วันพุธ, ธันวาคม 16, 2552

เทียบโมเดล"นครปัตตานี" แน่หรือคือ ยุทธวิธีดับไฟใต้?


"ปัญหาภาคใต้" หวนกลับมาเป็นวาระร้อนระดับประเทศอีกรอบในห้วงเดือนส่งท้ายปี เมื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ควงแขน นายนาจิบ ราซัก ผู้นำมาเลเซีย เดินทางลงพื้นที่ครั้งประวัติศาสตร์ เพื่อปฏิบัติภารกิจร่วมกันในลักษณะ "สานสัมพันธ์" และ "มิตรภาพ" ระหว่างสองประเทศ
แต่ข่าวคราวที่ปรากฏตามหน้าสื่อทั้งในและต่างประเทศ กลับกลายเป็นปฏิบัติการของกลุ่มก่อความไม่สงบ เพราะมีการก่อวินาศกรรมอย่างน้อย 8 จุดในตอนกลางวันของวันที่ 9 ธ.ค. และอีก 1 จุดในช่วงค่ำ มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 5 คน บาดเจ็บอีกหลายสิบ


ความรุนแรงที่ถูกจุดขึ้นในห้วงเวลาที่มีบุคคลสำคัญเดินทางลงพื้นที่ จะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่คราวนี้ควันปืนและเสียงระเบิดจะไม่จางหายไปเฉยๆ เหมือนทุกครั้ง เพราะปฏิบัติการความรุนแรงเกิดขึ้นในห้วงที่มีกระแสตอบรับเรื่อง "นครปัตตานี" อย่างอุ่นหนาฝาคั่งในพื้นที่ ทำให้ประเด็นเกี่ยวกับ "นครปัตตานี" เพิ่มน้ำหนักขึ้นในทิศทางที่ว่าอาจจะเป็น "ทางออก" ของปัญหาในแบบ "การเมืองนำการทหาร" อย่างแท้จริงหรือไม่
และนั่นจึงเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ "ปัญหาภาคใต้" ไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันเฉพาะแง่มุมความรุนแรง…
”นครปัตตานี" ของ “บิ๊กจิ๋ว”
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้ที่จุดกระแส "นครปัตตานี" ให้เป็นที่ฮือฮาอยู่ในขณะนี้คือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานพรรคเพื่อไทย
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีข้อเสนอในมิติของการจัดรูปการปกครองใหม่ และ/หรือจัดโครงสร้างอำนาจใหม่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อยุติความรุนแรง และสร้างสันติสุขอย่างยั่งยืน
เพราะแม้กระทั่งตัว พล.อ.ชวลิต เอง ก็ไม่ได้พูดวลีนี้เป็นครั้งแรก แต่เขาเคยพูดมาก่อนแล้วเมื่อเดือน ส.ค.ปี 2550 ช่วงปลายของรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ท่ามกลางกระแสข่าวการก้าวเข้ามาเป็น "โซ่ข้อกลาง" เพื่อผ่าทางตันวิกฤตการณ์การเมืองภายหลังการรัฐประหารเที่ยวล่าสุดของประเทศไทย
อย่างไรก็ดี จากการสื่อสารต่อสาธารณะหลายต่อหลายครั้ง นับตั้งแต่ปี 2550 จนถึงปัจจุบัน พล.อ.ชวลิต ก็ไม่ได้อธิบายอะไรมากไปกว่าการยกตัวอย่างให้เห็นว่า แนวคิด “นครปัตตานี” เป็นรูปแบบการปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบหนึ่ง มีลักษณะคล้ายนครเชียงใหม่ หรือกรุงเทพมหานคร (กทม.) โดยจะมีการออกกฎหมายให้ประชาชนสามารถดูแลตัวเองอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี สอดคล้องกับวิถีชีวิตและความเชื่อทางศาสนา แต่ยังอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและกฎหมายไทย

อ่านต่อ...

วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 26, 2552

SALAM AIDIL-ADHA

“Assalamu a’laikum WarahmatULLAHiwabarakatuh”


Dalam sempena Hari Raya Korban ini, Kami PATANI POST ingin menguncapkan selamat bergembira kepada semua rakyat Melayu Patani dan Seluruh Umat Islam SeDunia,

Semoga berbahagia dengan keluarga tercinta hendaknya… Berdoalah agar Zulhijjah ini memberi lebih kekuatan buat perjuangan Rakyat Melayu Patani

Di keheningan fajar Zulhijjah ini, bersaksilah sekali lagi wahai para pejuang dan persucikan bahawa tiada Tuhan yang disembah selain ALLAH, Nabi Muhammad itu RasulULLAH.

Moga madrasah perperangan memperkukuh dan menyuci cita-cita kita meninggikan kalimahNYA walau apa menahan digodaan dunia yang menguji.



Kata Al-Ghazali :

yang jauh itu WAKTU,
yang dekat itu MATI,
yang besar itu NAFSU,
yang berat itu AMANAH,
yang mudah itu BERBUAT DOSA,
yang panjang itu AMAL SOLEH,
yang indah itu SALING MEMAAFKAN.



“SELAMAT HARI RAYA AIDIL-ADHA, Maaf Zahir dan Batin”
Ikhlas dari PATANI POST.


อ่านต่อ...

วันจันทร์, พฤศจิกายน 23, 2552

ทำไมตำรวจไม่ “ปกป้อง” ประชาขน



เมื่อไม่นานมานี้ได้เกิดเหตุยิงถล่มกำนันที่ร้านน้ำชาแห่งหนึ่งบริเวณสถานีขนส่งประจำอำเภอที่อยู่ห่างจากสถานีเพียงแค่ 50 เมตร ในเวลาประมาณ 08.00 น.
ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารดูแลความปลอดภัยให้ครูและนักเรียนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับจุดที่ยิง ทันทีที่ได้ยิงเสียงปืน ตำรวจไม่ออกมาจากป้อมเลยทั้งที่ปรกติจะมีรถตำรวจจอดอยู่บริเวณถนนหลายคันและมีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำอยู่หลายคน ประชาชนต้องช่วยกันนำคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาลเอง ตำรวจจะมาถึงที่เกิดเหตุเพื่อตรวจหลักฐานเท่านั้น
การที่ตำรวจจะออกมาได้ก็ด้วยสโลแกนที่ว่า “ถ้าเราเห็นว่ายังไม่ปลอดภัยก็จะไม่ออกมา” นี่เป็นคำตอบที่ว่าทำไมเหตุการณ์ความไม่สงบยังคงเกิดขึ้นถึงแม้ว่าจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร อยู่ในพื้นที่อย่างมากมาย


ความรู้สึกของประชาชนในพื้นที่ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเต็มไปด้วยคำถามที่ว่า “ทำไมไม่ช่วยเขา” ก็แค่ยิงขึ้นฟ้าหรือวิ่งออกมาหลายคนคงจะทำไห้คนร้ายตกใจหรือหนีไป หรือหากไม่กล้าจริง ๆ ก็น่าจะให้วิทยุสื่อสารเรียกกำลังเสริม อาจจะทำไห้เขาไม่ต้องตายก็ได้ หรืออาจจะมีคนเจ็บน้อยกว่านี้ นี่เขาเห็นชีวิตประชาชนไม่มีค่าหรืออย่างไร ไม่มีลูก ไม่มีภรรยา ไม่มี พ่อแม่ที่ต้องดูแลหรืออย่างไร ขนาดกำนันเป็นคนรัฐแท้ ๆ เขายังไม่ปกป้องเลย นับประสาอะไรกับชาวบ้านตาสีตาสา ถ้าจะถามว่าพวกเขากลัวระเบิดลวงแล้วชาวบ้านที่นำคนเจ็บส่งโรงพยาบาลหรือคนที่อยู่บริเวณนั้นไม่กลัวหรือไง?
และยังมีความจริงที่น่าหดหู่อีกอย่างก็คือในเวลา 10.00 น.ของทุกวัน เขาจะตั้งด่านตรวจจราจร ??? ในบริเวณนั้นทุกวัน แต่ก่อนเวลา 10.00 น. เช่นนี้คงยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าหน้าที่ออกมาปกป้องชีวิตของประชาชนตรงหน้าเขาได้ มีหรือไม่มีก็มีค่าเท่ากัน
งบประมาณกว่าแสนล้านที่มาจากภาษีประชาชนที่ลงมาแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ4 อำเภอในจังหวัดสงขลา จึงไม่ช่วยแก้ไขสถานการณ์ได้เลย ไม่มีความหมายต่อประชาชนได้เลย กำลังพลมากมายก็แก้ไขไม่ได้ เพราะคนไม่มีความจริงใจ ไม่มีศักยภาพ ไร้ความสามารถ ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐทุกฝ่ายไม่ว่า ตำรวจ ทหาร ปกครอง เกษตร และอื้น ๆ ได้ทำหน้าที่ของตัวอย่างเต็มที่ ก็คงให้ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน การทำมาหากินของประชาชนในพื้นที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน คงไม่เจอภาวะถดถอยเช่นนี้แน่ แล้วจะเป็นอย่างไรอีกกี่ปี???
สาเหตุของการเกิดปัญหาของความไม่สงบในภาคใต้มาจากหลากหลายสาเหตุ อาทิ ปัญหายาเสพติด ปัญหาความไม่ยุติธรรมต่าง ๆ ปัญหาอิทธิพล ปัญหาการเมืองท้องถิ่น ปัญหางบประมาณ ปัญหาที่ดินทำกิน ปัญหาความขัดแย้งส่วนตัว และปัญหากลุ่มแบ่งแยกดินแดน เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาโดยการทุ่มสรรพกำลังลงมา หรืองบประมาณ หากไม่แก้ปัญหาไห้ตรงจุด
เพราะการแก้ปัญหาแค่ปัญหาแค่หนึ่งปัญหาด้วยงบประมาณและกำลังพลขนาดนี้ถือได้ว่า รัฐบาลขาดทุนในแง่การลงทุนอย่างสิ้นเชิง

อ่านต่อ...

วันศุกร์, พฤศจิกายน 20, 2552

ปัตตานีเพลส...“เอ็ดดูเคชั่น คอมเพล็กซ์” ที่ชายแดนใต้


สถานการณ์แบบนี้...ใครบอกว่าจะมาลงทุนทำธุรกิจในจังหวัดชายแดนภาคใต้ คนฟังต้องคิดในใจว่า “โม้แน่ๆ”
แต่เรื่องที่ไม่มีใครอยากเชื่อ กำลังจะกลายเป็นความจริงแล้ว เมื่อบริษัท ดี อาร์ เอส ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (DRS DEVELOPMENT CO., LTD) ได้ตัดสินใจระดมทุนร่วม 500 ล้านบาท ทำโครงการ “ปัตตานีเพลส”
โครงการชื่อเก๋ๆ ที่ว่านี้ คือการก่อสร้างศูนย์การค้าและศูนย์กลางการศึกษาขนาดใหญ่ใจกลางเมืองปัตตานี ศูนย์การค้านั้นพอจะนึกภาพออก แต่ศูนย์กลางทางการศึกษาคงต้องอธิบายกันหน่อยว่าไม่ใช่การเปิดมหาวิทยาลัยหรือโรงเรียนในระบบการศึกษาปกติ แต่เป็นการสร้างสถานที่สำหรับเปิดติวและฝึกอบรมเพื่อพัฒนาการศึกษา ทั้งหมดอยู่ในอาคารศูนย์การศึกษานานาชาติซึ่งเป็นหัวใจของโครงการนี้

โครงการดังกล่าว เพิ่งมีการจัดเสวนาและนำเสนอโครงการของผู้เกี่ยวข้องฝ่ายต่างๆ ไปเมื่อปลาย ต.ค.ที่ผ่านมานี้เอง ที่ห้องประชุมเช็คอะหมัด-อัลฟาฏอนียฺ วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (ม.อ.ปัตตานี) โดยมีแผนจะตอกเสาเข็มเริ่มโครงการในต้นปีหน้า และเปิดอย่างอลังการได้ช่วงสิ้นปี
โครงการนี้จะตั้งอยู่บนที่ดินผืนใหญ่ขนาด 10 ไร่ ริมถนนเจริญประดิษฐ์ ต.รูสะมิแล อ.เมือง จ.ปัตตานี ห่างจาก ม.อ.ปัตตานี เพียงแค่ 200 เมตร ในโครงการจะประกอบด้วย IEC หรือ International Education Center เป็นอาคารสูง 5 ชั้นสำหรับบริการด้านการศึกษานานาชาติแห่งใหม่ในภาคใต้ ประกอบด้วย สถาบันทดสอบทางภาษา เช่น TOEFL, IELT และศูนย์ของมหาวิทยาลัยจากต่างประเทศ
นอกจากนั้นยังมีโรงแรมระดับ 4 ดาวชื่อ Pattani Hotel (ปัตตานี โฮเต็ล) ขนาด 60 ห้อง พร้อมห้องสัมมนาขนาดใหญ่ มี Condotel หรือคอนโดมีเนียมจำนวน 4 อาคาร เพื่อบริการที่พักสำหรับนักศึกษาและบุคคลทั่วไป ทั้งยังมีโฮมออฟฟิศอีก 13 ยูนิตสำหรับเป็นสถานที่ให้บริการของสถาบันกวดวิชา ร้านค้าอุปกรณ์ทางการศึกษา (Stationary ) และอื่นๆ พร้อมด้วย Hall Outdoor หรือลานกลางแจ้งสำหรับจัดกิจกรรมทางการศึกษา นิทรรศการ และงานแสดงสินค้าอีกด้วย

โครงการใหญ่บนถนนสาย ม.อ.
ทวีศักดิ์ มหามะ บอร์ดบริหารโครงการปัตตานีเพลส บอกว่า เขามักมองวิกฤติให้เป็นโอกาส และนั่นคือการตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการลงทุนครั้งใหญ่ที่ปัตตานี
“ผมเป็นนักธุรกิจ วันนี้พี่น้องในพื้นที่สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบและความรุนแรงในมุมมองของสื่อที่ได้เสนอออกไป ทำให้พื้นที่ตรงนี้ดูไม่น่าลงทุน เพราะมันน่ากลัว แต่ผมอยากขอเชิญชวนพี่น้องที่อยู่ในจังหวัดอื่นๆ ของประเทศไทยให้มาเยี่ยมปัตตานี ถ้าถามว่าวันนี้ปัตตานีเป็นอย่างไร คำตอบคือเท่าที่ผมได้มาสัมผัส มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เป็นข่าว”
ทวีศักดิ์ บอกว่า ก่อนจะตัดสินใจลงทุน ได้ทำการศึกษาวิจัยเป็นอย่างดีแล้ว เพราะทราบดีถึงปัญหาในพื้นที่แห่งนี้

“ก่อนจะทำโครงการเรามีการวิเคราะห์และวิจัยโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญทางด้านอสังหาริมทรัพย์ แน่นอนว่าการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สิ่งแรกที่สำคัญที่สุดคือเราต้องดูทำเลที่ตั้ง ซึ่งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นมีศักยภาพ แต่สิ่งที่ทำให้เด็กขาดศักยภาพคือโอกาส ขาดโอกาสที่จะเติมเต็ม เราก็หวังที่จะเพิ่มพูนความรู้ให้กับเด็กๆ ในพื้นที่ เพื่อพัฒนาสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการต่อไป”
“บนถนนเจริญประดิษฐ์ หรือถนนสาย ม.อ.นั้น สามทุ่มยังมีคนพลุกพล่าน ตรงนี้เองที่เรามองว่าดีมานด์สูง (หมายถึงความต้องการซื้อ) แต่ตัวซัพพลาย (ผู้ขายหรือผู้ให้บริการ) กลับยังไม่มี เราไม่ใช่คู่แข่งขององค์กรอื่นๆ ในภาคธุรกิจ แต่เราพยายามเติมเต็มในส่วนที่ขาดมากกว่า”
“ในปัตตานีเพลสจะมี ไออีซี หรือศูนย์การศึกษาในระดับนานาชาติ ซึ่งต่อไปนี้เด็กในพื้นที่สามจังหวัด หากต้องการศึกษาต่อ ก็ไม่ต้องเดินทางไปกรุงเทพฯแล้ว เพราะที่นี่จะเปิดเป็นสถานที่ทดสอบภาษาอังกฤษ และมีติวเตอร์เพื่อต่อยอดเรื่องการศึกษาในต่างประเทศด้วย”
สิ่งที่ ทวีศักดิ์ อธิบายว่าโครงการปัตตานีเพลสเน้นเป็นพิเศษ คือการพัฒนา “ภาษาที่สอง” ให้กับเยาวชนในพื้นที่
“ปัจจุบันเด็กไทยจบปริญญาตรีเยอะ แต่สาเหตุที่ไม่สามารถพัฒนาหรือเพิ่มมูลค่าเมื่อไปประกอบอาชีพได้ นั่นก็คือภาษาที่สอง โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ โลกปัจจุบันนี้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ต้องใช้ติดต่อกันทั่วโลก ฉะนั้นถ้าเราทิ้งตรงนี้ก็เท่ากับขาดโอกาส รัฐบาลเองต้องกล้าที่จะสนับสนุน และกล้าท้าทายกับสภาพที่เป็นอยู่ วันนี้ปัตตานีเพลสเกิดขึ้นมาแล้ว รัฐบาลต้องมาขอบคุณและสนับสนุนพวกเรา ภายใต้ความกลัวนั้นยังมีโอกาสอยู่ ถ้าเราไม่ได้เติมเต็มในสิ่งที่ขาด ทุกอย่างก็จบเลย”

