วันอาทิตย์, มิถุนายน 27, 2553

หนึ่งปีไอร์ปาแย (จบ) คดีกราดยิง 10 ศพในมัสยิดที่ยังหาคนผิดไม่ได้

“แม้ว่ามันจะผ่านมา 1 ปีแล้ว แต่เราก็ยังติดตามข่าวสารตลอด และมีความหวังว่าทางเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะสามารถจับคนร้ายที่ยิงชาวบ้านในมัสยิดมาลงโทษตามกฎหมายได้” เป็นเสียงจากชาวบ้านไอร์ปาแยรายหนึ่งที่เผยความรู้สึกกับ "ทีมข่าวอิศรา" กับคดีที่เป็นปริศนา คนร้ายใช้อาวุธสงครามบุกยิงพี่น้องชาวไทยมุสลิมถึงในมัสยิดบ้านไอร์ปาแย ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อค่ำคืนวันที่ 8 มิ.ย.ปีที่แล้ว
เสียงจากชาวบ้านรายนี้สะท้อนความจริงว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แม้สถานการณ์ที่บ้านไอร์ปาแยจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ชาวบ้านก็ยังสนใจติดตามความคืบหน้าของคดีอยู่ และก็มีความหวังลึกๆ ว่าการจับกุมผู้ก่อเหตุได้ จะอธิบายถึงสาเหตุของโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งที่เกิดขึ้นใน "บ้านของพระเจ้า"

หากย้อนเส้นทางคดีกราดยิงในมัสยิดอัลฟุรกอน บ้านไอร์ปาแย จนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 10 ราย บาดเจ็บอีก 12 คน เมื่อค่ำคืนวันที่ 8 มิ.ย.2552 จะพบว่าตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงวันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เจาะไอร้อง ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ เพิ่งจะออกหมายจับผู้ต้องหาไปเพียง 1 ราย คือ นายสุทธิรักษ์ คงสุวรรณ อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 132 หมู่ 10 ต.ปางบอ อ.เมือง จ.นราธิวาส
และนายสุทธิรักษ์ เป็นคนเดียวที่ถูกออกหมายจับในฐานะผู้ต้องหา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หรือ ป.วิอาญา ซึ่งอนุมัติโดยศาล
นอกเหนือจากนายสุทธิรักษ์แล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อ.เจาะไอร้อง ยังออกหมาย ฉฉ. ที่อาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพิ่มเติมอีก 1 รายในฐานะผู้ต้องสงสัยที่มีความเกี่ยวโยงกับคดี คือ นายลุกมัน ลาเต๊ะบือริง อายุ 26 ปี ซึ่งเป็นชาวบ้านในหมู่บ้านไอร์ปาแยนั่นเอง
การออกหมาย พ.ร.ก.กรณีของ นายลุกมัน สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในพื้นที่อยู่ระยะหนึ่ง เพราะชาวบ้านไม่เชื่อว่าจะมีคนมุสลิมร่วมขบวนฆ่ามุสลิมด้วยกันถึงในศาสนสถานอันเปรียบเสมือน "บ้านของอัลเลาะฮ์"
กล่าวสำหรับนายสุทธิรักษ์ ข้อมูลจากแฟ้มประวัติของฝ่ายความมั่นคง พบว่า นายสุทธิรักษ์เคยเป็นทหารพรานในพื้นที่ อ.เจาะไอร้อง แต่ถูกไล่ออกเนื่องจากพบพฤติกรรมพัวพันกับขบวนการค้ายาเสพติด และเป็นมือปืนรับจ้าง มีประวัติอาชญากรรมเคยก่อคดีใช้อาวุธปืนปล้นฆ่า นางกือลือซง ลาเต๊ะ เมื่อวันที่ 6 พ.ย.2551 และสังหาร นายอับดุลตอเละ ซายอ เมื่อวันที่ 17 พ.ย.ปีเดียวกัน
วันที่ 14 ม.ค.2553 คดีกราดยิง 10 ศพในมัสยิดไอร์ปาแยที่เงียบหายไปนานกว่า 6 เดือน ก็ฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อจู่ๆ นายสุทธิรักษ์ก็ปรากฏตัวพร้อมกับ นายสัญญา จันทรัตน์ ทนายความ เดินทางเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ที่กรุงเทพฯ โดยมี พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่ปรึกษา (สบ10) และ พล.ต.ท.พีระ พุ่มพิเชฏฐ์ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ผบช.ศชต.) เป็นผู้รับมอบตัว

จากการสอบปากคำในเบื้องต้น นายสุทธิรักษ์ ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และยืนยันว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์กราดยิงในมัสยิดอัลฟุรกอน พร้อมทั้งร้องขอให้โอนคดีจาก จ.นราธิวาส ไปที่กรุงเทพฯ โดยอ้างเหตุผลเรื่องความปลอดภัย

