วันพุธ, มิถุนายน 23, 2553

คลี่ปมกังขา…ระเบิดบนถนนหน้ามัสยิดกลางยะลา!

สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ช่วงนี้ต้องบอกว่า “ทหารงานเข้า” เพราะมีเรื่องที่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างไม่น่าจะเกิดขึ้นหลายเรื่อง ตั้งแต่การเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาของ นายสุไลมาน แนซา คาศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์ ในค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี และล่าสุดคือเหตุระเบิดบนถนนหน้ามัสยิดกลางประจำจังหวัดยะลา
กรณีของ สุไลมาน แนซา แม้หลายฝ่ายจะยังรู้สึกกังขา แต่ผลชันสูตรของแพทย์และการตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่พบเงื่อนงำใดๆ ที่ชัดเจนมากไปกว่าการผูกคอตาย ผ่านไป 9 วัน จู่ๆ ก็เกิดระเบิดปริศนาขึ้นกลางเมืองยะลาซ้ำอีก
ที่ว่าเป็นปริศนาเพราะไม่มีใครยืนยันได้อย่างหมดข้อสงสัยว่า ระเบิดลูกนี้มาจากไหน หนำซ้ำเหตุระเบิดยังกลายเป็นประเด็นขึ้นมา เพราะเกิดตูมตามขึ้นบนถนนด้านหน้ามัสยิดกลางประจำจังหวัดยะลา ในย่านตลาดเก่าซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของพี่น้องชาวไทยมลายูมุสลิม

ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นระเบิดในช่วงค่ำของวันที่ 8 มิ.ย.2553 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 1 ปีเหตุการณ์กราดยิงในมัสยิดอัลฟุรกอน บ้านไอร์ปาแย ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 10 ราย บาดเจ็บ 12 คน พอดิบพอดี
ขณะที่เหตุระเบิดบนถนนหน้ามัสยิดกลางยะลา มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 23 คน ในจำนวนนี้ 2 คนได้รับบาดเจ็บสาหัส คือ นางสาสะนะ ตือบิงหม๊ะ อายุ 45 ปี และ ด.ญ.อาลีซา ดะแซ วัยเพียง 5 ขวบ อาการยังไม่พ้นขีดอันตราย
ทำไมเหตุระเบิดครั้งนี้จึงไม่ “จบข่าว” ด้วยประโยคที่ว่า “เป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ” เหมือนกับเหตุการณ์อื่นๆ และเหตุใดจึงกลายเป็นระเบิดที่ดิสเครดิตฝ่ายทหารจนต้องบอกว่า “งานเข้า”
“ทีมข่าวอิศรา” ขอไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ และข้อสังเกตที่กลายเป็นความกังขาของหลายฝ่ายดังนี้
1.เหตุระเบิดดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 19.35 น. วันอังคารที่ 8 มิ.ย.2553 บริเวณปากซอยสิโรรส 14 ถนนสิโรรส ย่านตลาดเก่า ในเขตเทศบาลนครยะลา ใกล้กับร้านน้ำชาเก่าแก่ชื่อ “โกเจ๋ง” ซึ่งเปิดขายอยู่ใกล้ๆ กับร้านข้าวแกงหัวมุมซอยสิโรรส 14 ฝั่งตรงข้ามคือมัสยิดกลางยะลา
ข่าวที่ออกมาและอ้าง “พยานที่อยู่ในเหตุการณ์” ปรากฏข้อเท็จจริงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ ข่าวหนึ่งระบุว่าระเบิดตกใกล้กับฟุตบาลหน้าร้านน้ำชา โดยคนร้ายเป็นชายวัยรุ่น 2 คนขี่รถจักรยานยนต์โฉบเข้ามาปาระเบิดแล้วเร่งเครื่องหลบหนีไป ทิ้งคนบาดเจ็บจำนวนมากเอาไว้เบื้องหลัง
ขณะที่อีกข่าวหนึ่งระบุว่า ก่อนเกิดเหตุมี "รถบรรทุกของทหารพราน" แล่นผ่านมา จังหวะนั้นมีคนร้ายเป็นชายวัยรุ่น 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์ตามหลัง โดยคนร้ายที่นั่งซ้อนท้ายได้ขว้างระเบิดใส่รถ หวังให้ตกลงในกระบะของรถบรรทุกซึ่งมีเจ้าหน้าที่อาสาสมัครทหารพรานนั่งอยู่หลายนาย แต่ปรากฏว่าระเบิดไปไม่ถึงตัวรถ กลับตกลงบนถนนใกล้กับร้านน้ำชาและเกิดระเบิดขึ้น ทำให้ประชาชนและนักเรียนที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ได้รับบาดเจ็บ
ข่าวทั้ง 2 ชิ้นนี้มีเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ ข้อสันนิษฐานที่ว่าคนร้ายเป็นกลุ่มก่อความไม่สงบ แต่เรื่องราวดูจะยังไม่จบเพียงเท่านั้น...
2.วันรุ่งขึ้น คือวันที่ 9 มิ.ย. เริ่มมีความคืบหน้าจากการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ โดยข้อมูลระบุว่า ผลการตรวจสอบในที่เกิดเหตุพบกระเดื่องระเบิดชนิด เอ็ม 67 (ระเบิดขว้าง) ตกอยู่ และจากการเก็บรวบรวมหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ร่วมกับหลักฐานภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิดของเทศบาลนครยะลา พบคนร้ายไม่ทราบกลุ่มอายุประมาณ 20-25 ปี ยืนอยู่ฝั่งหน้ามัสยิดกลางยะลา และได้ขว้างระเบิดข้ามมาอีกฝั่งหนึ่งเพื่อหวังทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหารที่โดยสารมากับรถยนต์ แต่ระเบิดพลาดเป้า ตกลงบนพื้นถนนและเกิดระเบิดขึ้น จนทำให้มีชาวบ้านที่กำลังยืนซื้อของอยู่ปากซอยสิโรรส 14 ได้รับบาดเจ็บ 23 ราย
ข้อมูลของตำรวจยังชี้ด้วยว่า เมื่อเกิดระเบิดขึ้นแล้ว รถยนต์ของเจ้าหน้าที่ทหารที่กำลังแล่นอยู่ก็จอดที่ข้างทางเพื่อดูความเสียหาย เมื่อปรากฏว่าไม่มีทหารในรถได้รับบาดเจ็บ และรถยนต์ก็ไม่ได้รับความเสียหาย พลขับจึงขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว
“ทหารชุดดังกล่าวอาจไม่อยากเป็นพยานในเรื่องนี้ก็เป็นได้ หลังเกิดเหตุได้ประสานงานกับค่ายสิรินธรแล้ว แต่ไม่ทราบว่ารถยนต์ของทหารที่ปรากฏอยู่ในภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิดเป็นทหารสังกัดใด แต่ไม่ได้ออกมาจากค่ายสิรินธร และไม่ใช่ทหารหน่วยเฉพาะกิจยะลา 11” เป็นข้อสันนิษฐานของฝ่ายตำรวจ
3.มีความคืบหน้าจากการสอบปากคำพยาน ระบุว่า หลังเกิดเหตุระเบิด มีชายวัยรุ่นต้องสงสัยคาดว่าเป็นคนร้ายที่ก่อเหตุ ตะโกนเสียงดังว่า “มีระเบิดแค่ลูกเดียวเท่านั้น ช่วยกันรีบนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาลด้วย”
4.ชุดสืบสวนสอบสวน สภ.เมืองยะลา และชุดสืบสวนสอบสวนกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยะลา (บก.ภ.จว.ยะลา) สันนิษฐานตรงกันว่าคนร้ายน่าจะเป็นกลุ่มเดียวกับที่เคยก่อเหตุวางระเบิดแผงขายน้ำปั่นและขนมเครปญี่ปุ่น ริมถนนพิพิธภักดี ในเขตเทศบาลนครยะลา เมื่อวันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา และเหตุการณ์ระเบิดหน้าโชว์รูมรถยนต์มาสด้า รวมทั้งหน้าร้านถ่ายรูป 07 คัลเลอร์แล็บ เมื่อวันที่ 26 พ.ค.ที่ผ่านมา