ตอบโจทย์ธุรกิจ-การศึกษา-บันเทิง
อย่างไรก็ดี ยังคงมีคำถามมากมายถึงที่มาของโครงการอันน่าตื่นตาตื่นใจนี้
ผศ.นิฟาริศ ระเด่นอาหมัด รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนานักศึกษาและวัฒนธรรม ม.อ.ปัตตานี ในฐานะที่ปรึกษาด้านวิชาการของโครงการ เล่าว่า แรกเริ่มได้รับข้อเสนอจากนักธุรกิจกลุ่มหนึ่งซึ่งมีความคิดจะทำธุรกิจเรื่องการศึกษา ส่วนตัวคิดว่าน่าจะช่วยได้ เพราะทราบปัญหาในพื้นที่เป็นอย่างดีว่ามาตรฐานของเด็กในพื้นที่นี่ต่ำกว่าเด็กที่อื่นๆ มาก ทำให้บางส่วนที่ทางบ้านมีฐานะการเงินดี จะส่งไปเรียนเพิ่มเติมที่หาดใหญ่ (จ.สงขลา) และกรุงเทพ ฯ ทำให้เด็กต้องอยู่ไกลบ้าน อาจจะเสียผู้เสียคน ขณะที่เงินที่ต้องส่งเสียก็สูงขึ้น
“ผมเคยทำโครงการติวข้อสอบให้เด็กก่อนเอนทรานซ์ (การสอบเข้ามหาวิทยาลัยในอดีต) มาหลายปี โดยเดินสายติวในพื้นที่สามจังหวัด ยกทีมจาก ม.อ.ร่วม 20 คนไปติว จะเห็นได้ว่าสมัยที่เราติวเด็กกันอย่างเข้มข้น เด็กในพื้นที่ของเราก็สู้ที่อื่นได้ แต่ช่วงหลังพอผมมาเป็นผู้บริหารก็ไม่มีเวลา ทำให้เลิกไป เพราะฉะนั้นความคิดของนักธุรกิจกลุ่มนี้ที่อยากสร้างศูนย์การศึกษาในพื้นที่ก็ตรงกับสิ่งที่ผมคิดเอาไว้นานแล้ว และผมน่าจะมีประสบการณ์ช่วยเหลือได้ จึงเข้ามาร่วมงาน”
“ผมคิดว่าปัตตานีเพลสจะเป็นศูนย์กลางเรื่องพัฒนาการศึกษาของภาคใต้ เราเองก็อยู่ในพื้นที่ที่เกิดเหตุการณ์และอยู่ท่ามกลางปัญหามา 5 ปีแล้ว ยังไม่เคยเจอทางออกที่ดีแบบเลย ฉะนั้นอย่างน้อยถ้าเราบอกว่าเราอยู่ได้และไม่มีอะไรที่น่ากลัว เราสามารถพัฒนาคนได้ ธุรกิจก็เดินหน้า ก็เท่ากับว่าเราได้นับหนึ่งใหม่ โจทย์ในพื้นที่ที่เราต้องแก้ในวันนี้คือโอกาสทางธุรกิจ และโอกาสทางการศึกษา ถ้าเราเริ่มต้นโครงการได้ก็ถือว่าสามารถจุดประกายอะไรได้บางอย่าง และจะเป็นตัวนำไปสู่ความสงบของภาคใต้ได้อีกทางหนึ่ง”
“ในด้านของผู้ปกครองและตัวเด็กนั้น เมื่อไหร่ที่เด็กมีที่พักสะดวกสบาย และผู้ปกครองเด็กก็รู้สึกมั่นใจว่าเด็กไม่เหลวไหล ไม่หนีออกไปหาแสงสียามค่ำคืน ผมคิดว่าตรงนี้คือคำตอบ ผู้ปกครองจะได้ไม่ต้องส่งลูกไปเรียนถึงหาดใหญ่ ผมเองก็ส่งลูกไปเรียนที่หาดใหญ่ เพราะคิดว่าปัจจุบันถ้าเราไม่เติมความรู้เข้าไป เด็กจะเสียเปรียบแล้วไปสอบสู้คนอื่นไม่ได้เลย ขนาดการเปิดติวที่นำนักวิชาการจากส่วนกลางลงมาในพื้นที่ก็ยังไม่มากพอ เพราะเวลาที่ติวให้เด็กยังน้อยเกินไป”
ผศ.นิฟาริศ กล่าวอีกว่า วงการการศึกษาไทยต้องปรับตัวให้ทันกับสภาพสังคม ยกตัวอย่างเช่นยาที่หมอให้เรารับประทานนั้น ส่วนใหญ่จะมีรสขม ฉะนั้นยาบางตัวถึงต้องเคลือบน้ำตาลเพื่อให้รับประทานได้ง่าย ถามว่าน้ำตาลมีประโยชน์ไหม คำตอบคือไม่มีประโยชน์ แต่ก็เคลือบเอาไว้เพื่อให้เราทานได้ เหมือนกับการศึกษากับความสนุกสนานต้องเดินไปด้วยกัน
“ผมยังชอบคำของฝรั่งที่เอาคำว่า education (การศึกษา) กับคำว่า entertainment (บันเทิง) มารวมกัน และได้คำว่า Edutainment เพราะทุกคนต้องการเรียนรู้และบันเทิงไปด้วย แต่ความบันเทิงนั้นต้องอยู่ในกรอบที่เราสามารถคุมได้ ไม่ใช่เตลิดเปิดเปิงถึงขึ้นไร้สาระจนกระทั่งเป็นอันตรายต่อวัฒนธรรมและความเชื่อทางศาสนาที่มีอยู่”
ไม่ใช่ safe sex แต่ต้อง no sex

นอกจากประโยชน์ทางด้านธุรกิจ การศึกษา และบันเทิง ที่จะต้องผสานกันอย่างลงตัวและเหมาะสมแล้ว ผศ.นิฟาริศ ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาวัฒนธรรมอันดีงามที่จะต้องคงอยู่ในพื้นที่นี้ต่อไป
“เมื่อไม่นานมานี้ผมเพิ่งไปประชุมร่วมกับ สสส. (สำนักงานกองทุนสร้างเสริมสุขภาพ) เขามีโครงการอยู่โครงการหนึ่งที่จะดูแลนักศึกษาในระดับปริญญาตรี ก็มีโจทย์ข้อหนึ่งที่คุยกันในที่ประชุม คือเรื่องของ safe sex (การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย) หลายคนบอกว่าเมืองไทยมาถึงจุดนี้แล้ว ผมก็นั่งฟัง และตัวผมเองก็ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ด้วย ผมก็เสนอความคิดไปว่า ในบริบทของปัตตานีจะใช้คำว่า safe sex ไม่ได้เลย ของเราต้อง no sex (หมายถึงห้ามมีสัมพันธ์เชิงชู้สาวในช่วงที่ยังอยู่ในวัยเรียน) เป็นการถอยลงมาอีกหนึ่งด่าน เพราะอิสลามคิดว่าการมีเพศสัมพันธ์นอกสมรสเป็นเรื่องที่ผิดมากๆ”
“เรื่องนี้ถ้าทำได้ก็นับว่าเป็นผลสำเร็จอย่างแน่นอน ถ้าเราอธิบายให้ผู้ปกครองมั่นใจได้ว่าโครงการที่จะเกิดตรงนี้เป็นอย่างไร (หมายถึงปัตตานีเพลส) เขาก็คงมาร่วมงานกับเรา และถ้าเราทำตรงนี้ให้มีวัคซีนป้องกัน ทุกคนต้องมาหาเราแน่ ฉะนั้นคุณภาพเรื่องการศึกษาต้องดี บวกกับคุณธรรมจริยธรรมของอิสลามเข้าไป ถ้าทำได้จะแก้ปัญหาสังคมในระยะยาว”

ป่วนใต้ไม่ใช่ปัญหา
ด้าน อดุลย์ หวันสกุล หนึ่งในผู้สังเกตการณ์ ซึ่งมาร่วมรับฟังการเสนอโครงการ กล่าวว่า เท่าที่ฟังดูก็เห็นว่าเป็นโครงการที่ดี และโดยพื้นฐานของเด็กในพื้นที่ก็มีศักยภาพอยู่ในตัว ฉะนั้นโครงการปัตตานีเพลสก็น่าจะเป็นโครงการที่ต่อยอดในเรื่องของการศึกษา สันทนาการ ในกรอบของคนในพื้นที่ส่วนใหญ่ที่นับถือศาสนาอิสลาม
“ปัตตานีเพลสจะเป็นแหล่งพบปะ และเป็นแหล่งที่ให้ความรู้กับคนทุกกลุ่ม ปัจจุบันในพื้นที่ชายแดนใต้ เด็กๆ ที่สนใจในเรื่องการศึกษายังขาดแคลนสถานที่กวดวิชา ฉะนั้นปัตตานีเพลสจะเป็นคำตอบ”
ส่วนสถานการณ์ความไม่สงบที่อาจจะส่งผลกระทบต่อโครงการลงทุนขนาดใหญ่นั้น อดุลย์ มองว่า ไม่ใช่เรื่องน่าวิตก เพราะที่ผ่านมาโครงการก่อสร้างห้างค้าปลีกขนาดยักษ์อย่าง “บิ๊กซี” ก็เกิดขึ้นในพื้นที่มาแล้ว เชื่อว่าทางบริษัทที่จะทำโครงการคงทำวิจัยเรื่องการตลาดมาเป็นอย่างดี
“ผมยังเชื่อว่าหากปัตตานีเพลสเกิดขึ้นได้จริง จะเป็นการช่วยแก้ปัญหาความไม่สงบได้อีกทางด้วยซ้ำ” อดุลย์ กล่าว
นับเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่สวนกระแสทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์ในพื้นที่ ทำให้น่าติดตามว่าในท้ายที่สุดแล้วจะเป็นได้แค่โครงการในกระดาษ...หรือเกิดขึ้นได้จริง!

ส่วนที่เหลือ

อ่านต่อ...

วันอังคาร, พฤศจิกายน 10, 2552

เหตุการณ์คนร้ายยิงนักเรียนปอเนาะ โรงเรียนวัฒนธรรมอิสลามพ่อมิ่ง












เมื่อวันที่ 8 พฤษจิกายน 2552
เมื่อเวลาประมาณ 20.40 น. วันที่ 8 พฤษจิกายน 2552 เกิดเหตุคนร้ายยิงนักเรียนโรงเรียนวัฒนธรรมอิสลามพ่อมิ่ง ในร้านขายอาหารข้างโรงเรียนวัฒนธรรมอิสลามพ่อมิ่ง ตั้งอยู่ 111/1 ม.3 ต.พ่อมิ่ง อ. ปะนาเระ จ. ปัตตานี
จากการสอบถามชาวบ้าน และนักเรียนที่อยู่ในที่เกิดเหตุทราบว่า ก่อนเกิดเหตุการณ์ยิงนักเรียนในครั้งนี้ เวลาประมาณ 20.20 น. มีรถจักรยานยนต์สีขาว รุ่นฮอนด้าคลิ๊ก ไม่ทราบแผ่นป้ายทะเบียน ขับเข้ามาวนเวียนบริเวณหน้าร้านขายอาหาร ซึ่งอยู่ข้างโรงเรียนวัฒนธรรมอิสลามพ่อมิ่ง ขณะนั้นคนในร้านยังไม่ค่อยมีคนหนาแน่นมาก เนื่องจากนักเรียนกำลังเรียนอัลกุรอ่าน ในปอเนาะ (โรงเรียนวัฒนธรรมอิสลามพ่อมิ่ง) เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 20.30 น. นักเรียนที่เรียนอัลกุรอ่านเสร็จ ก็เข้าไปรับประทานอาหารในร้าน โดยปกติจะมีนักเรียนรับประทานอาหารในร้านนี้เป็นจำนวนมาก




กระทั่งเวลาประมาณ 20.40 น.มีคนร้าย 2 คน ขับรถจักรยานยนต์สีขาว รุ่นฮอนด้าคลิ๊ก ไม่ทราบแผ่นป้ายทะเบียน 1 คันรถ ขับเข้ามาจอดหน้าร้านซึ่งอยู่ข้างโรงเรียน ริมถนนคอนกรีตข้างโรงเรียนวัฒนธรรมอิสลามพ่อมิ่ง ทั้งสองคนใส่ชุดธรรมดา (จากการสอบถามชาวบ้านคล้ายชุดนอกเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่ตำรวจเวลาลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ) สวมเสื้อป้องกันกระสุน บริเวณหน้าอกเขียนว่า “POLICE” เมื่อถึงหน้าร้านที่มีนักเรียนกำลังรับประทานอาหารและซื้ออาหารอยู่ในร้าน ระหว่างนั้นคนร้ายก็ได้ลงจากรถ เข้ามายิงใส่นักเรียนที่กำลังรับประทานอาหารในร้านในระยะประมาณ 8 เมตร โดยไม่ได้พูดจาแต่อย่างใด ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 3 คน จากนั้นคนร้ายก็ได้ขึ้นรถจักรยานยนต์หลบหนีไปทางบ้านน้ำบ่อ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี
หลังเกิดเหตุการณ์ชาวบ้านและเพื่อนนักเรียนก็ได้พาผู้ได้รับบาดเจ็บไปยังโรงพยาบาลปะนาเระ เมื่อถึงโรงพยาบาล ทราบว่า นายมูฮำหมัด นิเลาะห์ อายุ 22 ปี ซึ่งถูกยิงด้วยกระสุนปืนอาก้า (จากการสอบชาวบ้านที่พบในที่เกิดเหตุ)เจาะเข้าบริเวณสะโพก ทนพิษบาดแผลไม่ไหวได้เสียชีวิตลง จากนั้นแพทย์โรงพยาบาลปะนาเระได้ส่งตัว(Refer) ผู้ได้รับบาดเจ็บที่เหลืออีก 2 คนไปยังโรงพยาบาลปัตตานีและยะลา ทราบชื่อ นายมาหามะโซฟี ดาโอ๊ะ อายุ 19 ปี รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลปัตตานี ส่วนนายอับดุลเล๊าะ ดามะมิง อายุ 18 ปี อยู่บ้านเลขที่ 260 ม.3 ต.ยะรัง อ.ยะรัง จ.ปัตตานี กระสุนปืนเจาะเข้าศรีษะ บริเวณหน้าผาก แพทย์ส่งตัวไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา และทนพิษบาดแผลไม่ไหว ได้เสียชีวิตลงเป็นรายที่ 2 ในเวลาต่อมา
รายชื่อผู้ได้รับบาดเจ็บ
นายมาหามะโซฟี ดาโอะ อายุ 19 ปี เกิดวันที่ 6 พฤษจิกายน 2533 อยู่บ้านเลขที่ 37 ม.3 ต.แป้น อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เลขที่บัตรประจำตัวประชาชน 1940700066705 กำลังรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลปัตตานี อาการปลอดภัยแล้ว


รายชื่อผู้เสียชีวิต
นายอับดุลเล๊าะ ดามะมิง อายุ 18 ปี เกิดวันที่ 15 กรกฎาคม 2534 อยู่บ้านเลขที่ 260
ม.3 ต.ยะรัง อ.ยะรัง จ.ปัตตานี เลขที่บัตรประจำตัวประชาชน 1941000160335
นายมูฮำหมัด นิเลาะห์ อายุ 22 ปี
หมายเหตุ...
จากการสอบถามชาวบ้าน ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 8 พย. 52 เกิดเหตุยิงกันบนถนนสายปะนาเระ – สายบุรี ม.4 ต.น้ำบ่อ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี ทราบชื่อ ดต.มานิตร เทพปกรณ์ อายุ 47 ปี ผบ.หมู่ ชุดสืบสวนสอบสวน สภ.ปะนาเระ ถูกยิงด้วยอาวุธปืน อาการสาหัส ซึ่งที่เกิดเหตุอยู่ใกล้หาดแฆแฆ ห่างจากจุดเกิดเหตุยิงนักเรียนโรงเรียนวัฒนธรรมอิสลามพ่อมิ่ง ประมาณ 5 กิโลเมตร

อ่านต่อ...

วันอาทิตย์, ตุลาคม 25, 2552

Tanya Dan Ingat Kembali 25 Oktober 2004




Tanya Dan Ingat Kembali 25 Oktober 2004

Hari ini telah mengingat kembali, apa yang telah terjadi didepan halaman Balai Police daerah Ta-Ba, diawali suatu pagi yang cerah tepat pada tanggal 25 oktober 2004 adalah peristiwa Tak-Bai atau kejadian Ta-Ba dalam bahasa orang kampung menyebut, mari kita merenung dan mengingat kembali peristiwa kelabu dan kelam yang menimpa pada saudara-saudara sesama Muslimin kita didepan halaman Balai Police daerah Ta-Ba, yang hanya bersuara tanpa senjata, demi untuk mendapat jawaban keadilan pada pegawai pemerintah yang menjaga keadilan, akan tetapi telah dibuat biadat tanpa beradat oleh manusia yang selalu mengata dirinya beradat dan sebagai pelindung masyarakat dan penyayang masyarakat.

