให้โรงงานรายงานมา นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนเสนอไปแล้วว่าควรให้มีการสื่อสารกับสาธารณสุข ต้องมีการปรับและทำแผน อย่างไรก็ตามเท่าที่ฟังการรายงาน ในส่วนของนิคมเองนั้นมีปัญหาในเรื่องข้อมูลปัจจุบัน เพราะข้อมูลมีเพียงในระดับหนึ่งตามรอบเวลาเท่านั้น ไม่ได้ทันสถานการณ์ ต้องปรับปรุง โดยทำให้ใกล้ชิดชุมชนให้มากขึ้นเพื่อความสมบูรณ์ ถามว่า เหตุการณ์ลักษณะนี้ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดเกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่มีบทเรียนและแนวทางที่ชัดเจน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ขณะนี้ที่ตัวระบบมีการพัฒนาไปในแง่ของการมีสถานีตรวจวัดอากาศ มีแนวป้องกันระดับหนึ่ง มีข้อมูล การจัดงบประมาณที่เรียบร้อย แต่เมื่อเกิดเหตุจริงกลับไม่สามารถปฏิบัติได้ ขณะเดียวกันบริการด้านสาธารณสุข ตั้งแต่เรื่องสุขภาพ งบเคลื่อนที่ โรงพยาบาลก็ไม่เรียบร้อย ทั้งอุปกรณ์ความพร้อมที่จะรับมือหากเกิดเหตุ จึงต้องปรับเรื่องแผนให้ชุมชนซักซ้อมและเข้มงวดมากขึ้น รวมไปถึงการสร้างมาตรฐาน การระบุโทษผู้ที่ฝ่าฝืนด้วย.
อ่านต่อ...© Blogger templates The Professional Template by Ourblogtemplates.com 2008
Back to TOP