5.แม้การสืบสวนสอบสวนของตำรวจจะคืบหน้าไปมากขนาดนี้ ประกอบกับมีภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิดของเทศบาลนครยะลาเผยแพร่ผ่านสื่อบางแขนง ปรากฏ "รถกระบะ" (ไม่ใช่รถบรรทุกตามที่รายงานข่าวในเบื้องต้น) 1 คันซึ่งว่ากันว่าน่าจะเป็นรถของทหารแล่นผ่านขณะเกิดเหตุระเบิดจริง แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้ก็ยังไม่จบ
หลายคนเชื่อว่าระเบิดไม่ได้มาจากคนร้าย แต่มาจากรถของทหาร!
ข้อกังขาของประชาชนในพื้นที่ก็คือ เหตุใดฝ่ายทหารจึงไม่ออกมายอมรับว่ามีกำลังพลของตนขับรถผ่านจุดเกิดเหตุขณะเกิดระเบิด เพราะภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิดก็ค่อนข้างชัดเจน ประกอบกับชาวบ้านย่านนั้นซึ่งส่วนใหญ่เป็นพี่น้องมุสลิม ไม่เชื่อว่าจะมีคนร้ายที่เป็นมุสลิมกล้าปาระเบิดหน้ามัสยิดกลาง
6.ข้อสันนิษฐานของชาวบ้านมีอยู่ 2 อย่างคือ หนึ่ง-ทหารจงใจปาระเบิดแล้วหลบหนี กับ สอง-ทหารทำระเบิดหล่น
อย่างไรก็ดี ความเชื่อของชาวบ้านเทไปในทางข้อสันนิษฐานที่สองมากกว่า เพราะมีพยานยืนยันว่ารถของทหารจอดริมถนนปากซอยสิโรรส 12 ชั่วครู่หลังมีเสียงระเบิด จากนั้นก็ออกรถไป จุดนี้นำมาสู่ข้อสงสัยว่า หากระเบิดไม่ได้มาจากรถทหาร เช่น ถูกคนร้ายปาใส่ เหตุใดรถของทหารจึงไม่จอดแล้วลงมาดูจุดเกิดเหตุ หรือขับรถไล่ล่าคนร้ายที่ปาระเบิดไป เพราะรถก็ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ
7.ข้อเท็จจริงที่น่าประหลาดใจก็คือ ฝ่ายทหารไม่ยอมรับว่ามีรถของกำลังพลแล่นผ่านขณะเกิดเหตุ นายทหารระดับสูงหลายนายพยายามยืนยันว่าไม่มีรถของทหารผ่านไปย่านนั้น ขณะที่คำแถลงของ พ.อ.บรรพต พูลเพียร โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. ก็ยังไม่ยอมรับตรงๆ ว่ามีรถของทหารอยู่ในเหตุการณ์
“จากภาพวงจรปิดของเทศบาลนครยะลาที่ได้มีการเผยแพร่ออกอากาศไปแล้วนั้น จะเห็นได้ว่ามียานพาหนะผ่านบนถนนในที่เกิดเหตุจำนวน 1 คัน และหลังจากยานพาหนะผ่านไปแล้วเพียงเสี้ยววินาทีก็เกิดระเบิดขึ้นกลางท้องถนนในตำแหน่งที่ยานพาหนะผ่าน”
“ข้อสังเกตตรงนี้ยืนยันได้เลยว่าในทางเทคนิคแล้วไม่มีทางเป็นไปได้ที่ระเบิดจะหลุดร่วงหรือขว้างออกมาจากยานพาหนะคันดังกล่าวซึ่งเป็นรถยนต์กระบะ ตามภาพคล้ายๆ จะเป็นรถยนต์กระบะสีทอง ลักษณะคล้ายกับยานพาหนะของเจ้าหน้าที่ เพราะว่าการทำงานของระเบิดขว้างชนิดนี้จะต้องทำงานหลังจากที่กระเดื่องนิรภัยออกจากตัวระเบิด 4 วินาที ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิดระเบิดขึ้นหลังจากยานพาหนะผ่านไปไม่ถึงเสี้ยววินาที แต่สิ่งที่เป็นไปได้คือรถจะต้องผ่านไปแล้ว 4 วินาทีจึงจะเกิดระเบิด”
“ข้อเท็จจริงจากภาพก็คือยานพาหนะนั้นวิ่งด้วยความเร็วสูง ฉะนั้นกล้องโทรทัศน์วงจรปิดจะไม่สามารถจับภาพระเบิดกับภาพยานพาหนะในเวลาเดียวกันได้เลย แสดงให้เห็นว่าลูกระเบิดขว้างลูกนี้จะต้องถูกขว้างออกมาจากสถานที่แห่งอื่น ซึ่งผู้ที่ทราบเรื่องนี้ดีคือผู้ที่เห็นเหตุการณ์เท่านั้น และจะบอกได้ว่าระเบิดถูกขว้างมาจากจุดใด อาจจะเป็นฝั่งตรงข้ามหรือบนท้องถนน แต่ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าระเบิดลูกนั้นไม่ได้ออกมาจากยานพาหนะคันดังกล่าวแต่อย่างใด”
“สำหรับยานพาหนะคันนั้น ในขั้นต้นยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นยานพาหนะของเจ้าหน้าที่หน่วยใด สังกัดไหน ข้อมูลยังไม่ชัดเจน ทางเจ้าหน้าที่ทหารเองก็กำลังสอบถามและติดตามกันอยู่ว่ายานพาหนะนั้นเป็นของหน่วยใด จะไปไหน แต่ช่วงหลังเกิดเหตุ หน่วยเฉพาะกิจยะลา 11 ก็ได้ พยายามชี้แจงและทำความเข้าใจกับชาวบ้านในชุมชนที่อยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุแล้ว เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด”
ทั้งหมดเป็นคำชี้แจงของโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งก็น่าแปลกใจว่าถ้ารถกระบะคันนั้นไม่ใช่รถทหาร เหตุใดจะต้องออกมาแถลงยืนกรานว่าระเบิดไม่ได้มาจากรถคันดังกล่าวอย่างแน่นอน???