Kini pristiwa itu telah membuat luka hati bagi sanat saudara dan kerabat keluarga yang telah tertimpa pada pristiwa 25 oktober 2004, keadilan yang sedang diharap kini telah menambah luka, pasal lembaga Mahkamah yang sepatutnya memberi keadilan sesuai dengan fakta berlaku dan sesuai dengan peristiwa, telah memukul palu untuk memutuskan, bahwa para aparator pemerintahan baik police dan askar tidak bersalah pada pristiwa 25 oktober 2004, yang telah terjadi kematian 85 orang itu hanya akibat kehabisan pernafasan dan kelelahan dari puasa Ramadhan disiang hari, ketika dibawa berramai-ramai dan bertumpuk-tumpuk bagaikan tumpukan kayu balok diatas truk GMC Militery ke markas tentara bagian 4/IV wilayah Pattani.
Sungguh kejam dan biadat apa yang telah diputuskan oleh Hakim, sungguh luka bagi keluarga yang sedang mencari keadilan, sungguh pilu bagi istri yang kehilangan suami nya, sungguh kejam apa yang dibuat oleh para police dan askar-askar pada rakyat yang bersuara dipagi hari untuk mencari jawaban keadilan, kini peristiwa kelam didepan halaman Balai Police Ta-Ba telah menjadi lima tahun, lima tahun tanda tanya bagi kerabat yang mencari jawaban keadilan, lima tahun bagi masyarakat dunia untuk menunggu jawaban kinerja pemerintahan Thailand yang terkenal ramah tamah dan mejunjung tinggi suara Rakyat.
Peristiwa yang telah terjadi Hakim telah menutuskan, lalu dimanakah bagi kerabat keluarga akan mendapat jawaban yang seadil-adilnya, ini sebuah tanda tanya yang sangat memukul rasa bagi siapa saja, yang apabila bertanya dan merenung untuk mengingat dan cuba membayangkan terhadap peristiwa yang telah terjadi di depan halaman Balai Police derah Ta-Ba.
Kini pula tanya dan mengingat peristiwa itu telah tepat pada tanggal 25 oktober 2009 ini, lima tahun telah berlalu dengan tanya dan mengingat kembali, tanpa memberi jawaban yang adil dari pihak menjaga keadilan, peristiwa Ta-Ba berputar waktu dan tahun untuk mencari jawaban keadilan hukum dan keadilan sosial dalam kenangan peristiwa kebiadatan sesama manusia, tanya dan mengingat lima tahun dihari ini, semuga kita ketemu jawabannya, yang tersembunyi didalam hati sesama Muslim atas peristiwa Ta-Ba, mudahan.

อ่านต่อ...

วันศุกร์, ตุลาคม 16, 2552

Gugur seorang tentera jihad Islam Patani



Ketepatan pada tanggal 27 jun 2009, tentera jihad Islam Patani telah kehilangan anggota terbaik di kawasan Benang-seta satu orang perjuangan kita terus bertahan dan memberi perlawanan terus menerus, kita melaksanakan taktik perang gerilya demi menentukan politik kita tersendiri, bukan kita menyusah keadaan dan mengkeruh keadaan di bumi kita sendiri,


Hari ini kita telah dapat membuktikan kepada Dunia dan penghuni di bumi PATANI dan orang-orang PATANI yang merangtau di Negeri orang di seluruh dunia, bahwa kami tentera jihad Islam Patani akan terus menerus memberi pukulan pada penjajah siam, hari ini di Benang-seta kita syahid 1 orang, musuh tewas 3 orang, dalam berita hanya musuh mengatakan 2 orang saja yang tewas, perlawanan kita sampai ajal, kami mohon do’a kan kepada anak-anak muda yang bergabung dalam tentera jihad Islam Patani perjuangan sudah menunjukan jalan terang, bukti keajaiban para syuhada’ sudah nyata, tidak ada wajah tentera jihad yang menunjukan rasa kesakitan dalam menempuh ajal.
Pada hari ini, para pakar politik musuh sedang memikir berat untuk memukul patah tentra jihad dengan menurunkan pasukan khusus ke bumi patani yang kita semua cintai, demi Allah dan Rasulnya, kami para tentra jihad Islam Patani akan selalu mengawal bumi tumpah darah kita semua sampai darah kami membasahi bumi, harap semua yang mengaku lahir sebagai orang Patani untuk mendo’a kan pada kejayaan perjuangan kemerdekaan ini, insyaallah kita akan mendapat kejayaan dunia dan akhirat, Allahhu Akbar, Allahhu Akbar, Allahhu Akbar. Merdeka.

Suara rakyat melayu patani

อ่านต่อ...

FREE PATANI



หลากความรู้สึกอันบอบช้ำ กับชะตากรรมที่มองข้าม ตากใบเหลือแต่ตำนาน ปราศจากคำถามและความเข้าใจ

Various feeling wounds, with the fate that looked over, be left but, legend, without a question and the understanding.


 

อ่านต่อ...

วันอังคาร, ตุลาคม 13, 2552

นักเขียนน้อยชายแดนใต้..."บล็อกเกอร์พันธุ์ใหม่"



เรื่องเล่าจากนักเขียนน้อยชายแดนใต้ เป็นแนวคิดของ "สำนักหัวใจเดียวกัน" ที่เชื่อในพลังของเยาวชนคนรุ่นใหม่ในดินแดนปลายด้ามขวานซึ่งมีต้นทุนชีวิตอยู่ในพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางภาษา ศาสนา และวัฒนธรรม ทั้งยังมีประวัติศาสตร์อันยาวนานน่าภาคภูมิใจ เพียงแต่ยังขาดทักษะและ "แรงบันดาลใจ" ที่จะลุกขึ้นมาบันทึกเรื่องราวเหล่านั้นในท้องถิ่นของตนเองเผยแพร่สู่โลกกว้าง

“โครงการอบรมการเขียนเว็บบล็อก (Web Blog) สร้างนักข่าว-นักเขียนสายพันธุ์ใหม่ชายแดนใต้” จึงเกิดขึ้น เป็นการดำเนินงานในลักษณะพันธมิตรเครือข่ายภายใต้ความร่วมมือของ “สำนักหัวใจเดียวกัน” ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา วิทยุชุมชน 97.5 Modern Hit Peace FM จ.ยะลา และทีมงานบล็อกเกอร์ OK.NATION ในเครือเนชั่นมัลดิมีเดียกรุ๊ป โดยมีเยาวชนจากจังหวัดชายแดนภาคใต้สนใจเข้าร่วมกว่า 50 คน
กิจกรรมดีๆ เช่นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้เยาวชนหันมาสนใจเรื่องราวประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ทั้งในแง่ของวิถีชีวิต ศิลปวัฒนธรรม และความเป็นอยู่ของผู้คน เป็นการปูพื้นฐานการเขียน การถ่ายภาพ อันจะมีผลต่อการพัฒนาทักษะด้านการอ่าน การเก็บข้อมูล การสัมภาษณ์ ตลอดจนการศึกษาและการทำงานในอนาคต ขณะเดียวกันยังเป็นการส่งเสริมให้เยาวชนมีสำนึกรักบ้านเกิด ก่อให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีระหว่างคนต่างศาสนาในฐานะผู้ร่วมอาศัยอยู่บนแผ่นดินเดียวกัน
ชุมศักดิ์ นรารัตน์วงศ์ หรือ “พี่ย่อง” ของน้องๆ บรรณาธิการนิตยสารหัวใจเดียวกัน กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของโครงการนี้ว่า จากที่คลุกคลีในวงการสื่อทั้งส่วนกลางและในพื้นที่มาหลายปี วันหนึ่งมีเหตุร้ายเกิดขึ้นที่บ้านเกิดของตัวเอง จึงคิดว่าไม่ควรนิ่งเฉยอีกต่อไป จึงตัดสินใจรวมกลุ่มกับเพื่อนในวงการนักข่าวและนักเขียน จัดตั้ง “สำนักหัวใจเดียวกัน” เพื่อคิดหากิจกรรมดีๆ ลงมาช่วยพื้นที่ เป็นการเปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วม และใช้พลังเยาวชนในการขับเคลื่อน
“ผมไม่ปฏิเสธว่าในพื้นที่มีความรุนแรงตามที่สื่อกระแสหลักนำเสนอออกไป แต่ผมมองว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นมาจากคนเพียงส่วนน้อยเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่เรายังมีต้นทุนทางสังคม ต้นทุนทางประวัติศาสตร์ รวมทั้งวิถีชีวิต และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ขณะที่สมรรถภาพของผู้คนก็ยังแข็งแรง ยังมั่นคงอยู่ เรื่องราวดีๆ ต่างๆ จึงสมควรได้รับการนำเสนอ”
“แต่ปัญหาที่พบมาตลอดก็คือ สื่อกระแสหลักไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ได้อย่างแท้จริง ผมจึงคิดว่าในเมื่อเรามีเด็กอยู่ในพื้นที่ โดยที่ทุกคนมีพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง คนรอบข้าง และสิ่งแวดล้อมที่เป็นต้นทุนของชีวิตเขาอยู่แล้ว เขาย่อมสามารถเข้าใจบ้านของเขาเองได้ดีกว่า จึงสร้างแรงบันดาลใจ ให้กำลังใจ และกระตุ้นให้เขานำเรื่องราวของบ้านเกิดมาเขียน”
ชุมศักดิ์ เล่าว่า ค่ายวรรณกรรมนักเขียนน้อยชายแดนใต้ นับเป็นกิจกรรมแรกที่ทำร่วมกับ “มูลนิธิสุข-แก้ว แก้วแดง” (มี ดร.รุ่ง แก้วแดง อดีต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน) เพื่อเปิดช่องทางให้เด็กที่มีทักษะในงานเขียนได้ถ่ายทอดเรื่องราวที่ตัวเองประสบพบเจอผ่านตัวอักษร ปรากฏว่าประสบความสำเร็จเกินคาด น้องๆ สะท้อนความคิดผ่านงานเขียนได้ดีมาก แต่ละเรื่องที่เขียนออกมามีความน่าสนใจ และใช้ภาษาได้ดี เมื่อโครงการแรกประสบความสำเร็จ จึงเกิดความคิดที่จะใช้เทคโนโลยีในรูปแบบของ “เว็บบล็อก” ที่นิยมกันทั่วโลก เพื่อใช้ช่องทางนี้ในการสื่อสารเพิ่มเติม
และนี่คือจุดเริ่มของการจัดค่ายอบรมการเขียนเว็บบล็อก (Web Blog) สร้างนักข่าว-นักเขียนสายพันธุ์ใหม่ชายแดนใต้ โดยเลือกบ้านต้นหยี ต.ลำพะยา อ.เมือง จ.ยะลา เป็นสถานที่ฝึกปฏิบัติในลักษณะ "อบรมเชิงปฏิบัติการ"
ต้องบอกว่าแค่ “โลเกชั่น” ที่เลือกทำค่ายก็ท้าทายไม่น้อยแล้ว เพราะครั้งหนึ่งพื้นที่แห่งนี้คือหมู่บ้านที่ถูกแต้ม “สีแดง” โรงเรียนตาดีกาหลายแห่งไม่มีเสาธงและธงชาติไทย แต่วันนี้บ้านต้นหยีไม่มีคำว่า “สีแดง” อีกต่อไป คนไทยทั้งพุทธและมุสลิมถ้อยทีถ้อยอาศัย อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข
ทั้งนี้ เหตุผลที่ ชุมศักดิ์ ตัดสินใจเลือกบ้านต้นหยีเป็นสถานที่ทำค่าย เพราะเขามีความหลังกับหมู่บ้านแห่งนี้
“ผมเคยทำกิจกรรมแรกกับ ดร.รุ่ง แก้วแดง มีโอกาสได้สัมผัสเรียนรู้วิถีชีวิตของคนแถบนี้ ทั้งเดินป่าและสัมภาษณ์ผู้นำชุมชนอย่างผู้ใหญ่บ้าน พูดคุยกันจนรู้สึกคุ้นเคย เหมือนเป็นพี่เป็นน้องกัน พอทราบข่าวว่าจะมีงานมัสยิด ก็เลยปรึกษากับทีมงานกันว่าน่าจะพาเด็กๆ ลงไปเรียนรู้พื้นที่ตรงนี้อีกครั้ง ไปเห็นวิถีชีวิตจริงๆ ของชาวบ้านที่เดิมเป็นพื้นที่สีแดง น่ากลัวมาก แต่ทุกวันนี้ทุกบ้านติดธงชาติ มีผู้ใหญ่บ้านที่เข้มแข็ง มีแนวคิดในเชิงพัฒนา” ชุมศักดิ์ บอก และว่า
“เมื่อพาน้องๆ ลงพื้นที่ ผมจะไม่เล่าเรื่องราวในอดีตของหมู่บ้านให้ฟัง แต่จะให้อิสระทางความคิด ไม่วางกรอบ น้องๆ สามารถทำเรื่องอะไรก็ได้ น้องๆ ไปเห็นร้านน้ำชา ไปเห็นคนกำลังกรีดยาง เลี้ยงแพะ อยากรู้อะไรก็เข้าไปถาม คุยกับเขา และเขียนออกมาได้เลย”
จากเรื่องราวที่หมุนคว้างอยู่ในความคิด ถูกจัดระเบียบและเรียงร้อยออกมาเป็นตัวอักษร แต่กระบวนการยังไม่จบเพียงแค่นั้น เพราะน้องๆ ทุกคนจะต้องนำเรื่องที่ตนเองเขียนถ่ายทอดผ่าน "เว็บบล็อก" อวดสู่สายตาสาธารณชนผ่านโลกไซเบอร์ด้วย
“เยาวชนทุกคนจะมีบล็อกเป็นของตัวเองอย่างสมบูรณ์ 1 คนต่อ 1 บล็อก จบจากค่ายนี้ น้องๆ ก็ยังสามารถนำเสนอข้อมูลข่าวสารจากพื้นที่จริงได้อย่างต่อเนื่อง โดยจะมีทีมบรรณาธิการคอยช่วยแนะนำงานเขียนของน้องๆ เพิ่มเติม และในระยะยาวหากเป็นไปได้จะมีการรวบรวมงาน
เขียนของเยาวชนรุ่นใหม่พิมพ์เป็นพ็อคเก็ตบุ๊คอีกด้วย” ชุมศักดิ์ บอก
แม้โครงการนี้จะมีลักษณะเป็นโครงการนำร่องเพื่อทดลองแนวทางใหม่ในการปลุกพลังเยาวชนให้ลุกขึ้นมามีส่วนร่วมกับชุมชน และรับผิดชอบความเป็นไปของบ้านเกิด แต่ในอนาคตย่อมไม่ปิดโอกาสของการต่อยอดเพื่อพัฒนาเยาวชนเหล่านี้สู่การเป็น “นักข่าว-นักเขียน” ประจำชุมชนหมู่บ้าน ตามแนวทางของ “นักข่าวพลเมือง” หรือ citizen reporter
“เยาวชนแต่ละพื้นที่ที่เป็นตัวแทนเข้าร่วมโครงการบล็อกเกอร์ บอกได้เลยว่าอนาคตพวกเขาเหล่านี้จะเป็นผู้มีส่วนร่วมในการดูแลชุมชน คอยรายงานความคืบหน้าของการพัฒนา รายงานความสวยงามของพื้นที่ สภาพวิถีชีวิต รวมไปถึงปัญหาต่างๆ สิ่งนี้ผมเชื่อว่าจะเป็นแนวทางในการช่วยสร้างสันติสุขในพื้นที่ได้มาก ผมเชื่อในพลังของคนรุ่นใหม่ เชื่อระบบคิดของคนรุ่นใหม่” ชุมศักดิ์ กล่าว
“ทุกวันนี้เรากำลังทำสงครามทางความคิด ถ้าเด็กกลุ่มนี้มีปัญหา ระบบความคิดไม่แข็งแรงหรืออ่อนแอ ก็จะถูกชักจูงไปสู่ยาเสพติด สู่ปัญหาอื่นๆ มากมาย แต่ถ้าเราค่อยๆ ปลูกฝัง ค่อยๆ สอน ค่อยๆ ดูแลเยียวยาเขา ให้เขาแข็งแรงในทางความคิดก่อน ผมเชื่อว่าเยาวชนเหล่านี้จะเป็นพลังในการช่วยพื้นที่ให้กลับสู่สันติสุขได้ดังเดิม”
ในฐานะ “คนข่าว” ชุมศักดิ์ มองการทำงานของสื่อสารมวลชนที่มีผลต่อปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้เอาไว้อย่างน่าสนใจ
“ตลอด 5 ปีที่สถานการณ์ยังคุกรุ่นอยู่ ผมชื่นชมศูนย์ข่าวอิศราที่คอยนำเสนอข่าวเชิงบวก เป็นข้อมูลอีกด้านหนึ่งนอกเหนือจากความรุนแรง แต่ต้องยอมรับความจริงว่าประเด็นที่เป็นอัตลักษณ์และความงดงามอีกมากมาย สื่ออื่นๆ ยังไม่สามารถเข้าถึงได้ ผมจึงอยากเห็นเรื่องราวเหล่านี้ได้รับการถ่ายทอดผ่านการร้อยเรียงของน้องๆ เยาวชนผ่านเว็บบล็อกด้วยเช่นกัน เพราะนี่คือการคลี่คลายปัญหา และเปิดโอกาสให้คนในพื้นที่ได้มีส่วนร่วมจริงๆ” บรรณาธิการนิตยสารหัวใจเดียวกัน ระบุ
ไฮไลท์สำคัญของค่ายนักข่าว-นักเขียนสายพันธุ์ใหม่ คือการลงพื้นที่บ้านต้นหยี ซึ่งเท่าที่สังเกตดู แม้แดดจะร้อนเปรี้ยงเพียงใด แต่ใบหน้าของทุกคนก็ยังเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มและความสุข ทุกคนพยายามเก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุด เพื่อนำไปเขียนเรื่องราวในบล็อกของตนเอง
ขณะที่ วาตี มามุ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (ม.อ.ปัตตานี) บอกว่า แรกเริ่มเข้าใจว่าการทำเว็บบล็อกเป็นเรื่องยาก แต่เมื่อมาเข้าอบรมทำให้รู้ว่าไม่ยากเลย ส่วนตัวตั้งใจจะเก็บเรื่องราวต่างๆ ที่ได้พบเจอ และเขียนไว้ในเว็บบล็อกในลักษณะบันทึกความทรงจำ
“ผมอยากเขียนเล่าเรื่องราวแบบนี้มานานแล้ว แต่ทำไม่เป็น พอโครงการนี้เกิดขึ้น ยิ่งทำให้อยากนำเสนอเรื่องราวในแง่มุมที่หลากหลายขึ้น เพื่อให้หลายๆ คนได้รับรู้ พี่ๆ แต่ละคนที่มาถ่ายทอดความรู้ล้วนมีประสบการณ์ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือการได้ตระหนักว่า การจะเขียนเรื่องราวอะไรออกสู่สาธารณชน จะต้องมีเหตุผล มีความเป็นกลาง ไม่ควรเอนเอียงไปทางหนึ่งทางใด” วาตี กล่าว
อย่าลืมติดตามอ่านเรื่องราวของนักเขียนน้อยๆ เหล่านี้ในฐานะ "บล็อกเกอร์พันธุ์ใหม่" จากชายแดนใต้...