นายสัญญา จันทรัตน์ ทนายความของนายสุทธิรักษ์ บอกถึงสาเหตุที่ลูกความของเขาเข้ามอบตัวล่าช้าว่า เกิดจากความเครียด และเกรงว่าญาติพี่น้องที่อยู่ในพื้นที่จะถูกทำร้าย ประกอบกับพ่อและแม่ของนายสุทธิรักษ์ก็เป็นห่วงในความปลอดภัย เกรงว่าจะถูกกลั่นแกล้ง จึงต้องใช้เวลาในการตั้งหลักเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ สำหรับใช้ต่อสู้คดี ก่อนจะตัดสินใจออกมามอบตัวกับตำรวจกองปราบปราม

นับจากวันมอบตัว ผ่านมาอีกกว่า 6 เดือน คดีดูเหมือนไร้ความคืบหน้า...

พล.ต.ต.ยงยุทธ เจริญวานิช รอง ผบช.ศชต. กล่าวกับ "ทีมข่าวอิศรา" ว่า คดียิงในมัสยิดไอร์ปาแยนั้น ได้ตั้งข้อหากับผู้ต้องหาแล้ว และตัวผู้ต้องหาก็ได้เข้ามอบตัวกับตำรวจกองปราบปราม ทั้งได้ร้องขอให้พนักงานสอบสวนจากส่วนกลางเป็นผู้รับผิดชอบคดี เหตุนี้ทางตำรวจในพื้นที่จึงต้องส่งสำนวนการสอบสวนทั้งหมดให้กองปราบปรามรับผิดชอบแทน จึงไม่ทราบว่าคดีคืบหน้าไปถึงไหน

แหล่งข่าวจากคณะพนักงานสอบสวนกองปราบปราม เปิดเผยว่า เพิ่งได้รับผลตรวจพิสูจน์อาวุธปืนที่คนร้ายใช้ในการก่อเหตุ ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่ต้องนำมาประกอบในสำนวน เมื่อได้หลักฐานชิ้นนี้มา สัปดาห์หน้าจะมีการประชุมคณะพนักงานสอบสวนอีกครั้งเพื่อมีความเห็นทางคดี จากนั้นจะสั่งคดีและส่งสำนวนให้พนักงานอัยการพิจารณาต่อไป

"สาเหตุที่ล่าช้าเพราะคดีนี้มีอะไรลึกๆ อยู่เยอะเหมือนกัน" เป็นข้อสังเกตที่น่าสนใจยิ่งของหนึ่งในทีมพนักงานสอบสวน

ส่วนกรณีของ นายลุกมัน ลาเต๊ะบือริง ผู้ต้องสงสัยที่ถูกหมาย พ.ร.ก. จนถึงขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังไม่สามารถติดตามตัวได้ และนายลุกมันก็หายหน้าไปจากพื้นที่ ไม่มีใครเคยเห็นแม้เงา

จากการลงพื้นที่ไอร์ปาแยของ "ทีมข่าวอิศรา" เที่ยวล่าสุด ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคงตั้งข้อสงสัยและไม่เชื่อว่า นายลุกมันจะเข้าไปเป็นส่วนเกี่ยวข้องกับคดีกราดยิงในมัสยิด เพราะในกลุ่มผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บบางส่วนก็เป็นญาติของนายลุกมันเอง

นายสมาน ปะเงาะห์ ผู้ใหญ่บ้านไอร์ปาแย กล่าวกับ "ทีมข่าวอิศรา" ว่า เท่าที่ทราบข้อมูล นายลุกมันเป็นชาวบ้านในหมู่บ้านจริงๆ แต่ไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านมานานแล้ว ทราบว่าเข้าไปทำงานอยู่ในประเทศมาเลเซียประมาณ 3 ปีกว่า และไม่เคยย้อนกลับเข้ามาที่หมู่บ้านอีกเลย จึงเป็นธรรมดาที่ชาวบ้านย่อมไม่เชื่อว่า นายลุกมันเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัย ที่สำคัญผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บบางคนก็เป็นญาติของนายลุกมัน

“สำหรับคดียิงในมัสยิด คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรมที่จะดำเนินการ ที่ผ่านมาก็มีบ้างที่ชาวบ้านพูดถึงหรือถามถึง แต่ก็เข้าใจว่าการดำเนินการมันต้องใช้เวลา และเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบจะหาคำตอบของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนในหมู่บ้านได้" ผู้ใหญ่ฯสมาน กล่าว

คดีกราดยิงในมัสยิดอัลฟุรกอน ช่วงปลายปีที่แล้วก่อนที่นายสุทธิรักษ์จะเข้ามอบตัว ยังมีเหตุการณ์ที่สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในพื้นที่เป็นอย่างมาก ก็คือการเผยแพร่ใบปลิวที่ทำขึ้นในลักษณะเป็น "หมายจับ" ถูกมือมืดนำไปติดและแจกจ่ายในหลายอำเภอของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