8.จากการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกของ “ทีมข่าวอิศรา” ได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ และเป็นฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐเองว่า รถกระบะสีบรอนซ์ทองที่แล่นผ่านจุดเกิดเหตุและปรากฏอยู่ในภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิด คือรถของทหารจากหน่วยเฉพาะกิจเลข 2 ตัวแห่งหนึ่งซึ่งมีฐานปฏิบัติการอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับค่ายสิรินธร ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี โดยค่ายสิรินธรอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุไม่ถึง 2 กิโลเมตร
ความเป็นไปได้ของเหตุการณ์จึงมีเพียง 2 ประการเท่านั้นคือ
หนึ่ง- รถของทหารถูกคนร้ายปาระเบิดใส่แต่พลาดเป้า โดยคนร้ายอาจยืนอยู่ฟากใดฟากหนึ่งของถนน หรือขี่รถจักรยานยนต์อยู่บนถนนสิโรรสขณะเกิดเหตุ ซึ่งในภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิดก็พบรถจักรยานยนต์ต้องสงสัย 2 คัน คันหนึ่งแล่นอยู่ด้านหน้ารถกระบะของทหาร กับอีกคันหนึ่งแล่นตามหลัง
หากความจริงเป็นไปตามข้อสันนิษฐานนี้ สมควรที่ทุกฝ่ายจะต้องประณามกลุ่มคนร้าย เพราะจงใจก่อเหตุรุนแรงกลางเมือง ในย่านชุมชน แถมยังใกล้ศาสนสถาน โดยไม่สนใจว่าจะมีประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก
สอง- ระเบิดมาจากรถของทหารเอง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น โอกาสน่าจะเป็นการทำระเบิดหล่นโดยไม่ได้ตั้งใจมากกว่า เพราะหลังเสียงระเบิดดังขึ้น รถของทหารได้แล่นไปจอดบริเวณปากซอยสิโรรส 12 ครู่หนึ่งก่อนจะขับออกไป หากจงใจปาระเบิดจริง คงไม่แวะจอด
9.สืบเนื่องจากข้อ 8 หากเป็นไปตามข้อสันนิษฐานที่หนึ่ง ก็ต้องบอกว่าการสืบสวนสอบสวนของตำรวจเดินมาถูกทาง คือกำลังรวบรวมพยานหลักฐานหาตัวคนร้ายที่แฝงตัวอยู่ในละแวกที่เกิดเหตุ
แต่คำถามก็คือ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดทหารจึงไม่ยอมรับว่ามีรถของกำลังพลแล่นผ่านจุดเกิดเหตุ เพราะไม่มีอะไรเสียหาย เนื่องจากทหารเป็นฝ่ายถูกกระทำ
การไม่ยอมรับว่ารถกระบะในภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิดคือรถของทหาร ทำให้ฝ่ายทหารถูกมองอย่างกังขาว่า ทำไมต้องปกปิดความจริง หรือทหารกลุ่มดังกล่าวเกรงว่าจะมีความผิด เพราะหากความจริงเป็นไปตามข้อสันนิษฐานที่สอง คือระเบิดหล่นจากรถของทหารเอง อาจเข้าข่ายเป็นการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งเป็นความผิดอาญา
ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ หากไม่มีคนร้ายปาระเบิดใส่รถของทหาร แต่ระเบิดมาจากรถของทหารเองไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม การสืบสวนสอบสวนของตำรวจและคำแถลงของโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องถือว่าน่าวิตกเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับสถานการณ์ที่อ่อนไหวเช่นนี้ เพราะมีการให้ข้อมูลกับสื่ออย่างเป็นตุเป็นตะ ข่าวบางกระแสจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงถึงขั้นระบุตัวกลุ่มก่อความไม่สงบที่ก่อเหตุครั้งนี้แล้วด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุนี้การยอมรับความจริง และนำความจริงนั้นออกมาเปิดเผยต่อสาธารณะอย่างตรงไปตรงมา จึงเป็นทางออกเดียวที่จะรักษาความเชื่อมั่นของประชาชนสามจังหวัดที่มีต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของรัฐเอาไว้ได้ ในภาวะที่ความเชื่อมั่นกำลังลดต่ำลงทุกที...
มิฉะนั้นจะล้มละลายทางความน่าเชื่อถืออย่างถาวร!

0 ความคิดเห็น:

About This Blog

รายการบล็อกของฉัน

รายการบล็อก

Our Blogger Templates Web Design

  © Blogger templates The Professional Template by Ourblogtemplates.com 2008

Back to TOP