อ่านต่อ...

วันอาทิตย์, ตุลาคม 11, 2552

สุเทพควงกษิตลง3จว.ใต้

สุเทพควงกษิตลงจังหวัดชายแดนภาคใต้พรุ่งนี้มอบนโยบายผู้นำ4เสาหลัก
วันนี้(11ตุลาคม) นายพระนาย สุวรรณรัฐ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เปิดเผยว่า ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดน

ภาคใต้ (ศอ.บต.) และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ( กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ร่วมกับจังหวัดชายแดนภาคใต้ เตรียมจัดทำประชาคมขับเคลื่อนการดำเนินโครงการภายใต้แผนพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยอาศัยกลไกสำคัญคือ ผู้นำ 4 เสาหลัก ได้แก่ ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำจิตวิญญาณ ผู้นำตามธรรมชาติ และกรรมการหมู่บ้าน จำนวนกว่า 2,800 คน เพื่อให้เข้าใจบทบาทภารกิจที่ได้รับมอบหมาย แนวคิด วิธีการปฏิบัติการตามแผนพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ กำหนดจัดขึ้น ในวันจันทร์ ที่ 12 ตุลาคม 2552 ณ หอประชุมศูนย์เยาวชนเทศบาลนครยะลา อำเภอเมือง จังหวัดยะลา โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี มามอบนโยบายแนวทางการดำเนินงานให้กับผู้นำ 4 เสาหลัก และมีนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วยคณะเอกอัครราชทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย จำนวน 18 ประเทศ ร่วมสังเกตการณ์ในโอกาสที่มาเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย
สำหรับบทบาท หน้าที่ ของผู้นำ 4 เสาหลัก คือการทำหน้าที่ขับเคลื่อนการจัดทำประชาคม การรับรองบัญชีรายชื่อครัวเรือน บัญชีความต้องการโดยเรียงลำดับการให้ความช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมาย โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่า 64,000 บาทต่อปี และกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ 64,000 – 120,000 บาทต่อปี เพื่อยกระดับรายได้ให้ไม่ตำกว่า 120,000 บาท ต่อปีต่อครัวเรือน โดยมีพื้นที่เป้าหมาย จังหวัดปัตตานี 227 หมู่บ้าน จังหวัดยะลา 95 หมู่บ้าน จังหวัดนราธิวาส 229 หมู่บ้าน จังหวัดสงขลา 97 หมู่บ้าน และจังหวัดสตูล 74 หมู่บ้าน รวมทั้งสิ้น 722 หมู่บ้าน จำนวน 2,888 คน.

อ่านต่อ...

วันเสาร์, กันยายน 26, 2552

ภาคประชาสังคมโวยรัฐให้ข่าวทำผู้ถูกกล่าวหาเสื่อมเสีย

ด้านความคืบหน้ากรณีมีข่าวจากหน่วยงานรัฐในพื้นที่ ระบุว่า นายมุสะตอปากามา สาและ อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 107 หมู่ 7 บ้านคลองช้าง ต.นาเกตุ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาคดีความมั่นคง ยอมเข้ามอบตัวแสดงความบริสุทธิ์ใจต่อตำรวจ หลังถูกกดดันจากปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่นั้น ล่าสุดมูลนิธิผสานวัฒนธรรม และศูนย์ทนายความมุสลิม ได้ออกแถลงการณ์ตำหนิการให้ข่าวที่คลาดเคลื่อนของฝ่ายรัฐ
ทั้งนี้ องค์กรภาคประชาสังคม 2 องค์กรดังกล่าว ออกแถลงการณ์ชี้แจงว่า การเผยแพร่ข่าวทางสื่อแขนงต่างๆ เกี่ยวกับการมอบตัว ได้สร้างความเสียหายให้กับ นายมุสะตอปากามา เพราะต้นสายปลายเหตุของเรื่องเกิดจาก นายมุสะตอปากามา เข้าร้องเรียนกับทางมูลนิธิผสานวัฒนธรรม และศูนย์ทนายความมุสลิม เมื่อวันที่ 26 ส.ค. ว่าได้รับหนังสือจาก สภ.โคกโพธิ์ ให้เข้ามอบตัวสู้คดี ทั้งๆ ที่เจ้าตัวไม่ทราบมาก่อนว่าถูกออกหมายจับในคดีความมั่นคง
ต่อมา ตัวแทนมูลนิธิผสานวัฒนธรรมและศูนย์ทนายความมุสลิมได้นำ นายมสะตอปากามา เข้าพบเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูง และผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี 24 กระทั่งได้ข้อสรุปจากการหารือร่วมกันว่า ขอให้ นายมุสะตอปากามา ไปให้ข้อมูลยังค่ายทหารแห่งหนึ่งเป็นเวลา 7 วัน และจะดำเนินการประสานเรื่องให้ประกันตัวที่ สภ.โคกโพธิ์
วันที่ 16 ก.ย. ญาติของนายมุสะตอปากามา แจ้งว่าจะได้รับการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวนเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ โดยทางมูลนิธิผสานวัฒนธรรมและศูนย์ทนายความมุสลิมได้ขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ให้จัดแถลงข่าว เพราะเกรงว่าข้อมูลที่ปรากฏทางสื่อจะไม่ตรงกับข้อเท็จจริง และอาจทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง อีกทั้งทำให้การทำงานขององค์กรภาคประชาสังคมในพื้นที่ต่อการมอบตัวของผู้ต้องหาหรือผู้ต้องสงสัยไม่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนอีกต่อไป ซึ่งก็ได้รับคำยืนยันจากหน่วยงานความมั่นคงว่าจะไม่มีการแถลงข่าวใดๆ
ทว่าสุดท้ายก็มีข่าวปรากฏตามสื่อต่างๆ ในทำนองว่า "แกนนำโจรใต้ถูกกดดันอย่างหนัก โร่มอบตัวที่ปัตตานี" ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงแล้ว นายมุสะตอปากามา ไม่เคยทราบว่าตนเองถูกออกหมายจับ และได้ประกอบอาชีพเป็นครูสอนหนังสือในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนามาตลอด ไม่เคยหลบหนีการจับกุม อีกทั้งยังพบว่าข้อมูลในการออกหมายจับเป็นเพียงคำซัดทอดของผู้ถูกกล่าวหาอีกรายหนึ่งเท่านั้น ปัญหาดังกล่าวได้สร้างความไม่ใไว้วางใจระหว่างประชาชนในพื้นที่กับรัฐมากยิ่งขึ้น
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม และศูนย์ทนายความมุสลิม จึงขอให้หน่วยงานด้านความมั่นคงเคารพต่อการตัดสินใจของผู้ถูกกล่าวหาในคดีความมั่นคงที่ประสงค์จะมอบตัวสู้คดี โดยให้ความมั่นใจว่าเจ้าพนักงานของรัฐในทุกภาคส่วนจะให้ความเป็นธรรม อำนวยความสะดวกอย่างดีที่สุด และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด ไม่เอารัดเอาเปรียบกันในเชิงการให้ข่าวสารและการกล่าวหาสร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียงแก่บุคคลหรือชุมชนโดยผ่านสื่อมวลชนแขนงใดๆ ทั้งนี้เพื่อให้แนวทางสันติวิธีและแนวทางกฎหมายยังคงเป็นทางเลือกลำดับแรกของผู้ถูกกล่าวหาคดีความมั่นคงแทนการหลบหนี

อ่านต่อ...

วันพฤหัสบดี, กันยายน 17, 2552

การเมืองนำการทหาร แค่น้ำลายดับไฟใต้‏

 


"วันนี้...สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ แนวโน้มรุนแรงขึ้นและมีความเสียหายมากขึ้นด้วย"

อาจารย์อัฮหมัด สมบูรณ์ บัวหลวง ให้ทัศนะในฐานะนักวิชาการอิสระที่จับปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้มายาวนาน

อาจารย์อัฮหมัด สมบูรณ์ บอกว่า ทหารพราน 5 ศพ...ถูกยิงในฐาน เหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ ถ้าติดตามข่าวอย่างต่อเนื่อง...จะเห็นว่านับตั้งแต่เหตุยิงชาวบ้านที่กำลังละหมาดในมัสยิดอัลฟุรกอน บ้านไอปาแย อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ต่อเนื่องมาถึงวันนี้...เทรนด์ความไม่สงบยิ่งแรงขึ้น
    


"ชี้อะไรได้หลายอย่าง...โดยเฉพาะความอ่อนแอกลไกภาครัฐ"เรื่องการข่าว ยังต้องพูดเหมือนเดิมว่า ไม่เป็นเอกภาพ ถัดมาก็เป็นเรื่องของความรุนแรงที่เกิดจากการกระทำของกองกำลังไม่ทราบฝ่าย



"มุมมองชาวบ้าน...มองว่าเป็นการกระทำของกลไกส่วนหนึ่งที่รับรู้เรื่อง รับรู้ดี ขนาดเจ้าหน้าที่บางหน่วยเองยังรู้ดีขนาดที่ว่า...ใครเป็นคนทำ แต่ไม่สามารถบอกความจริงให้ประชาชนในภาพกว้างรับรู้ได้"
ลักษณะปัญหาไม่ได้เหมือนเดิม หรือวนอยู่ที่เดิม แต่กรณีปัญหาสะสมมากกว่าเดิม

"ปัญหาเดิมยังไม่ได้รับการแก้ไขเยียวยา บอกไม่ได้ว่ากรณีไหนบ้างที่เป็นการกระทำที่ผิดพลาดของเจ้าหน้าที่รัฐบางคน ที่สืบได้...สอบสวนได้...ทำโทษให้ชัดเจน"
เมื่อไม่มีอะไรชัด ก็ไม่สามารถตอบคำถามอะไรได้

กรณีรุนแรงที่สุด ยิงในมัสยิดฯค่อนข้างรู้ชัดว่าใครเป็นคนทำ...ใช้ปืนที่ไหน แต่ชาวบ้านได้ข่าวกระเซ็นมาว่า เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ...ทหาร...ตำรวจ ก็ยังขัดแย้งกันเอง
ทั้งขัดแย้งทางความคิด ขัดแย้งในการปฏิบัติ

"ความคิดไม่เหมือนกันอยู่แล้ว...ในการที่จะดูแลความปลอดภัยของประชาชน ตำรวจทำหน้าที่อย่างเดียว เมื่อเกิดเหตุแล้วก็ไปตรวจที่เกิดเหตุ ในแง่การป้องกันแทบจะโยนให้ทหารไปทั้งหมด...
ทหารเองก็มีหลายหน่วย บางหน่วยถูกปลูกฝัง...ฝังมุมมองอะไรบางอย่าง มองเรื่องกระบวนการแก้ไขในสภาวะสงครามไปอีกแบบหนึ่ง

ต้องการให้เด็ดขาดเพียงอย่างเดียว แต่ไม่มองว่ากระบวนการภาคประชาชนโตวันโตคืน ในแง่ของข้อมูลข่าวสาร ที่ตามมาคือความรู้สึกที่บอกว่า เอ๊ะ...รัฐทำไมไม่ชี้วัด การกระทำแต่ละอย่างให้ชัดเจนเสียที..."

สถิติที่คุยกันในวงกาแฟ ในพื้นที่มีคดีเกิดขึ้น 50,000 คดี แต่เป็นคดีความมั่นคง 6,000 กว่าคดีเท่านั้น
เหตุยิงในมัสยิดไอปาแย ในหัวใจชาวบ้านค่อนข้างโน้มเอียงไปว่าเป็นฝีมือเจ้าหน้าที่สายเหยี่ยว เชื่อมั่นว่าเจ้าหน้าที่เองก็รู้ว่าใครเป็นคนทำ แล้วก็รู้ดีว่าคนที่ถูกออกหมายจับอยู่หรือไม่อยู่ รวมไปถึงผู้ร่วมกระทำอีก 3-4 คน ที่ถูกปกปิดเอาไว้

"รัฐบอกว่าเป็นแค่คนคนเดียวทำ แต่ชาวบ้านไม่เชื่อ...ความจริงของชาวบ้าน กับความจริงของรัฐ มันไม่เหมือนกัน"

ร่ำลือกันว่ามีแหล่งข่าวให้ข้อมูลว่า ผู้ที่ถูกออกหมายจับเป็นอดีต อส.ทหารพราน แล้วอีก 3-4 คน ที่ไม่ออกหมายจับ...ตำรวจก็พยายามกดดันให้ออกหมายจับ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอม

"ข่าวลือในพื้นที่เป็นอย่างนี้ แต่เท็จจริงอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ได้ ยิ่งทวีความคลุมเครือในการที่รัฐจัดการสิ่งที่ชัดเจนไม่ได้" อาจารย์อัฮหมัด สมบูรณ์ ว่า

ปัญหามีว่า...กรณีไอปาแยสะเทือนไปทั่วโลก ตุรกี เยอรมนีก็มีการประท้วง ถึงวันนี้...รัฐจะต้องไม่พึ่งข้อมูลไร้สาระจากพื้นที่มากนัก อาจจะต้องมีองค์กรต่างหากที่ลงไปดู...หาความจริง แสดงความจริงให้ข้อเท็จจริงกับประชาชนคนไทยทั้งประเทศได้ทราบ

การแก้ปัญหาระดับนโยบายการเมืองยังนำการทหาร แต่ในความเป็นจริง

สิ่งที่เห็นเกิดเป็นรูปธรรมที่ว่า...การเมืองนำการทหารเป็นการพูดแบบใช้บาลีมากกว่า

"การเมืองตรงนี้เป็นการเมืองที่ทหารนำ...แล้วทหารจะบอกว่า ผมลงมาเพราะการเมืองเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว"

ทัศนะส่วนตัว อาจารย์อัฮหมัด สมบูรณ์ มองว่า รัฐบาลเองตอนเป็นฝ่ายค้านมีข้อมูลดี แต่พอเป็นฝ่ายรัฐบาลก็ยังลังเลอยู่เหมือนเดิม

"ช่วงที่ประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน เราวาดหวังกันว่า...อยากจะเห็นการแก้ไขปัญหาในรูปแบบที่ประชาธิปัตย์นำเสนอ แต่ถึงวันนี้ยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรเลย นอกจากการลงพื้นที่ของคุณสุเทพ คุณถาวร คุณอนุพงษ์ บ่อยๆ"

สุ้มเสียงชาวบ้านที่มีต่อรัฐบาลนี้...ไม่ต่างอะไรกับยุคก่อนที่ว่าประชาธิปัตย์เล่นการเมืองอย่างเดียว แต่ในแง่การปฏิบัติต้องปรับเปลี่ยนอีกเยอะ

ยิ่งสถานการณ์ปัจจุบัน ความกล้าที่จะเสี่ยงในการตัดสินใจดูไม่ค่อยเข้มแข็งสักเท่าไหร่ เหตุการณ์จังหวัดชายแดนใต้ ถ้ายังเป็นอย่างนี้...ไม่พยายามหักดิบ คิดว่าไปไกลแน่

"หักดิบ...ต้องกล้าที่จะหักมุมในการที่จะแก้ไขชัดเจน สมมติว่าจะให้ฝ่ายปกครองมีอำนาจมากขึ้นก็ว่ากันไป หรือจะให้ฝ่ายตำรวจซึ่งจะต้องดูแลในเรื่องความปลอดภัยในเมืองก็ว่ากันไป...ไม่ใช่ว่าทหารพลุกพล่านไปหมด แต่ไม่สามารถรักษาความปลอดภัยได้"

"ชาวบ้านเคยได้ยินนายทหารบางนายพูดว่า ผมดูแลถนนสายหลัก ถนนสายย่อยดูแลไม่ได้เพราะกำลังไม่พอ แสดงว่ากำลังหลัก ที่เดินลาดตระเวนบนถนนสายหลักก็แก้ปัญหาไม่ได้"

สร้างรั้วบังเกอร์แน่นหนา ไม่ได้ป้องกันความปลอดภัยให้กับประชาชน แต่ป้องกันเจ้าหน้าที่มากกว่า...