ใบปลิวหรือ "หมายจับ" ดังกล่าวมีข้อความระบุว่า “จับตายหน่วยปฏิบัติการเลือดมัสยิดอัลฟุรกอนไอปาแย” ลงชื่อ “เหล่านักรบแห่งรัฐปัตตานี”

ใบปลิวดังกล่าวปรากฏภาพของชายฉกรรจ์ 6 คน โดย 2 ใน 6 เป็นภาพของสุทธิรักษ์ และนายลุกมัน ซึ่งเป็นบุคคลที่เจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่าเป็นผู้ต้องหาและผู้ต้องสงสัยในคดีอยู่แล้ว ส่วนอีก 4 รายตรวจสอบพบว่าเป็นอาสาสมัครรักษาเมือง (อรม.) ในพื้นที่เทศบาลตำบลตันหยงมัส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส

หลังใบปลิวปริศนาเผยแพร่ได้ไม่นาน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกมายืนยันว่า ชายฉกรรจ์ 4 คนในหมายจับ ไม่ใช่ผู้ต้องหาหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์กราดยิงในมัสยิด แต่ก็ไม่สามารถหาที่มาของใบปลิวดังกล่าวได้เช่นกัน

ชายฉกรรจ์หนึ่งใน 4 รายที่ปรากฏภาพอยู่ในใบปลิว เคยเปิดใจให้สัมภาษณ์กับ "ทีมข่าวอิศรา" โดยเขาเชื่อว่าใบปลิวดังกล่าวเป็นฝีมือของกลุ่มก่อความสงบในพื้นที่ และอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีกราดยิงในมัสยิด แต่ต้องการป้ายความผิดให้กับกลุ่ม อรม.ของพวกเขา เพื่อให้ชาวบ้านเข้าใจผิด และยังเป็นการตอกลิ่มสร้างความแตกแยกให้กับพี่น้องชาวไทยพุทธกับไทยมุสลิมในพื้นที่ อ.ระแงะ และพื้นที่ใกล้เคียงอีกด้วย เพื่อง่ายต่อการเข้าไปสร้างสถานการณ์ เพราะที่ผ่านมาความสัมพันธ์ของชาวบ้านในเขตเทศบาลตันหยงมัส ทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิมค่อนข้างเข้มแข็ง ทำให้กลุ่มผู้ไม่หวังดีเข้าไปก่อเหตุยาก

“การออกใบปลิวเป็นเหมือนการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว คือป้ายความผิดให้คนอื่น และยังสร้างความแตกแยก ความหวาดระแวงให้เกิดขึ้นในหมู่พี่น้องไทยพุทธกับไทยมุสลิม" เป็นบทวิเคราะห์จากหนึ่งใน 4 ชายฉกรรจ์ที่ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับปริศนา

อย่างไรก็ดี ยังมีประเด็นที่น่าแปลกใจ กล่าวคือ ในใบปลิวปรากฏภาพนายลุกมัน ชาวไทยมุสลิมหนึ่งเดียวที่ถูกออกหมายทั้งโดยเจ้าหน้าที่ และกลุ่มที่อ้างตัวว่าเป็น "นักรบแห่งรัฐปัตตานี" ทั้งๆ ที่คนมุสลิมส่วนใหญ่ในพื้นที่ไม่เชื่อว่าจะมีมุสลิมร่วมขบวนฆ่ามุสลิมด้วยกันถึงในมัสยิด

กับอีกประเด็นหนึ่งคือ ไม่มีการแจกจ่ายใบปลิวฉบับนี้ในพื้นที่บ้านไอร์ปาแย อันเป็นสถานที่เกิดเหตุแต่อย่างใด โดยข้อมูลนี้ได้รับการยืนยันจากทั้งผู้นำชุมชน ชาวบ้านไอร์ปาแยเอง รวมไปถึงหน่วยงานความมั่นคงที่รับผิดชอบดูแลพื้นที่ด้วย

นับถึงวันนี้...ผ่านไปแล้วกว่า 1 ปีสำหรับเหตุการณ์กราดยิงในมัสยิดอัลฟุรกอน ดูเหมือนคดีไอร์ปาแยกำลังขึ้นทำเนียบคดีปริศนาที่ค้างคาใจผู้คนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามหลังคดีใหญ่อย่างตากใบและกรือเซะ!

0 ความคิดเห็น:

About This Blog

รายการบล็อกของฉัน

รายการบล็อก

Our Blogger Templates Web Design

  © Blogger templates The Professional Template by Ourblogtemplates.com 2008

Back to TOP