เหตุการณ์เกิดขึ้นทุกวัน...ต้นประเด็นปัญหาเป็นสิ่งที่ต้องเน้นย้ำ ต้องยอมรับว่ามีคนไม่น้อยที่คิดกันว่า...ปัญหามาจากขุมเงินอดีตนายกฯส่งมาป่วนใต้?

"ถ้าจะทำ...ก็ทำเฉพาะเรื่องการเมืองในกรุงเทพฯ การเมืองท้องถิ่นในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คงมาเกี่ยวข้องเพียงเล็กน้อย..."

เรื่องหลัก ยังเป็นการบริหารจัดการ กลไกรัฐที่ดูแลความมั่นคง

วันนี้ทหารค่อนข้างจะมีอำนาจมากเกินไป ทำให้ฝ่ายปกครอง ฝ่ายตำรวจต้องง่อยเปลี้ย...อ่อนแรงลง กลไกตำรวจ ฝ่ายปกครองมีถึงระดับหมู่บ้าน ตำบล ย่อยลงไปถึงกลุ่มหมู่บ้านเล็กๆ แต่กลไกทางทหารไม่มี กำลังพลจำนวนไม่น้อยก็มาจากต่างพื้นที่

"ความต่างมากมายเกิดขึ้น คิดถึงแต่จะแก้ปัญหาคอมมิวนิสต์ คิดแบบโบราณ เมื่อ 20-30 ปี...ไม่น่าจะใช่ทางแก้ปัญหาที่ดี"

อาจารย์อัฮหมัด สมบูรณ์ ย้ำว่า มวลชนทหารทำ เรื่องอาชีพทหารทำ เรื่องสิ่งแวดล้อมทหารก็ทำ แล้วเจ้าหน้าที่ปกติล่ะไปอยู่ที่ไหน ที่ควรจะเป็นต้องใช้ กลไกส่วนนี้ให้เป็นประโยชน์ในการคลี่ปมปัญหา

"ทหารก็บอกว่า...เจ้าหน้าที่ไม่กล้าลงพื้นที่ ก็ต้องถามว่าจริงหรือ? หรือว่าเป็นข้ออ้าง เพื่อให้เห็นแต่ภาพความหวาดกลัว ความหวาดผวา"

อบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ต้องมีประโยชน์ เพราะเจ้าหน้าที่รัฐกลุ่มนี้รู้จักคน รู้จักพื้นที่ดีอยู่แล้ว ทว่า...เหตุการณ์เจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่หลบชิดซ้าย ไม่ได้เพิ่งจะเกิดขึ้น แต่เกิดมานานแล้ว ตั้งแต่ยุครัฐบาลนายกฯทักษิณ...

ผ่านมาถึงวันนี้ ไม่มีอะไรดีขึ้น น่าจะชี้ชัดแล้วว่าแก้ปัญหาไม่ได้

"มูลเหตุหลักของปัญหา...ยังมาจากความเจ็บแค้น รัฐบาลไม่สามารถส่งสัญญาณดีๆในเรื่องของความเป็นธรรม การแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง

วันแต่ละวันที่เกิดขึ้นมีข้อสงสัยตลอด ใครทำกันแน่? ประชาชนก็ว่าทหารทำ...ตำรวจทำ ขณะเดียวกัน ทหารเองก็พยายามที่จะบอกว่า...กลุ่มขบวนการเป็นคนทำ"

จริงๆแล้วการแก้ไขปัญหา ถ้ายังวนอยู่ในอ่างอย่างนี้ มันแก้ไม่ได้หรอก การทำสงครามความคิด ทหารไม่ได้คิดเลย ตำรวจก็ไม่ได้คิดเลย...คิดเรื่องกำลัง ติดอาวุธอย่างเดียว

"แนวทางแก้ไขปัญหา เป็นการทำสงครามความคิดเหมือนสมัยคอมมิวนิสต์ แต่จะหนักกว่า เพราะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เกี่ยวเนื่องกับเรื่องอื่นๆอยู่ด้วย...ดินแดน ศาสนา วัฒนธรรม ความเชื่อ อัตลักษณ์ ที่ฝังลึกจนเป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์"

ท่ามกลางสุญญากาศระหว่างรัฐ...ประชาชน กลุ่มอิทธิพล กลุ่มของเถื่อน ยาเสพติด ธุรกิจมืด ก็เข้ามาผสมโรงแสวงประโยชน์ใช้เป็นช่องทางขยายงาน ขยายอิทธิพล

"ที่น่ากังวล...ทหารยิ่งอยู่นาน การสร้างอิทธิพลระดับพื้นที่ก็จะมีมากขึ้น หรือบางทีไม่แน่ว่า อาจเป็นเพราะกลไกรัฐที่ไม่ชอบทหารมีมากขึ้น หรือบางทีอาจเป็นเพราะกลไกที่ไม่ชอบทหารเป็นฝ่ายสร้างเองก็เป็นได้..."

ขณะที่รัฐเร่งโหมงบประมาณ ทุ่มกำลังพลลงไปดับไฟใต้ อีกมุมหนึ่งก็เหมือนเติมเชื้อไฟให้ยิ่งโหม...ทางออกที่เหมาะสมจะเป็นอย่างไร รัฐบาลประชาธิปัตย์ ผู้รู้ตื้นลึกหนาบางน่าจะรู้ดีอยู่แล้ว

อ่านต่อ...

วันจันทร์, กันยายน 14, 2552

เรือเหาะดับไฟใต้ ใคร?ลับลวงพราง‏

สถานการณ์รุนแรงจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังไม่มีท่าทีว่าจะสงบลงโดยง่าย กลุ่มผู้ก่อการยังคงเคลื่อนไหว ก่อเหตุ ได้ต่อเนื่อง สวนกระแสงบประมาณ...กำลังพลที่รัฐทุ่มลงไป
"เรือเหาะติดกล้อง" สนนราคา 350 ล้านบาท เป็นอีกหนึ่งความหวัง

ครม.มีมติอนุมัติงบประมาณกลางปี 2552 รายการกรณีฉุกเฉินและจำเป็น ตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) เสนอจำนวน 350 ล้านบาท เพื่อดำเนินการจัดหาระบบเรือเหาะ พร้อมกล้องตรวจการณ์ทั้งกลางวัน กลางคืน
ด้วยเหตุผลสำคัญ...ยังขาดยุทโธปกรณ์ตรวจการณ์อากาศ เพื่อปรับกลยุทธ์ ให้ทันต่อเหตุการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ระบบเรือเหาะเป็นเรือบอลลูนตรวจการณ์บนอากาศ จัดซื้อจากสหรัฐฯ แยกย่อยเฉพาะตัวเรือบอลลูน 260 ล้านบาท...ตัวกล้องส่องกลางวัน กลางคืน 2 ตัว 70 ล้านบาท...งบฯที่เหลือ 20 ล้าน ใช้จัดซื้ออุปกรณ์สื่อสารภาคพื้น สมรรถนะการลอยหรือบินอยู่ในอากาศ บินได้สูงพ้นรัศมีทำการของปืนเอ็ม 16 ข้อมูลเรือเหาะที่เห็นเป็นข่าว...ผ่านมาถึงวันนี้ถือว่าน้อยพอดู ที่ผ่านมาหลายฝ่ายจึงกังวลว่าจะสามารถใช้งานได้เหมาะสมกับพื้นที่ใน 3 จังหวัดภาคใต้หรือไม่ ที่น่าสังเกต ฝ่ายความมั่นคงโดย กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า แถลงมาตลอดว่า สถิติการก่อเหตุร้ายในพื้นที่ลดลง และสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในระดับที่น่าพอใจประกอบกับการทุ่มกำลังพลเพิ่มกว่า 6,000 นาย เข้าไปปฏิบัติการในหมู่บ้านสีแดง 217 หมู่บ้านในสามจังหวัด ภายใต้โครงการ "หมู่บ้านเสริมสร้าง สันติสุข" หรือ "หมู่บ้าน 3 ส." ตามยุทธศาสตร์เอาชนะที่หมู่บ้าน... เมื่อกำลังทหารมีอยู่ในหมู่บ้านสีแดงทุกแห่งแล้ว ฝ่ายที่เกี่ยวข้องจึงมีคำถามตามมา จำเป็นแค่ไหน ที่ต้องซื้อเรือเหาะเพื่อเอกซเรย์พื้นที่
"ยุทธการกลุ่มก่อความไม่สงบใช้วิธีก่อการร้ายในเมือง ไม่ทราบว่า...การใช้เรือเหาะจะป้องกันการก่อเหตุรุนแรงได้ตรงไหน..." แหล่งข่าวระดับสูงในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ตั้งข้อสังเกต "หากจะอ้างว่าใช้เพื่อป้องปรามการรวมตัวของบรรดาแนวร่วม ค้นหาแหล่งฝึก ก็ยังมีคำถามตามมา เรื่องประสิทธิผลของเรือเหาะอยู่ดี..." จุดเด่นของกลุ่มก่อความไม่สงบ คือเคลื่อนที่เร็ว หากจับภาพการรวมตัวประชุมกันของบรรดาแนวร่วมได้...จะไล่จับทันไหม ที่เกิดขึ้น...กลุ่มผู้ไม่หวังดีแฝงตัวอยู่ในหมู่บ้าน ชุมชน ปะปนกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้จัดตั้งเป็นกองกำลังที่มีฐานปฏิบัติการชัดเจนเพื่อต่อสู้ กับเจ้าหน้าที่รัฐ
"ที่ผ่านมา...ขนาดเจ้าหน้าที่เดินสวนกันในตลาด ยังไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนร้าย แล้วการใช้เรือเหาะขึ้นไปถ่ายภาพจะมีประโยชน์อะไร" ข้อกังวลสำคัญ เทคโนโลยีเรือเหาะตรวจการณ์ใช้มาตั้งแต่สงคราม โลกครั้งที่ 1 ไม่แน่ใจว่าจะมีประสิทธิภาพเท่าทันกับสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ปัจจุบันหรือไม่
"ที่ว่า...เรือเหาะเป็นเทคโนโลยีตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 ล้าสมัย เป็นการพูดความจริงแค่ครึ่งเดียว...ต้องการดิสเครดิต ปัจจุบันหลายประเทศก็ใช้ อย่างทุกวันนี้...กองทัพสหรัฐฯก็ใช้เรือเหาะติดตามกลุ่มผู้ก่อการร้ายในอิรัก อัฟกานิสถาน" ผู้สันทัดกรณีสายพิราบ เชี่ยวชาญด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารทั้งในและนอกประเทศ ยืนยันเรือเหาะมีข้อดีคือประหยัด ลอยเอื่อยๆ ได้นานๆ โอกาสตกน้อยกว่าพวกที่ใช้ใบพัดหรือไอพ่น
เรือเหาะในปัจจุบันมักใช้ในการรวบรวมข่าวกรอง ติดตามสังเกตการณ์ได้ในเวลานานๆ และบินได้นานกว่า UAV หรืออากาศยานไร้คนขับค่อนข้างมาก... มีกล้องถ่ายภาพกลางวัน และกล้องอินฟาเรดถ่ายภาพกลางคืน แล้วส่งข้อมูลเข้าสู่สถานีภาคพื้นดินด้วยเพดานบินสูงเป็นหมื่นๆ ฟุต...ปืน M16...อาก้า หรือจรวดต่อสู้อากาศยานแบบประทับบ่าก็ไม่น่าจะยิงโดน เพราะเรือเหาะแผ่รังสีความร้อนต่ำ ระบบจรวดตรวจจับไม่ได้ ที่คิดกันว่า RPG จะยิงตก ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีระบบนำวิถี สืบค้นข้อมูลเรือเหาะสายพันธุ์สหรัฐฯ จับตาไปที่รุ่น...Aeros 40 D Sky Dragon ทำการบินครั้งแรกในปี 2551 ได้ใบรับรองจาก FAA สหรัฐฯ กองทัพบกไทยน่าจะเป็นลูกค้าที่เป็นกองทัพรายแรกๆ ของ Sky Dargon
เว็บไซต์บริษัทผู้ผลิต ระบุว่า ลูกค้าที่ต้องการจัดหาไปใช้ในการลาดตระเวน สามารถใช้ประโยชน์จากความเงียบ และการที่เรดาร์ตรวจจับตัวเรือเหาะได้ยาก เนื่องจากตัวเรือทำจากผ้าใบ มีระบบสื่อสารที่สื่อสารกับหน่วยข้างเคียง เช่น เฮลิคอปเตอร์ เรือรบ หรือหน่วยภาคพื้นดินได้หลายหน่วย ด้วยการส่งข้อมูลในเวลาจริง (Real time) Sky Dargon ลำนี้ ตามสเปก...มีความยาว 46.6 เมตร ทำความเร็วสูงสุดได้ 82 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความสูง...สูงสุดที่ปฏิบัติการได้คือ 3,048 เมตร หรือ 10,000 ฟุต...อยู่บนอากาศได้นานที่สุด 24 ชั่วโมง ถ้าบินเดินทางด้วยความเร็วสูงสุด มีพิสัยปฏิบัติการ 563 กิโลเมตร ระยะเวลาบิน 6.5 ชั่วโมง ตัวเรือเหาะใช้เครื่องยนต์ Continental IO-240 B มีใบพัดแบบ 3 กลีบ 2 ชุด ที่ออกแบบมาให้ลดเสียงดัง Aeros 40 D Sky Dragon ทำการบินด้วยนักบินคนเดียวได้ และมีห้องโดยสารที่จุผู้โดยสารได้ 4-5 คน
ทรรศนะส่วนตัวผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารสายพิราบคนนี้ บอกตรงๆว่า...ยังไม่มั่นใจ การใช้เรือเหาะจะเป็นไอเดียที่ดีหรือเปล่า ภูมิประเทศสาม จังหวัดชายแดนใต้เป็นป่าทึบ แตกต่างจากตะวันออกกลางที่เป็นทะเลทราย...เปิดโล่ง ผนวกกับการก่อเหตุในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็แตกต่างกับในตะวันออกกลาง...ภาคใต้เป็นลักษณะของทหารบ้าน ไม่ได้รวมกันเป็นกลุ่มก้อนอยู่ตามฐานทัพที่เป็นหลักแหล่ง ลักษณะการก่อเหตุเกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่นาที หรือเกิดด้วยกลุ่มคนขนาดเล็ก ซุ่มโจมตี ซึ่งก็ใช้เวลาไม่นาน
"การก่อเหตุพื้นที่ในเมืองมักเป็นการวางระเบิด คนทำอาจแค่คน...สองคน ที่แทบจะแยกไม่ออกจากระบบตรวจการณ์ว่า คนไหนคือมือระเบิด ถ้าไม่มีการข่าวรองรับ" รายงานการปฏิบัติการกองทัพอากาศ วางกำลังในสามจังหวัดชายแดนใต้...กองกำลังเฉพาะกิจที่ 9 ระบุว่า หน่วยที่ร้องขอเที่ยวบิน ส่วนใหญ่จะขอเที่ยวบินในการถ่ายภาพ โดยเฉพาะเวลากลางคืน ปี 51 ปฏิบัติภารกิจถ่ายภาพเวลากลางคืนด้วยกล้องอินฟาเรด (FLIR) 77 เที่ยวบิน คิดเป็น 126.7 ชั่วโมงบิน...ปฏิบัติภารกิจถ่ายภาพในเวลากลางวันโดยใช้กล้องดิจิตอล 33 เที่ยวบิน คิดเป็น 48.6 ชั่วโมงบิน
แม้ว่าตัวเรือเหาะจะมีระบบตรวจจับที่ดีทั้งกลางวัน...กลางคืน ก็ไม่แน่ใจว่าจะทำให้ประสิทธิภาพการตรวจการณ์ที่ทำกันอยู่เพิ่มขึ้นมากแค่ไหน คุ้มค่ากับการใช้งานหรือไม่ ที่ไม่เข้าใจ และเป็นคำถามคาใจ ทำไม? กองทัพบกจึงเลือกระบบเรือเหาะที่มีคนขับ แทนที่จะเป็นระบบไร้คนขับ? "การใช้ระบบที่มีคน ก็ต้องเอาข้อจำกัดของคนใส่เข้าไปด้วย คนต้องกินข้าว ต้องเข้าห้องน้ำ มีเหนื่อยล้า...จะทำให้ระยะเวลาที่จะปฏิบัติการในอากาศลดลงจาก 24 ชั่วโมง" ก็ได้แต่หวังว่า...เหตุผลสำคัญที่ไม่ใช้ระบบบินอัตโนมัติ ไร้คนขับ UAV คงไม่ใช่...เพื่อลดค่าใช้จ่ายการจัดซื้อให้ต่ำลงมากที่สุด เท่าที่ติดตามข้อมูลต่อเนื่อง...หากเรือเหาะลำที่กองทัพบกรับมอบมีเลขทะเบียนการผลิต (Manufacturing Serial Number : MSN) เป็น "21" ตามที่ปรากฏอยู่ตรงแพนหางด้านท้าย ถ่ายโดยคุณ MoonZz โพสต์ไว้ในเว็บ Thaiflight.com เป็นไปได้ที่เรือเหาะนัมเบอร์ "21"...จะเป็นลำต้นแบบ ลำเดียวกับที่บริษัทผลิตเอาไว้ทดสอบ ให้ FAA ประเมิน..." ซื้อเรือเหาะลำต้นแบบแล้วถูกกว่าราคาจริง...ก็ถือว่าไม่หนักหนา เพราะในโลกนี้ ก็มีคนซื้อเครื่องต้นแบบก่อนผลิตจริงมาบินกันอยู่หลายกองทัพ หรือหลายสายการบินทั้งทหาร...พลเรือน" แต่ถ้าซื้อราคาเท่ากับปกติหรือแพงกว่าปกติ ก็ต้องมองไกลไปว่า กองทัพ...ลับ ลวง พราง จัดซื้อเรือเหาะ 350 ล้านลำนี้.

อ่านต่อ...

วันเสาร์, กันยายน 05, 2552

คืนที่โศกเศร้าแห่งเดือนประเสริฐ

รอมฎอน ที่ปะเสยาวอ คืนเศร้าหลังตราเวียะห์
วันจันทร์ ที่ 24 สิงหาคม 2552

ปัญญาชนคนข่าว การสูญเสียจากความรุนแรงด้วยน้ำมือของมนุษย์ในเดือนรอมฎอน เดือนแห่งความอดทน เดือนแห่งการรับบททดสอบ เดือนแห่งประเสริฐยิ่งสำหรับชาวมุสลิมทั่วโลก ยังคงปรากฏขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ แต่ครั้งนี้ชาวบ้าน 3 คน บาดเจ็บสาหัส จนเสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บอีก 2 ราย ตกเป็นเหยื่อ

เมื่อเวลาประมาณ 21.00 น.วันที่ 22 สิงหาคม 2552 เกิดเหตุการณ์ กราดยิงชาวบ้านที่บ้านปาตาบารัต ม.1 ต.ปะเสยาวอ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี หลังจากชาวบ้านเสร็จจากการละหมาดตารอแวะห์(ละหมาดที่มีเฉพาะกลางคืนในเดือนรอมฎอน) เกิดเหตุการณ์ขึ้นในบริเวณหมู่บ้าน ซึ่งเป็นพื้นที่ชายทะเล มีถนนเข้าออกทางเดียว จากการสอบถามชาวบ้านทราบว่า มีทหารพราน ชุด อส.ทพ.จากกรมทหารพราน ที่ 44 จำนวน 6 นาย เข้ามาลาดตระเวนในหมู่บ้าน โดยใช้รถกระบะ Isuzu Dmax cab บว 9345 สงขลา สีบรอนซ์ แล้วไปพบกับกลุ่มชาวบ้านที่เป็นทั้งเยาวชนและชายวัยกลางคนกำลังพูดคุย มั่วสุมยาเสพติด 6 คน (ตามการสอบถาม) จากการสอบถามกลุ่มวัยรุ่นที่อยู่ในเหตุการณ์ที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ ทราบว่าก่อนเกิดเหตุการณ์ทางกลุ่มวัยรุ่นเห็นเจ้าหน้าที่ 2 คน เดินลาดตระเวน เมื่อกลุ่มวัยรุ่นเห็นเจ้าหน้าที่ก็วิ่งหนี เจ้าหน้าที่จึงสั่งให้หยุด แต่ทางกลุ่มวัยรุ่นดังกล่าวกลับวิ่งหนีต่อ จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงจุดพลุเพื่อให้เห็นคนที่กำลังวิ่ง หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้ยิงปืนขึ้นฟ้า แล้วก็กราดยิงเข้าใส่กลุ่มชาวบ้านที่กำลังวิ่งหนี ส่งผลให้ชาวบ้านได้รับบาดเจ็บ 3 คน สาหัส 1 คน มีรายชื่อดังนี้
1. นายมาหามะสาเระ เจ๊ะเยะ อายุ 19 ปี
2. นายรอซาลี โต๊ะดี อายุ 41 ปี
3. นายนิมะ เจ๊ะเตะ ซึ่งนายนิมะ ได้รับบาดเจ็บสาหัส จนเสียชีวิตที่โรงพยาบาลปัตตานี เพราะกระสุนโดน
จุดสำคัญ
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ทหารพรานที่ 44 ก็ออกมาเพื่อจะขึ้นรถที่จอดไว้บนถนนในหมู่บ้านข้างมัสยิด ซึ่งมีทางเข้าออกเพียงทางเดียว ในระหว่างนั้นก็มีกำนัน ต.ปะเสยาวอ ออกมาเจรจา เมื่อเจ้าหน้าที่ทหารพรานเห็นกำนัน ก็ได้เอาปืน M16 จ่อไปที่กำนัน จากนั้นกำนันก็แนะนำตัวและเจรจากับเจ้าหน้าที่ทหารพราน จนทำให้เจ้าหน้าที่ทหารพรานยอมวางอาวุธลง หลังจากนั้นทางเจ้าหน้าที่ทหารพรานก็ได้เล่าเรื่องให้กับกำนันและชาวบ้านที่มามุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยฝ่ายทหารพรานบอกว่าเกิดการปะทะกันกับกลุ่มวัยรุ่นที่อยู่ชายทะเลดังกล่าว จากนั้นกำนันจึงประสานไปยังปลัดและนายอำเภอสายบุรี ทางกำนันจึงได้บอกให้เจ้าหน้าที่ทหารพรานเข้าไปในมัสยิด โดยมีชาวบ้านกำลังมุงดูเหตุการณ์ด้วยความโกรธ จำนวนประมาณ 100 คน เมื่อทางชาวบ้านจะถ่ายรูป ทางทหารพรานก็นำปืนไปจ่อที่ชาวบ้านหวังข่มขู่ไม่ให้ชาวบ้านถ่ายรูป เมื่อเวลาประมาณ 21.30 น. ก็มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองโดยนายอำเภอ ปลัด กำนัน ตัวแทนชาวบ้าน และผบ.ทหารพราน เจรจาเพื่อที่แก้ปัญหาร่วมกัน โดยนายอำเภอรับปากที่จะให้ความยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย จากการพิสูจน์หลักฐานในที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ ได้อ้างว่าพบอาวุธปืนไทยประดิษฐ์จำนวนหนึ่งกระบอก และเจ้าหน้าที่ยังอ้างอีกว่าอาวุธปืนที่พบเป็นอาวุธปืนชนิดเดียวกันกับที่ใช้ในการยิงปะทะกับเจ้าหน้าที่ จากหลักฐานดังกล่าวสร้างความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งต่อชาวบ้าน ชาวบ้านส่วนหนึ่งไม่พอใจทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ ซึ่งชาวบ้านต้องการที่จะให้นายอำเภอนำเจ้าหน้าที่ทหารพรานมาเจรจาร่วมด้วยกับตัวแทนชาวบ้าน ถึงสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดเหตุเช่นนี้ ในระหว่างที่เจรจาทางกลุ่มทหารพรานก็เดินออกจากในมัสยิดท่ามกลางที่ชาวบ้านกำลังมุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น การเจรจาได้ขอสรุปว่า ในวันที่ 23 ส.ค. ทางนายอำเภอจะให้ทางญาติของผู้เสียหายเข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ที่สถานีตำรวจ สภ.สายบุรี และวันนี้ (วันที่23 ส.ค.52) ชาวบ้านปาตาบาระ จำนวนหนึ่งได้เข้าไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ สภ.สายบุรี ในกรณีที่ชาวบ้านถูกเจ้าหน้าที่ทหารพรานกราดยิง ซึ่งเป็นผลทำให้ชาวบ้านได้รับบาดเจ็บสาหัส 3คน จนเสียชีวิตไป 1 ราย

อ่านต่อ...

วันพฤหัสบดี, กันยายน 03, 2552

ถล่มยิงโต๊ะอีหม่ามปัตตานี ดับพร้อมลูก 2 ศพ

ถล่มยิงโต๊ะอีหม่ามปัตตานี ดับพร้อมลูก 2 ศพ

3 กย. 2552 00:43 น.
พ.ต.อ.มนัส ศิกษมัต ผกก.สภ.เมืองปัตตานี รับแจ้งมีเหตุยิงกันเสียชีวิต บริเวณบนถนนปากทางเข้าเมืองปัตตานี ม.8 บ้านดือราแฮ ต.ตะลูโบ๊ะ อ.เมือง จ.ปัตตานี ตรงข้ามฐานชุดปฏิบัติการทหาร เฉพาะกิจที่ 23 จึงพร้อมกำลังตำรวจ และอส. ชุดไฟแสงสว่าง ,ชุดวิทยาการปัตตานี และชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพบรถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้า สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน กค 1134 ปัตตานี มีสภาพกระจกด้านข้างทั้งสองข้างและกระจกด้านหน้าแตกละเอียด มีรอยกระสุนพรุน
เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภายในรถพบศพผู้เสียชีวิต 2 ศพ บริเวณที่นั่งคนขับทราบชื่อ นายต่วนกามารูดิน นิยามา อายุ 13 ปี ส่วนคนนั่งข้างคนขับทราบชื่อว่า นายต่วนแอ นิยามา อายุ 57 ปี สองพ่อลูก อยู่บ้านเลขที่ 22/1 ม.7 บ้านตูตง ต.บาราเฮาะ อ.เมือง สภาพศพทั้งสองมีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนเอ็ม 16 ,อาก้า, และ 11 มม. บริเวณศรีษะ ใบหน้า และลำตัว เสียชีวิตคาที่ ส่วนลูกอีก 2 คน ที่นั่งหลัง คือนางต่วนฮัมเซาะ นิยามา อายุ 28 ปี และ ด.ญ.ยูไปรีย๊ะ นิยามา อายุ 12 ปี ปลอดภัย ที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนเอ็ม 16 อาก้า และ 11 มม.รวม 20 กว่าปลอก
จาการสอบสวนทราบว่า นายต่วนแอ ผู้ตายเป็นครูสอนศาสนาที่โรงเรียนสันติธรรมวิทยา ทุกปีเมื่อเข้าเดือนถือศีลอด ชาวบ้านจะเชิญเป็นโต๊ะอีหม่าม ละหมาดเดือนศีลอดที่มัสยิดตันหยงลูโล๊ะ ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 4 กม.ก่อนเกิดเหตุได้ออกจากบ้านพร้อมลูกๆรวม 4 คนไปละหมาดตอรอแว๊ะห์เดือนถือศิลอดตามปกติ เมื่อเสร็จแล้วจึงเดินทางกลับ แต่จะแวะบ้านญาติในหมู่บ้านที่เกิดเหตุ โดยมีนายต่วนกามารูดิน ลูกชายเป็นคนขับรถ
เมื่อขับตามถนนสาย 42 พอมาถึง ที่เกิดเหตุตรงข้ามฐาน ชป.ทหาร ฉก.23 ปากทางเข้าเมือง ได้เลี้ยวเข้าถนนในหมู่บ้าน ซึ่งมืดและเปลี่ยว จังหวะนั้นได้มีคนร้ายหลายคนไม่ทราบจำนวนได้ใช้รถยนต์ไม่ทราบชนิด ตามประกบหลัง พอช่วงที่รถผู้ตายเลี้ยวเข้า คนร้ายได้แซงด้านข้างและได้ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 อาก้า และ 11 มม. กระหน่ำกราดยิงทันที ทำให้รถผู้ตายจอดนิ่งเสียชีวิตทันทีทั้งพ่อและลูก 2 ศพ ส่วนลูกสาวอีก 2 คนที่นั่งเบาะหลังรอดจากกระสุนปืนอย่างหวุดหวิด ส่วนคนร้ายเร่งเครื่องหลบหนีไป และลูกสาวทั้งสองจะรีบนำพ่อและน้องส่งโรงพยาบาลแต่ปรากฏว่าเสียชีวิตแล้ว ส่วนสาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าเบื้องต้นเป็นเหยื่อสถานการณ์ใต้

ข้อมูลจากสายข่าว Patanipost รายงาน

อ่านต่อ...

วันพุธ, สิงหาคม 26, 2552

PANTUN PERJUANGAN


PANTUN PERJUANGAN

Kalau tuan mencedung padi Sawah padi di tepi rimba
Kalau tuan sungguh mengerti Tanah patani bumi pusaka
Hidup di rantau pakngah dan pakcu Menanam padi di dalam bendang
Kepada siapa hendak merayu Sudah dijajah dihina orang
Ciklah berniaga di pasar tani Menjual rokok sambil berdiri
Sungguh malang melayu patani Menjadi hamba di bumi sendiri
Kucing jantan tidak bertuan Mencari makan ikan dan tulang
Orang patani hidup berkeliaran Di sana sini di rantau orang
Masjid kerisik pintu gerbang hang tuah Kesan sejarah warisan pusaka
Beginilah nasib orang dijajah Jiwa tertekan badan tersiksa
Kalau tak tahan hidup tersiksa Biar putih tulang jangan putih mata
Kalaulah kita ingin bahagia Mari berjuang menuntut merdeka
Rela mati rela terkorban Asalkan marwah disanjung tinggi
Kalau melawat ke batu pahat Awas diserang oleh serigala
Pahlawan patani bukan penjahat Kami pejuang pembela bangsa
Tanah Melaka negeri hang tuah Melaka terkenal bumi pahlawan

Bumi patani tanah bertuah Dengan merdeka rakyat cemerlang

อ่านต่อ...

วันอังคาร, สิงหาคม 25, 2552

ชนชาติไทย มาแย่งดินแดนละว้า, มลายู ฯลฯ



ชนชาติไทย มาแย่งดินแดนละว้า, มลายู ฯลฯ
คอลัมน์ สยามประเทศไทย
โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ

ถ้าเชื่อตามบทเพลงดนตรีประวัติศาสตร์ ของ หลวงวิจิตรวาทการ (พิมพ์เมื่อ พ.ศ.2482 ปีที่เปลี่ยนชื่อสยามเป็นประเทศไทย) ชนชาติไทยถอยหนีจากน่านเจ้าลงทางใต้เข้าถึงดินแดนละว้า, มลายู, ขอม, เขมร ฯลฯ แล้วต้องเป็นข้าทาสของขอม จนถึง พ.ศ.1800 ถึงได้ "ตีขอม" แล้วตั้ง "นครสุโขทัย" ขึ้น ดังบทเพลงดนตรีมีดังต่อไปนี้


พวกไทยน้อยเมื่อถอยจากน่านเจ้า ก็เดินเข้าเขตต์สุวรรณภูมิใหญ่
ตั้งเป็นถิ่นหลักฐานกันต่อไป ชื่อสิบสองจุไทยทางเบื้องบน
การเคลื่อนที่ของไทยไม่หยุดยั้ง เหมือนน้ำหลั่งไหลท่วมทุกแห่งหน
ไหลเข้าแดนขอมละว้ามาปะปน กล้าประจนสู้ภัยได้เขตต์ครอง
ชั่วเวลาราวห้าหกร้อยปี ไทยทวีเพิ่มเข้าเป็นเจ้าของ
เขตต์สุวรรณภูมิใหญ่ไทยเข้าครอง เหมือนน้ำนองท่วมทั่วทุกตำบล
แดนเขมรแดนละว้ามะลายู ไทยเข้าอยู่กำกับไม่สับสน
เลือดของไทยหลั่งไหลเหมือนสายชล เข้าปะปนเปลี่ยนเลือดละว้าเดิม
เลือดของไทยเข้าไปปนเขมร ทำให้เด่นเกียรติไทยได้ส่งเสริม
เลือดเขมรปนไทยไกลจากเดิม ไทยยิ่งเพิ่มเขมรกลายเป็นไทยแท้
สมัยเดียวกับพระอโนรธา ขุนบรมไทยกล้าอำนาจแผ่
ตั้งอาณาจักร์ใหม่ของไทยแท้ ชื่อลานช้างตั้งแต่ครั้งกระนั้น
เวลาล่วงมาได้อีกไม่ช้า ก็มีแคว้นลานนาขึ้นตั้งมั่น
เชียงแสนหลวงรุ่งเรืองเมืองสำคัญ หลักไทยมั่นรวมกำลังตั้งนครเริ่มสมัยสุโขทัย
ไทยข้างใต้ยังอยู่ในอำนาจขอม เราต้องยอมเป็นข้าเขาไปก่อน
ถึงปีพันแปดร้อยไทยน้อยจร เข้าตีขอมตั้งนครสุโขทัย
อันนามเดิมที่กระเดื่องของเมืองนี้ ชื่อ "สยามธานี" เป็นเมืองใหญ่
ครั้นเปลี่ยนนามมาเป็นกรุงสุโขทัย ชื่อ "สยาม" หายไปจากถิ่นเรา
เนื้อความในบทเพลงของหลวงวิจิตรฯ แสดงว่าดินแดนประเทศไทยทุกวันนี้มีเจ้าของเดิมตั้งแต่ดึกดำบรรพ์คือ ละว้า, มลายู, ขอม, เขมร, ฯลฯ (พวกชาตินิยมพยายามจะบอกว่าขอมกับเขมรเป็นคนละพวก) ชนชาติไทยไม่ใช่เจ้าของเดิม แต่เป็นพวกหนีลงมาจากทางเหนือ แล้วแย่งดินแดนของเจ้าของเดิมมาเป็นของตัวสืบจนทุกวันนี้
แนวคิดของหลวงวิจิตรฯคือต้นแบบประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทยที่ใช้สืบต่อมานานตราบจนทุกวันนี้ มีใช้เป็นตำราในกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงวัฒนธรรม แต่พากันแกล้งลืมสิ่งที่หลวงวิจิตรฯบอกไว้ว่าชนชาติไทยมาแย่งดินแดนของเจ้าของเดิม เช่น มลายู ฯลฯ
คำถามมีว่าสังคมไทยปัจจุบันและอนาคตจะเขียนประวัติศาสตร์ของตัวเอง อย่างหลวงวิจิตรฯ หรืออย่างอื่นที่ต่างจากหลวงวิจิตรฯ โดยมีพยานหลักฐานยืนยันหลากหลายว่าบริเวณประเทศไทยเป็นของ "ประชาชาติ" หรือ "นานาชาติพันธุ์สุวรรณภูมิ" มาแต่ดึกดำบรรพ์ไม่น้อยกว่า 3,000 ปีมาแล้ว คนไทยและความเป็นไทยก็เป็นส่วนหนึ่งของประชาชาติหรือนานาชาติพันธุ์สุวรรณภูมินั่นเอง

อ่านต่อ...

วันจันทร์, สิงหาคม 24, 2552

Masyarakat "Melayu" Sangat duka cita


Panggil "Siam"kepada Masyarakat "Melayu" Sangat duka cita

PATANI DARUSALAM: - Masyarakat Melayu Patani yang dijajah oleh Thailand merayu rakyat Malaysia supaya tidak memanggil masyarakat Melayu di negara jiran dengan panggilan 'Orang Siam' yang disifatkan sebagai menkafirkannya.
Beliau berkata panggilan 'orang Siam' kini menjadi kebiasaan di kalangan masyarakat di Malaysia yang merujuk kepada masyarakat Melayu di emapat wilayah selatan Thailand.

Menurutnya, Masyarakat Melayu di negara ini lebih selesa dipanggil orang Melayu, kerana bagi orang awam panggilan "Siam" disamakan dengan "Kafir", dan 'Melayu' disamakan dengan "Islam" justru itu apabila seorang Siam memeluk Agama Islam" dipanggilnya orang siam "Masuk Melayu". Tapi bagi Pejuang Pembebasan Patani tidak mahu dipanggil orang Siam atau Thai kerana mereka tidak mengaku bahawa diri mereka orang Siam atau Thai Muslim.
Menurutnya kenapa pihak berkuasa Thailand selalu menyebut Thai Muslim kepada orang Melayu Patani kenapa tidak pernah menybut Thai Buddha kepada orang Siam apakah artinya itu ?.
Berdasar kepada beberapa hal tersebut, bagi masyarakat Melayu Patani apabila dipanggil orang Siam kepadanya merasa sangat-sangat keciwa.

Bagaimanapun sudah hampir satu abad lamanya Thailand menjajah Patani, namun bagi masyarakat Malayu Patani, tidak pernah merasa dirinya sebagai orang Siam atau Thai, sebaliknya masyarakat Siam atau buddha yang berada di empat wilayah selatan masih belum mengaku bahawa kami orang Thai mereka memanggil orang Melayu Patani ialah (kun kek) yakni orang asing.

Menurut beliau penjajah Thailand berkerja keras untuk menghapuskan bahasa melayu dan Bangsa Melayu di empat wilayah selatan, namun sampai saat ini belum juga terhapus, walaupun bahasa melayu di Patani tidak berkebang seperti di Malaysia dan Idonesia kerana dipondok- pondok masih mengajar kitab-kitab lama, tapi di sekolah-sekolah Agama bahasa melayu lebih maju sedikit. - PINA

อ่านต่อ...

Perjuangan Patani adalah Jihad Fisabilillah


Perjuangan Patani adalah Jihad Fisabilillah

Sejak mutakhir ini pihak penjajah Thai dengan bantuan kuncu-kuncu Melayu telah mempergiatkan agenda menghancurkan akhlak dan budaya umat Islam/Melayu Patani.Sudah sering kali diatas alas an seminar dan pelbagai dalih lagi membawa para isteri ulama-ulama kaBangkok dan ada sampai mengadakan lawatan kaLaos.Mereka ditempatkan diHotel lima bintang dan diberi makanan yang tak tau asal usul di hotel-hotel tersebut.Pegawai-pegawai yang melayani para isteri-isteri ini terdiri dari pemuda-pemuda kacak yang terlatih untuk menggoda perempuan.Begitu juga dengan anak-anak muda perempuan dikampung-kampung.Mereka sentiasa di goda oleh tentera Thai yang kacak-kacak.Kebanyakan mereka terjebak dengan maksiat sehingga mengandung anak haram.
Dari segi kebudayaan pula mereka menggunakan berbagai taktik dengan memperalatkan ulama-ulama jahat.Baru-baru ini Maahad pengajian Islam Teluban( Islam Saiburi Witya) dibawah pimpinan Nik dir Waba atau Paksu Dir telah mengadakan majlis pertandingan pakaian cantik dan pertandingan menari bagi pelajar-pelajar perempuan. Ibubapa pelajar yang terlibat diberi sagu hati wang!!! Sekolah ini telah dipilih sebagai sekolah contoh oleh penjajah Thai.Sering mendapat peruntukan kewangan yang banyak setiap tahun.Mereka juga memberi bantuan yang besar kapada mana-mana sekolah yang akur dengan Program penjajah.Kebanyakan sekolah-sekolah ini dimiliki oleh puak-puak Wahabi.

Golongan Wahabi dan Kuncu-kuncu Nik Dir Waba lah yang paling kuat mengeluarkan fatwa bahawa jihad di Patani sekarang ini tidak syarii dan haram di sokongi.Jika mati dalam menentang penjajah Thai maka mereka mati sebagai mati katak!!! Mereka ini menentang kononya perjuangan sekarang ini Assobiah Nasionalisma dan zalim membunuh orang-orang tak berdosa.Mereka ini lah wabak selsema babi yang sebenar.Mereka lebih bahaya dari Tentera Siam dan Selsema Babi.

Merekalah golongan yang digelar oleh penjajah Thai sebagai Thai Musilim.Dan mereka bangga dengan gelaran tersebut. Kalau tidak takkan mereka marah bila pejuang-pejuang mengaku mempertahan kan Bangsa melayu sebagai salah satu wadah perjuangan.Munkin mereka malu kerana pihak penjajah Thai menggelar bangsa melayu sebagai EKEK atau orang asing.

Munkin golongan ini menyokong diatas apa yang di lakukan oleh Tentera Thai terhadap anak-anak perempuan kita.Sehingga ini tidak ada satu bantahan dan ingatan dari ulama-ulama mereka kapada ummah terhadap issu ini.Rekod kahwin terpaksa dintara Siam-Melayu ada tercatat di tiap-tiap Majlis Ugama Islam Wilayah-wilayah tertentu.

Dimedan perjuangan pula beberapa pemimpin Partai-partai tertentu(yang sudah tak ada rakyat) sedang sibuk mengumpul ‘team’ untuk memulakan dialogue dengan pentadbiran Abhisit. Mereka ini demi kepentingan peribadi nampaknya tidak peka langsung dengan perjuangan yang di hadapi oleh rakyat Patani.Termakan dengan pujukan Negara Asean,OIC dan NGO Scandinavia dan EU mereka Nampak begitu ghairah dengan usaha –usaha damai Autonomi.Adalah perlu diingatkan.mereka boleh meneruskan dengan agenda yang mereka yakini.Tapi Jangan cuba memujuk Partai-partai dan individu yang tidak minat untuk ikut serta .Teruskan lah dengan rancangan yang telah di atur.Jangan cuba mula kan perpecahan dikalangan pejuang-pejuang.Jangan memulakan fitnah-fitnah yang sering di lakukan masa dahulu.Kekalkan setiakawan diantara kita sesama orang Patani baik yang berada di Malaysia ,Saudi atau Eropah.

Kita bimbang mereka-mereka yang terlalu ghairah ini sudah diupah oleh orang-orang atau kuasa tertentu untuk memujuk semua pihak yang ada!!! Kalau dilihat cara mereka bergerak kasana kamari dan sentiasa tinggal di Hotel-hotel lima bintang seolah –olah bertaraf Menteri amat di ragui.

Percayalah saudara-saudara, walau apa yang di janjikan oleh penjajah Thai terhadap Asean mereka tidak berminat untuk duduk semeja dengan kita dan mengadakan perjanjian.Selagi Pihak tentera masih berkuasa di Patani usah di harapkan orang –orang politik Thai boleh menguasai suasana .Mereka sentiasa di halang oleh tentera Thai. Sejak dua minggu ini apabila kuat khabar angin mengatakan pihak pejuang sudah bersetuju untuk berunding mereka sengaja menembak orang-orang melayu,supaya timbul keraguan dari pihak perunding-perunding melayu tentang kejujuran Siam.

Jadi daripada membuang masa kearah usaha damai yang rakyat belum bersedia lebih baik kita perkemaskan Saf, perbanyak pejuang-pejuang dan senjata bagi menentang penjajah secara bersungguh-sungguh.

Tentang perjuangan Mujahidin Patani tidak diragui lagi sebagi satu Jihad fi Sabilillah.Kemerdekaan dan Bangsa adalah wasilah-wasilah yang dipilih dan di fikir sesuai untuk masa ini. Slogan Patanikini ialah ‘Mempertahankan Hak Melayu dan Ketuanan Islam’ bukan sebaliknya.Jihad fi sabilillah adalah bulat hati berharap dan yakin pada Allah swt, baru jadi jihad yang sebenar.Tentang tuduhan perjuangan ini Assobiah Nasionalisma adalah alasan bagi golongan yang menolak Jihad menegakkan Islam dibumi Patani.Dan juga alas an bagi orang-orang yang dulunya Melayu tapi sudah sesat identity sekarang mengaku Thai Muslim .Mereka-mereka lebih rela mempertahankan Samanachan dan Raja Siam Budhha dari bersama-sama Mujahidin Patani.

Pejuang Patani tidak pernah membunuh rakyat sendiri yang tidak berdosa.Kami hanya membunuh tentera Thai dan talibarutnya yang benar-benar di kenal pasti.Kadang-kadang Tentera Siam membunuh orang-orang melayu dan menuduh kami melakukannya dengan fitnah yang sengaja di ada-adakan.

Orang Islam juga disogokkan dengan asakan Demokrasi.Bekas Ketua turus Tentera Thai ,SONTHI BONYARATGLIN telah menubuhkan partai baru yang berasaskan Islam.Nama partai ialah MATUBHUM.Ianya satu lagi cara bagi melekakan umat Islam melayu supaya leka dengan agenda penjajahThai.

Jangan lupa sejak lima tahun yang lalu lebih US$ 25 billion hasil minyak dan gas kita telah di faraid kan antara Malaysia Dan Thailand. Takkan mereka akan membiarkan dengan mudah hasil pendapatan mereka di rampas!!!!

Dengan itu umat Islam/Melayu hendaklah menfokuskan perjuangan kita membebaskan tanah air dari penjajahan Thai Budhha. Janganlah terperangkap dengan apa-apa agenda yang mereka lempar.Mereka sering memperalatkan Thai muslim yang asalnya Melayu bagi melengah-lengahkan Jihad kita.

هُوَ ٱلَّذِىٓ أَرۡسَلَ رَسُولَهُ ۥ بِٱلۡهُدَىٰ وَدِينِ ٱلۡحَقِّ لِيُظۡهِرَهُ ۥ عَلَى ٱلدِّينِ ڪُلِّهِۦ وَلَوۡ ڪَرِهَ ٱلۡمُشۡرِكُونَ

Dialah yang telah mengutus RasulNya (Muhammad) dengan membawa petunjuk dan agama yang benar (agama Islam), untuk dimenangkan dan ditinggikannya atas segala agama yang lain, walaupun orang-orang musyrik tidak menyukainya. Taubah 33


อ่านต่อ...

วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 20, 2552

Kenapa masyarakat Islam Patani wajib berjuang?


Kenapa masyarakat Islam Patani wajib berjuang?

1-Kerana Negara Patani dirampas dan dijajah oleh kafir Siam.
2-Kerana Bangsa Melayu Patani ditindas oleh bangsa Siam kafir

Berdasarkan kepada dua sebab di atas, umat Islam Melayu Patani lelaki, perempuan, tua dan muda wajib menunaikan kewajipan-kewajipan mereka iaitu, berusaha sedaya upaya membebaskan Negara mereka yang diceroboh, dirampas dan dijajah oleh musuh. Dalam kata yang lain, kewajipan menghalau Siam dari Negara Patani adalah fardu ‘ain bagi setiap warga Patani.Dalam kitab “ mughni al-muhtaj dan fiq al-sunnah” menyebut
’مغني المحتاج 274/4. وفقه السنة 365/3
Maksudnya:Sejengkal bumi atau Negara orang Islam diceroboh, dirampas sudah menjadi fardu ‘ain atas umat Islam yang tinggal di Negara itu dan yang tinggal berhampiran sekelilinggnya untuk berjihad dan berjuang menghalau musuh-musuh itu.Kewajipan-kewajipan itu adalah:
1-Kewajipan berperang untuk menegakan dan meninggikan agama Allah.
2- Kewajipan berperang untuk membebaskan dan membela bangsa yang tertindas.
3-Kewajipan berperang bagi semua golongan rakyat, iaitu perang rakyat semesta atau perang rakyat menyeluruh.
4-Kewajipan berperang untuk memerdekakan tanah air dan menghapuskan segala kezaliman (imprialisme dan kapitalisme) dalam negeri sendiri.
5- Kewajipan untuk mendiri dan membentuk pemerintahan Islam dalam rangka membangun masyarakat yang adil dan makmur.
6- Kewajipan untuk melaksanakan dan menjalankan hokum syariat Islam di Negara Patani. Apa hukum orang Melayu Islam Patani yang tidak mahu berjihad dan berjuang?
Orang Islam Melayu Patani yang tidak mahu berjuang, mereka tergolong dalam 3 golongan, iaitu: sekurang-kurangnya Fasiq atau Murtad atau Munafiq. Kerana mereka tidak melaksanakan fardu ‘ain.
Fasiq :
قال الشوكاني هو الخروج عن الطاعة وتجاوز الحد بالمعصية
Kata al-syukani: munafiq ialah orang yang keluar dari ketaatan dan melampaui batas dalam melakukan maksiat. Para ‘ulama’ berpendapat bahawa sifat fasiq adalah haram dan dilarang oleh syara‘, kerana orang fasiq telah keluar dari ketaatan kepada hukum Allah, meninggal suruhan dan melaksanakan larangan. Dan mereka berpendapat bahawa “ tidak boleh duduk dan makan bersama orang fasiq kerana dia tergolong dalam golongan orang zalim, dengan alas an firman Allah
:ولاتركنوا إلى الذين ظلموافتمسكم النار
Maksudnya : “ Dan janganlah kamu cenderong kepada orang-orang yang zalim yang menyebabkan kamu disentuh api neraka”(surah hud 11:113)
Dari hadis nabi, sabda Rasulullah:
لاتصاحب إلا مؤمنا ولا تأكلوا طعاما إلا تقى
Maksudnya : “Janganlah kamu berkawan selain dari orang-orang yang beriman dan jangan kamu makan bersama melainkan orang yang bertaqwa”.
Dari hadis yang lain, Rasulullah bersabda:
الرجل على دين خليله, فلينظر أحدكم من يخلل
Maksudnya:“ seorang itu mengikut agama saudaranya, maka lihatlah seseorang dari kamu siapa yang mereka berkawan”.
Murtad: ialah kufur atau keluar dari agama Islam.Dalam buku “ Almausu‘ah al-Fiqhiyah” keluaran “ Menteri wakaf dan urusan Islam Kuwait” ada menyebut bahawa sebab-sebab yang menyebabkan seorang itu jadi murtad ada 4 sebab:- I. Pegangan atau ‘itiqad II. Perkataan III. Perbuatan dan IV. Tidak melaksanakan suruhan
Munafiq ialah:
i. Orang yang pura-pura beriman dengan Allah dan Rasulullah sedangkan hati mereka tidak beriman.
ii. Perangai orang munafiq adalah bermuka dua, mengaku beriman pada hal hatinya ingkar. Mereka ini hanya beriman di mulut sehaja, perbuatan dan amalan harianya dilihat baik tetapi semua tipu daya sehaja.
iii. Di antara tanda-tanda orang munafiq adalah:-
a:- Mulut tidak sama dengan hati.
( يقولون بأفواههم ماليس في قلوبهم )
b:- Lebih suka memilih orang kafir untuk menjadi kawan dan penulong.Firman Allah:
الذين ينخذون الكفرين أولياء من دون المؤمنين أيبتغون العزة عندهم فإن العزة لله جميعا
Maksudnya : “Orang-orang yang mengambil orang-orang kafir menjadi teman-teman atau penulong dengan meninggalkan orang-orang mukmin. Apakah mereka mencari kekuatan di sisi orang kafir itu? Maka sesungguhnya semua kekuatan kepunyaan Allah.(surah al-Nisa’ 4:139)
c:- Bila diajak tunduk dan melaksanakan hokum Allah dan Rasulullah dia tidak mahu.
وإذا قيل لهم تعالوا إلى ما أنزل الله وإلى الرسول رأيت المنفقين يصدون عنك صدودا
Maksudnya : “ apabila dikatakan kepada mereka: “ marilah kamu (tunduk) kepada hukum yang Allah telah turunkan dan kepada hukum Rasul” niscaya kamu lihat orang-orang manafiq menghalangi (manusia) dengan sekuat-kuatnya dari (mendekati) kamu.
d:- Mendirikan solat dengan hati yang malas.
.إن المنفقين يخدعون الله وهو خدعهم وإذا قاموا إلى الصلوة قاموا كسالى يراءون الناس ولا يذكرون الله إلا قليلا
Maksudnya : “ sesungguhnya orang-orang munafiq itu menipu Allah, dan Allah akan membalas tipuan mereka. Dan apabila mereka berdiri untuk solat mereka berdiri dengan malas. Mereka bermaksud riya di hadapan manusia dan tidaklah”
e:- Berdusta bila berkata, menyalahi janji dan tidak beramanah.
" آية المنافقين ثلاثة إذا حدث كذب, وإذا وعد أخلف, وإذا أوءتمن خان"
Maksudnya : Tanda-tanda orang munafiq ada 3, iaitu:- i.Selalu bercakap dusta ii. Selalu mungkir janji, dan iii.Mengkhianati amanah atau pecah amanah.
Kesimpulan : Orang-orang Melayu Islam Patani yang tidak berjuang, jelas dan nyata tergolong dalam golongan:
1- Orang fasiq, kerana tidak melaksanakan fardu ‘ain.
2- Jika manafi fardu jihad atau berjuang di Patani atau mengejek-ngejek atau menghina pejuang-pejuang Islam Patani maka jadi murtad atau kufur, kerana ia menafi fardu ‘ain dan menghina orang yang menunaikan hukum Allah dan Sunnah Rasulullah.
3- Dan jika berpura-pura bersikap sebagai orang yang beragama dan berjuang, sedangkan hanya untuk bertopeng sehaja, hatinya menentang dan terikat dengan kafir Siam, lebih-lebih lagi membongkar dan membuka rahsia pejuang Islam kepada kafir Siam, maka jelas dan nyata orang itu adalah munafiq.
Renungan : Hai orang-orang yang beriman! Jagalah dirimu dan krluargamu dari api Neraka. “ maksud ayat al-Quraan”.Kekuarga kita, anak istiri kita tidak menunaikan Solat, tidak Puasa kita marah dan kita pukul. Tetapi anak istiri kita, keluarga kita tidak berjuang menuntut kembali hak ketuanan bumi Patani kita tidak pernah marah dan tidak pernah kita pukul bahkan kita rasa biasa. Sedangkan berjuang, Solat dan Puasa adalah sama-sama fardu ‘ain. Mengapa dan kenapa?!!


อ่านต่อ...

วันพุธ, สิงหาคม 12, 2552

Trajedi bechah airong dimana Abhisit,Malaysia dan OIC ?



Trajedi bechah airong dimana Abhisit,Malaysia dan OIC ?

Ketika Abhisit vejjajiva melawat PutraJaya dan cuba meyakinkan Malaysia bahawa kerajaan Thailand telah mengubah sikap dan cuba berbaik-baik dengan anak jajahnya Patani Darussalam. Di samping itu pihak tenteranya telah menjalankan kerja ganas yang menjadi kebiasaan harian mereka.




11 orang penduduk kampung air tempayan,bechah airong(choairong) telah dibunuh dan lebih sepuluh lagi cedera parah ketika mengadakan solat jemaah isya didalam masjid !!!!. Cuba mereka-reka cerita mengata kan para pejuang yang menembak orang sendiri tapi masyarakat tempatan dan seluruh umat islam Patani dengan Jelas mengetahui bahawasa tentera penjajah Thai lah yang melakukan pembunuhan beramai-ramai itu. Kekejaman saperti ini adalah routin harian mereka Apabila mereka kecewa tak dapat membalas tindakan pejuang-pejuang keatas tentera mereka. Kejadian ini adalah menjadi satu lagi bukti bahawa penyelesaian dan kedamaian yang dilaung-laung kan oleh penjajah Thai adalah satu sandiwara lapok yang sentiasa dimainkan untuk mengeliru dan membohongi pentadbiran Malaysia,Indonesia dan OIC. Dan penerima-penerima ini sentiasa mempercayai DRAMA THAILAND itu.
Persidangan OIC baru sahaja selesai di Damascus,Syria dengan memberi seribu harapan kapada sebahagian pemimpin pejuang Patani bahawa satu hari nanti(apabila diberi taraf pemerhati oleh OIC) badan Dunia ini akan menyelesaikan masaalah mereka. Pihak berkuasa Malaysia pun sebelum ini sering (dengan kerjasama setengah-setengah pemimpin pertubuhan pembebasan Patani) memujuk dan mendesak pejuang-pejuang supaya menghentikan kebangkitan dan perjuangan bersenjata dan memulakan rundingan damai. Setakat ini hanya disambut positif oleh kumpulan-kumpulan yang tidak berminat untuk meneruskan gerakan kebangkitan lagi.
Kenapa harus kita percaya pada OIC yang telah memberi ruang kapada penjajah Siam sebagai taraf pemerhati sedang umat Islam Patani dianak tirikan!!!!
Pembunuhan kejam keatas umat islam di masjid Al-furqan ini menutup segala harapan yang ada untuk penyelesaian damai.Perjuangan bersenjata akan di teruskan dengan bergantung pada pertulungan allah swt semata(kerana Negara jiran hanya berminat untuk mengorek minyak dan gas Patani sahaja!!). Jika peristiwa ini tidak menjadi pembuka mata kapada pentadbiran Malaysia dan Indonesia maka peluang untuk membantu ugama dan anak bangsa sendiri akan terlepas untuk jangka masa yang lama.Ini bukan amaran tapi satu peringatan ulangan!!! Kesediaan untuk berunding bukan bermakna mesti mengadakan gencatan senjata.Kerana jika kita berurusan dengan penjajah Thai perjanjian adalah menjadi alasan untuk mereka berbohong.

Ketika Sorayud (kerajaan kudita yang lalu) mula-mula menjadi Perdana Menteri beliau telah menangis didepan rakyat Patani dan meminta maaf diatas kejadian pembunuhan beramai-ramai di Tabal dan masjid kerisik 2004! Beliau juga berjanji untuk menyiasat dan membawa ka pengadilan keatas orang-orang yang bertanggung jawab mengarah pembunuhan tersebut. Tetapi pada 29hb mei 2009 mahkamah awam di Senggora telah memutuskan bahawa tidak ada siapa-siapa pun yang bersalah dalam peristiwa pembunuhan Tabal dan masjid kerisik !!!!!. Beginilah caranya penjajah Siam mempermain kan dunia luar terutama OIC dan pentadbiran Malaysia.
Sekarang ini kita berhadapan dengan situasi yang paling kritikal.Kemarahan umat Islam Patani sudah meluap-luap.Kalau dahulu para Mujahidin bertindak mengikut garisan yang ditetapkan oleh pimpinan dan majlis syura Ulama. Tapi kini adalah dibimbangi rakyat Patani akan mengambil tindakan melulu tanpa mengambil nasihat dari pimpinan.Dan untuk memburukan lagi suasana munkin pihak tentera Thai akan mengambil kesempatan dari suasana ini.
Untuk pengetahuan pembaca dari luar Patani.Tentera Thai ini sering menciptakan suasana palsu di selatan demi menekan kerajaan Bangkok menambah peruntukan perang.Wang ini kebanyakannya di songelap oleh Jenderal-jenderal berkenaan.
Pejuangan umat Islam Patani adalah perjuangan yang paling sukar dan rumit didunia.Kalau dibanding kan dengan perjuangan rakyat Palestine mereka disokong oleh seluruh Negara-negara Arab,seluruh Negara-negara Islam dan sebahagian dunia barat.Mereka mendapat bantuan kewangan dari segenap pelusuk Negara-negara penyokong.Tapi sebaliknya perjuangan Patani yang insiden-insiden nya sekarang lebih intense dari Iraq tidak di bela oleh bangsa sendiri saperti Malaysia,Indonesia dan Brunai Darusssalam.Tidak di sokong oleh Negara-negara islam dunia kecuali satu dua simpati.
Bahkan kalau di Malaysia sebahagian pejuang dilayan mengikut selera dan arahan penjajah Thai.
Sudah banyak kali peristiwa penangkapan pejuang-pejuang Patani yang dijalan kan atas kerjasama Polis Malaysia dan polis Thai.Beberapa orang pejuang saperti assyahid saudara tengku Ismail dan Assyahid saudara Nasir yang ditangkap dikediaman mereka diMalaysia dengan kerjasama Polis Malaysia dan bila masuk kaBumi Patani sahaja di bunuh dengan kejam.Kemudian pihak penjajah Thai meletakkan senjata disisi mereka untuk ditonjolkan pada peti talivisyen!!!!!
Wahai umat Islam dimana sahaja berada.Percaya lah ‘bila allah melarang kita mengambil orang-orang kafir sebagai kawan dengan meninggalkan saudara islam maka jika kita melanggar perintah ini tunggulah balasan allah!!!!! ‘.
Ini seruan jihad fisabillillah .Bukan sahaja untuk Patani bahkan untuk umat Islam yang masih dibelenggu kegelapan.

ALLAHUMMA SOLLI ALA MUHAMMAD WA AALI MUHAMMAD.



Sejak peristiwa pembunuhan kejam di masjid al-furqan Bechah airong pihak penjajah Thai telah berbalah sesama sendiri tanpa henti-henti. Ini bermula apabila terbungkarnya rahsia bahawa pihak tentera lah yang merancang pembunuhan kejam ini bertujuaan untuk meng sabotajkan Abhisit vejjajiva Perdana Menteri Thailand yang sedang berada di Malaysia ketika itu. Perancangan ini bermula apabila kerajaan Abhisit meluluskan peruntukan sebanyak 76 billion baht bagi pembiayaan pembangunan di tiga wilayah Patani,Jala dan Naratiwat. Kerajaan Abhisit telah mengumumkan perlantikan jawatanakuasa perlaksanaan peruntukan itu yang terdiri dari seramai 18 orang Menteri-menteri dan individu tertentu.
Pihak tentera dan Polis terutama para Jenderal merasakan mereka disisihkan dari urusan perlaksanaan peruntukan tersebut.Sudah menjadi lumrah bagi mana-mana pentadbir penjajah Thai samaada pihak tentera atau awam , sesiapa yang terlibat dengan pengurusan peruntukan kewangan akan mendapat faedah yang besar dari agihan wang tersebut.Kebiasaanya hanya sebahagian kecil sahaja peruntukan sampai ka matlamat.Kebanyakannya di songgelap dan disapu oleh pegawai-pegawai atasan .
Perbalahan diantara mereka juga saling menuding jari tentang siapa yang bertanggung jawab.Yang paling kurang ajar dan mengkhianati bangsa sendiri ialah beberapa orang tokoh melayu yang menuduh puak-puak pejuang yang melaku kan pembunuhan tersebut.Sedangkan majoriti orang-orang Siam sendiri menuduh tentera mereka yang melakukannya.Diantara anjing-anjing ini ialah wakil rakyat pachatipak che min tok tanjung dan beberapa orang tokoh –tokoh wahbi dan penjilat-penjilat penjajah.Mereka-mereka ini memang tidak berhak mengaku melayu/islam dan selayaknya dihantar keneraka jahanam!!!! Sedangkan kami tidak pernah memusuhi orang-orang melayu yang bekerja dengan penjajah asalkan tidak mengkhianati bangsa dan ugama sendiri.
Sejak mutakhir ini pihak penjajah Thai telah melancarkan beberapa strateji bagi menghapus dan melemah bangsa melayu/islam. Antaranya ialah menggalakkan dan memberi peruntukan yang banyak bagi memoden dan mengkafirkan pondok-pondok pengajian islam yang selama ini dipertahan-kan oleh tok-tok guru. Tok-tok guru banyak mendapat undangan melawat kota-kota besar saperti Bangkok dan kebanyakan nya di suakan dengan betina-betina yang dahi licin.Banyak yang tumbang disana.
Keduanya dalam program jangka panjang untuk menghapuskan keturunan melayu merek memerentah kan doctor-doktor yang menjalankan khatan pada anak –anak muda supaya mengenakan bius yang banyak pada batang zakar(kebiasaan hanya pada kulit sahaja) supaya zakar tersebut tidak berdaya dan hilang nafsu sexnya bila dewasa nanti.
Ketiga mereka menggalak kan pemuda-pemuda Siam terutamanya tentera penjajah, berzina dengan anak dara melayu sehingga dapat anak.Jumlahnya amat ramai sekali buat masa ini.Ini bertujuan melahirkan jenerasi anak haram dan anak-anak campuran.Kemudian mereka akan masuk islam dan merosakkan ugama ini dari dalam..
Tujuan utama mereka menghantar begitu ramai tentera ka tiga wilayah ialah untuk persiapan menjadikan mereka ini penduduk tetap di tiga wilayah.Ini bagi persiapan sekiranya satu masa jika ada tekanan antarabangsa bagi mengadakan pungutan suara maka mereka sudah bersedia dengan orang Siam yang di import.
Kelima mereka telah membekal kan senjata moden yang banyak kapada hampir semua kampung-kampung dan penduduk berbangsa Siam.Orang Siam ini digalakkan membunuh bangsa Melayu sesuka hati mereka.Dan mereka akan di lindungi oleh tentera jika ada tindak balas dari orang-orang Patani!!!!.
Kita menyeru kapada seluruh anak bangsa yang insaf .Bersiap sedialah menghadapi cabaran ini dengan serious dan tegas.Kita di serang dari segenap penjuru!!. Apa tah lagi pengkhianat dari bangsa kita yang lebih kasih kan penjajah Thai dari bangsa sendiri.
Cabaran-cabaran lain ialah pihak Kerajaan Malaysia dan OIC sedang berusaha untuk mendesak para pejuang terutama nya pemimpin-pemimpin yang sedang berada di luar Negara supaya menerima Plan yang akan di usahakan oleh Malaysia dengan sokongan OIC.Yaitu program damai supaya kita berhenti menentang penjajah Thai mengaku kalah serta menerima pemerentah sendiri yang kaedahnya ialah untuk mengekalkan penjajahan Thai keatas bumi Patani Darussalam!!!Sudah banyak partai-partai perjuangan dan pemimpin perjuangan yang menerima tawaran ini.Bahkan ada yang merasa sedih kalau tidak diundang sama mengikuti Plan damai ini.
Segala pengorbanan kita selama 200 tahun akan jadi sia-sia jika kita mengaku kalah sebelum tercapai matlamat. Penjajah Thai sekarang begitu rapuh .Hanya menunggu pihak kita mempertingkatkan kekuatan untuk mereka jatuh.Kita harus istiqamah dan bersabar menunggu kemenangan.Usaha sedang dijalankan untuk meningkatkan kekuatan kita bagi menumpaskan musuh seluruhnya. Patani pasti akan tertegak sebagai daulat ilahiah.Seluruh rakyat harus bersedia berkorban apa sahaj termasuk nyawa demi kejayaan perjuangan kita ini.Kemenangan terakhir akan hanya tercapai bila sebahagian besar anak-anak muda sudah bersedia untuk syahid sebagai hadiah untuk allah demi islam di Patani.

Gambar-gambar mangsa pembunuhan kejam oleh penjajah Siam di Bechah Airong





อ่านต่อ...

About This Blog

รายการบล็อกของฉัน

รายการบล็อก

Our Blogger Templates Web Design

  © Blogger templates The Professional Template by Ourblogtemplates.com 2008

Back to TOP